ร้อยไหมศัลยยกกระชับ หน้าเรียว ดีจริงหรือ?
ร้อยไหม

การร้อยไหมได้ผลดีหรือไม่จะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไหมทั้งหมด จึงจะสามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผลไหมละลายที่เรียกว่า PDO ที่นำมาใช้ในการร้อยไหม ก็คือไหมเย็บแผลธรรมดาที่ศัลยแพทย์ตกแต่งใช้ในการเย็บแผลเป็นระยะเวลาเนิ่นนานแล้ว เรานำไหมเหล่านี้มาใช้ในเวลาที่มีการผ่าตัดเย็บบาดแผลทั่วไป ทั้งที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือจากการผ่าตัด 

ไหมละลาย PDO ย่อมาจากภาษาอักฤษ( polydioxanone )เป็นไหมที่มีการละลายโดยวิธีไฮโดรไลซิส(Hydrolysis) ซึ่งจะมีปฏิกริยาการอักเสบต่อเนื้อเยื่อน้อยศัลยแพทย์ตกแต่งจึงนิยมใช้ไหมชนิดนี้ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง เพื่อให้สามารถยึดขอบแผลไว้นานพอที่จะป้องกันการขยับของแผลหลังจากตัดไหมที่เย็บภายนอกออกแล้ว จะได้ไม่เกิดแผลเป็นที่ไม่สวยงามเท่าที่ผ่านมายังไม่เคยพบว่า คนไข้อุบัติเหตุมีบาดแผลใบหน้าที่ได้รับการเย็บแผลด้วยไหมชนิดนี้แล้ว จะมีผิวหน้าที่กระชับหรืออ่อนเยาว์ลงได้ ดังนั้นการสอดไหมชนิดนี้ลอยๆไว้ใต้ผิวหนังอย่างเดียว จึงเป็นการยากที่จะทำให้ศัลยแพทย์ตกแต่งที่ใช้ไหม PDO ในการเย็บแผลมานานแล้ว ยอมเชื่อว่าจะช่วยทำให้ใบหน้าตึงกระชับได้

ศัลยกรรมร้อยไหมเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความงามใบหน้าได้อย่างไร?

ในอดีตทางการแพทย์การใช้ไหมก็เพื่อจุดประสงค์ในการเย็บเนื้อเยื่อเข้าหากัน ต่อมามีการคิดค้นวิธีการผ่าตัดดึงหน้าเกิดขึ้น โดยเลาะผิวหนังใบหน้าส่วนที่หย่อนคล้อยยกขึ้นมาในตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นก็ต้องใช้ไหมเพื่อเย็บตรึงผิวหนังที่ถูกยกขึ้นมา ให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการจนกลายมาเป็นการผ่าตัด

มาตรฐานทางศัลยกรรมตกแต่งตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันเทคนิคการดึงหน้านี้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งวิธีการที่จะให้ได้ผลการผ่าตัดที่ดี มีภาวะแทรกซ้อนน้อยได้ผลการรักษาที่แน่นอนขึ้นจนเกิดเป็นวิธีการผ่าตัดดึงหน้าชนิดต่างๆที่ได้ผลดีมากขึ้น และได้ผลยาวนาน (consistent and reliable outcome) เช่น การดึงเนื้อเยื่อในชั้นที่ลึกขึ้น (SMAS face lift) หรือการนำกล้องส่องมาช่วย (Endoscopic face lift) แต่ในระยะหลังได้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้เป็นอุปกรณ์เสริมสร้างความงามใบหน้ามากขึ้น เช่น การใช้เลเซอร์ หรือคลื่นแสงและเสียงชนิดต่างๆ รวมถึงการฉีดเสริมสวย วิธีการต่างๆเหล่านี้เหล่านี้ แม้ได้ผลไม่มากเท่าการผ่าตัดดึงหน้า แต่ก็เป็นที่นิยมในระดับหนึ่งเพราะ ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่ต้องพักฟื้นนาน พัฒนาการเหล่านี้ทำให้เกิดวิวัฒนาการการดึงหน้าในอีกแนวทางหนึ่งต่างจากแนวทางที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งก็คือ หาวิธีการที่ใช้การผ่าตัดที่เล็กลง พักฟื้นไม่นาน ที่เรียกกันว่า minimally invasive surgery

เริ่มจากการลดขนาดแผลผ่าตัดลง ที่เรียกว่า minilift จนมาถึงการใช้ไหมยกกระชับใบหน้า คือเน้นการผ่าตัดที่มีบาดแผลเล็กน้อยในที่ซ่อนได้ หรือใช้แค่การสอดไหมหรือวัสดุอื่นเข้าไปเกาะเกี่ยวเนื้อเยื่อ ให้ยกขึ้นมาในลักษณะเดียวกับการดึงหน้า โดยที่ไม่ต้องเปิดแผลกว้างการนำไหมมาเพื่อการยกกระชับใบหน้าโดยเน้นการผ่าตัดที่น้อยไปกว่าการผ่าตัดดึงหน้าปกตินั้น มีการทำกันมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ถ้าจะให้เครดิตก็คงต้องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 โดยศัลยแพทย์ชาวรัสเซียซึ่งได้ประดิษฐ์ไหมที่ชื่อว่า Aptos หรือที่เรียกว่า ไหมก้างปลา (รูป) ซึ่งเข้ามาในเมืองไทยประมาณปี พ.ศ. 2546-2547 หลักการของไหมนี้ ก็คือ การทำไหมให้เป็นก้างปลา มีการบากเส้นไหมให้เป็นแง่หรือเป็นกิ่งก้านต่างๆ เพื่อให้สามารถยึดเกาะเนื่อเยื่อเอาไว้ 

หากมีการวางทิศทางการสอดไหมได้ดี ส่วนก้างปลาจะช่วยในการเกาะเกี่ยวผิวหนังได้เล็กน้อย ทำให้ใบหน้าส่วนกลาง แก้ม บริเวณลำคอดูยกกระชับบ้างบางส่วนเมื่อมีการนำไหมมาใช้ ก็มีการพัฒนาต่อไป ศัลยแพทย์ที่นำไหมมาใช้ก็เห็นข้อดีและข้อเสียต่างๆของไหมเหล่านี้ โดยพบว่าไหมที่วางลอยไว้เฉยๆใต้ผิวหนังโหนกแก้มทำให้ร่องแก้มดูดีขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากก้างปลาเกาะเกี่ยวเนื้อมารวมกันที่โหนกแก้ม แต่เมื่อมีการขยับ เนื้อเยื่อที่เกาะเกี่ยวไว้หลวมๆก็จะหลุดออกหรือก้างปลาเองมีการฉีกขาดออก ผลที่ได้จึงอยู่สั้นๆไม่กี่เดือน ไม่ดีเพียงพอ ไม่ยึดอยู่กับที่ มีการตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง ศัลยแพทย์จึงพยายามคิดค้นไหมหรืออุปกรณ์แทนไหมที่มีการเกาะเกี่ยวที่แข็งแรงขึ้น มีจุดให้ไหมไปยึด ไม่ใช่ปล่อยให้ลอยอยู่ในผิวหนัง

อย่างไรก็ดี การใช้ไหมโดยวิธีนี้ก็มีปัญหาที่ยังต้องอาศัยความชำนาญของศัลยแพทย์ ต้องมีการผ่าตัดเล็กๆบริเวณขมับ ถ้าทำไม่ถูกต้องเหมาะสมก็อาจเกิดเป็นคลื่นๆ เห็นจุดบุ๋ม ณ ตำแหน่งที่เกาะดึง ในการที่จะทำการผ่าตัดแบบนี้ให้ได้ผลดี ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์พอสมควร แพทย์ที่สนใจด้านศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวยแต่ไม่ได้เรียนเรื่องการผ่าตัดหรือมีพื้นฐานด้านศัลยกรรมตกแต่งเพียงพอ ก็ไม่สามารถทำได้ดี หรือทำได้ก็มีภาวะแทรกซ้อน จึงทำให้ไม่สามาถแพร่หลายและพัฒนาเชิงธุรกิจได้มาก และที่สำคัญ แม้ว่าการคึงหน้าด้วยไหมจะมีข้อดีที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ แต่ผลของมันไม่ว่าจะใช้ไหมชนิดใดก็ตาม ก็ไม่ดีเท่ากับการผ่าตัดดึงหน้า จึงไม่สมควรที่จะมีการนำมาทำการโฆษณาว่าดีพอๆกับการดึงหน้า

ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ มีการพัฒนาไหมอีกชนิดหนึ่งขึ้นมาใช้ จากประเทศในเอเซียเรานี่เอง โดยมีลักษณะที่สำคัญ คือ ทำได้ง่าย แพทย์ทั่วไปหรือแม้แต่พยาบาลหากได้ผ่านการฝึกฝนจากผู้ขายก็สามารถทำได้เลย และเป็นไหมละลาย เพื่อว่าถ้าทำไม่ถูกต้องก็จะละลายหายไป ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ถาวร ที่สำคัญเมื่อร่วมกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ทำกันอย่างมาก ทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างรวดเร็วในประเทศไทย จนอาจกล่าวได้ว่าไหมชนิดนี้นิยมในเมืองไทยมากกว่าในเกาหลีที่เป็นผู้ผลิตไหมเช่นนี้เอง และต้องยอมรับว่าในบ้านเรามีสิ่งที่เรียกว่า กระแสเห่อเกาหลีของคนไทย อะไรก็ตามที่มาจากเกาหลีก็รับมาใช้โดยขาดการไตร่ตรองอันควร

การร้อยไหมได้ผลจริงหรือ?

ปัจจุบันมีหลายบริษัทนำเข้าไหมละลายเข้ามาในบ้านเรา โดยแจ้ง อ.ย. ว่าเป็นไหมเย็บแผล แต่กลับนำมาใช้ในการยกหน้า ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุญาตจาก อย. ไหมชนิดนี้คือไหมเย็บแผลชนิดละลายได้ นำมาติดกับเข็มกลวงสำหรับใช้พาไหมเข้าใต้ผิวหนัง แล้วดึงเข็มออก ตัวไหมจะค้างอยู่ใต้ผิวหนัง โดยไม่มีการเกาะเกี่ยวเนื้อเยื่ิิอของผิวหน้าไปยังจุดยึดที่อื่น

ผู้ผลิตอธิบายให้แพทย์ที่จะซื้อมาใช้ว่ากลไกการทำงาน คือ ไหมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนซึ่งจะทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น พร้อมการสาธิตวิธีการใช้โดยจะพบว่าหล้งสอดไหมใหม่ๆ ผิวหน้าบริเวณนั้นดูตึงขึ้น จริงๆแล้วก็คือการบวมที่เป็นผลจากการใช้เข็มสอดใต้ผิวหนังหลายๆครั้ง และมีเลือดออกด้านในตามรอยเข็มบ้างเล็กน้อย การบวมตึงที่่โหนกแก้มทำให้ร่องแก้มดูจางลงเล็กน้อย แต่ในภายหลังเมื่อยุบบวมแล้ว ก็จะดูไม่ต่างจากเดิมมาก

และพยายามอธิบายว่า การละลายของไหมจะทำให้เกิดปฏิกริยาต่อร่างกาย อันนำไปสู่การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้นอีกหลายๆปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การละลายของไหมชนิด PDO นี้ เกิดขึ้นด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Hydrolysis ซึ่งมีปฏิกริยาต่อผิวหนังน้อย ไม่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมากนัก ทำให้ศัลยแพทย์ตกแต่งสามารถมาใช้เย็บแผลทั่วไป ถ้าเป็นไหมที่กระตุ้นคอลลาเจนมากก็จะเกิดแผลเป็นมากคงไม่มีใครนำมาใช้

ในปัจจุบันนี้คอลลาเจนถูกนำมาใช้เป็นจุดขายที่สำคัญในวงการความงามทุกระดับ เริ่มตั้งแต่อาหารเสริมมาจนถึงศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งผู้บริโภคไม่สามารถจะทราบได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ แม้กระทั่งแพทย์ทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานที่เพียงพอ ก็ม้กจะถูกชักจูงให้ใช้เครื่องมือแพทย์ใหม่ๆที่โฆษณาว่ามีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มีการแสดงภาพการเกิดคอลลาเจนหลังการใช้เครื่องมือเหล่านี้ ทั้งที่ความจริงแล้วคอลลาเจนเป็นเพียงกลไกปกติของร ่างกายต ่อการบาดเจ็บ (metabolic response to injury) การใช้พลังงานพวกเลเซอร์ คลื่นวิทยุ หรือแม้กระทั่งเข็มเล็กๆธรรมดา ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บใต้ผิวหนัง ร่างกายก็จะมีขบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติ (wound healing) คือ ปวด บวม แดง ร้อน ตามด้วยการซ่อมแซมให้แผลหายโดยสร้างคอลลาเจน ถ้าซ่อมแซมมากเกินไปก็จะเกิดแผลเป็น กล่าวอย่างง่ายๆ แผลเป็นคือคอลลาเจนที่มีมากเกินไป

การสร้างคอลลาเจนเพื่อการหายของแผลคือกลไกปกติของร่างกาย ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ไม่ว่าจะเป็นไหมละลายหรือไม่ละลาย ร่างกายก็จะมีการอ้กเสบ มากหรือน้อยแล้วแต่ชนิดของสิ่งแปลกปลอม ผลที่ตามมาคือ การบวม ซึ่งอาจช่วยให้ดูดีขึ้นเล็กน้อย ชั่วคราวไม่นาน และไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อได้ว่าจะสามารถยกผิวหน้าได้ดังที่โฆษณากันมากมายในประเทศไทยยังมีไหมอีกชนิดที่มีการนำมาสอดใส่ใต้ผิวหนังโดยไม่มีการดึงยก คือ “ไหมทอง” ซึ่งมีมาก่อนการใช้ไหมละลาย ทำด้วยทอง อาจมีลักษณะคล้ายกับไหมก้างปลาของเดิม ทำให้เกาะเกี่ยวได้บ้าง หรืออาจจะไม่มีการเกาะเกี่ยว มีแค่การสอดใส่เข้าไปเฉยๆ หลักการของไหมทองนี้จึงเหมือนกับไหมละลายที่มีมาภายหลัง ที่หวังว่าทองจะกระตุ้นผิวหนังให้มีการสร้างคอลลาเจน ใบหน้าจะดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ไหมทองย่อมมีการกระตุ้นคอลลาเจนที่นานกว่าไหมละลาย เพราะทองไม่ละลายและจะกระตุ้นกลไกการซ่อมแซมของร่างกายตลอด ดูเหมือนจะดีกว่าไหมละลายถ้ามองในแง่การสร้างคอลลาเจนอย่างเดียว

ปัจจุบันนี้คงจะทราบกันดีแล้วว่า ในบ้านเรามีข้อถกเถียงกันเรื่องไหมทองกัับการใช้ เครื่อง MRI ในการตรวจสุขภาพร่างกายว่า MRI สามารถทำให้ไหมเคลื่อนที่จนเกิดปัญหาได้ ประโยชน์ที่ได้จากการที่สอดไหมทองที่ใบหน้าอาจจะไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงทำให้ไหมทองได้รับความนิยมน้อยลง น้อยกว่าไหมละลายที่แม้จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้น้อยกว่า แต่ภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า ทำได้ง่ายกว่า

โดยสรุปการใช้ไหมละลายสอดใส่ไว้ลอยๆในผิวหน้า แม้จะทำได้ง่าย มีข้อแทรกซ้อนน้อย (ถ้าไม่มีการติดเชื้อเกิดขึ้น) แต่ผลที่ได้รับไม่น่าจะดีตามที่มีการโฆษณากันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน กลไกการกระตุ้นคอลลาเจนเนื่องจากการทำให้เกิดการบาดเจ็บและขบวนการละลายของไหมเย็บแผลธรรมดาที่ศัลยแพทย์ตกแต่งใช้กันมานานหลายสิบปี ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากมาย และไม่แตกต่างกับการทำให้เกิดการบาดเจ็บโดยเครื่องมือ high tech ทั้งหลายที่ใช้คลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุ

นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ที่สนับสนุนมากกว่าการร้อยไหมเหล่านี้มาก สิ่งที่ต่างกันคือมีการบวมเพิ่มจากปริมาณไหมที่ใส่เข้าไป เหมือนการฉีดสาร filler ที่ไม่ถาวรเท่านั้น ศัลยแพทย์ตกแต่งถือว่าวิธีการร้อยไหมหรือการใช้เครื่องมือกระตุ้นเหล่านี้ได้ผลแค่เป็นการเสริมการผ่าตัด หรือเป็นทางเลือกของคนที่ไม่ต้องการผ่าตัดเท่านั้น เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้หวังผลการเปลี่ยนแปลงมากนัก ต้องมีการทำซ้ำๆ ซึ่งน่าจะดีกว่าการดูแลผิวหน้าในสถานเสริมความงามโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ไม่มากนัก


อีกอย่างและถึงแม้ว่าวัฒนธรรมเกาหลีจะเข้ามาอย่างแจ่มชัดในรูปแบบของความบันเทิงด้วยเพลงหรือละครทั้งหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นผลพวงมาด้วยนั่นคือการศัลยกรรมที่มีเทคนิคและวิธีการมากมายที่จะเติมเต็มจุดบกพร่องของใบหน้าและร่างกายให้เป็นที่พอใจได้ และหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากมายในขณะนี้คือการร้อยไหมละลาย นั่นเอง วันนี้เราจะมาให้ความรู้และข้อเท็จจริงเรื่องการร้อยไหมละลายตามการแพทย์ เพื่อให้คุณได้ข้อมูลที่ปลอดภัยและสามารถตัดสินใจได้ดีที่สุด 

การร้อยไหมเป็นการใช้ไหมละลายสอดร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง โดยเป็นวิทยาการจากประเทศเกาหลีที่มุ่งหวังให้การร้อยไหมนี้เกิดผลทางด้านการกระชับผิวหรือการปรับรูปหน้าเป็น V Shape แบบดารา โดยตามหลักการแล้วการร้อยไหมใต้ชั้นผิวหนัง จะช่วยให้ผิวหนังเกิดการซ่อมแซมในบริเวณตามแนวของเส้นไหมที่ร้อยเข้าไป ทำให้มีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น มีการกระชับตึง และมีเลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ผิวใสขึ้นได้เราพบว่าการร้อยไหมมีประโยชน์หลายอย่างในการปรับใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการยกคิ้ว ยกโหนกแก้ม ยกแนวกราม ยกบริเวณใต้คางให้กระชับขึ้นหรือแม้แต่ลำตัวอย่างท้องแขน หน้าอก ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ด้านไหมที่ทำการร้อยไหมนี้จะเป็นไหมละลายที่ใช้ในวงการแพทย์ศัลยกรรมเพื่อการรักษาอยู่แล้ว เราจะเรียกว่า PDO (Polydioxanone)
ซึ่งเป็นที่นิยมมาก และไหมชนิดนี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาในประเทศไทยแล้ว ในการรักษาการผ่าตัดทั่วไปที่ต้องใช้ไหมละลาย อาทิ การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจแต่สำหรับการศัลยกรรมเพื่อความงามหรือการกระชับผิวนั้นยังไม่เป็นที่รับรองจากอย.ทำให้ศัลยกรรมชนิดนี้จะดำเนินการในคลินิคบางแห่งเท่านั้นและจะไม่มีในโรงพยาบาล

อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ก็จะเลือกการศัลยกรรมเพื่อคงความอ่อนกว่าวัยด้วยวิธีนี้เยอะมากเวลาเดินเจอกันเหมือนเป็นประโยคทักทายว่าเธอไปร้อยไหมมาหรือยัง อีกทั้งแม้ว่าการร้อยไหมเพื่อศัลยกรรมความงามจะยังไม่ได้รับการยอมรับจาก อย.แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็กล้าที่จะลอง เพราะในอดีตนั้นก็มีการร้อยไหมเพื่อศัลยกรรมเช่นกัน 

การร้อยไหมทองคำ - มีความคงทนแต่มีปฏิกิริยากับความร้อนและคลื่นความถี่ต่างๆ แถมราคาสูงอีกด้วย และศัลยแพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญมากเพราะว่าต้องร้อยลึกกว่าชั้นผิวหนังที่ร้อยไหมละลาย อีกกลุ่ม         

การร้อยไหม Aptos - เป็นไหมเหมือนก้างปลาและจะช่วยการยึดเกาะได้ดี แต่ว่าจะต้องร้อยไหมลงลึกกว่าไหมละลายเช่นกัน และพักฟื้นนานกว่าด้วย

ราคาการทำศัลยกรรมร้อยไหม

ในการทำศัลยกรรมร้อยไหม บางคนร้อยไหมทั้งหน้าก็ต้องใช้เป็นร้อยเส้นก็มีเหมือนกัน หลังจากการทำมีระยะพักฟื้นแค่ 5-7 วันอาจจะมีรอยช้ำบวมแดงบ้างเล็กน้อยและอยู่ในระดับที่สามารถแต่งหน้าทับได้ และควรหลีกเลี่ยงการทำทรีทเมนท์กับหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ วิธีการร้อยไหมนี้สะดวกและมีผลแทรกซ้อนน้อยจึงทำให้มีความนิยมกันเยอะมาก โดยไหมละลายจะละลายตัวเองหมดภายใน 6-9 เดือน และร่างกายจะสร้างโครงขึ้นตามแนวของไหมละลายขึ้นมา โครงนี้จะอยู่ได้ประมาณ 1-3 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้หญิงแต่ละคนด้วยว่าดูแลตนเองอย่างไร


ความเสี่ยงในการร้อยไหม

เมื่อต้องมีเข็มเข้าไปในชั้นผิวหนังย่อมสามารถมีการอักเสบติดเชื้อได้ หากคลินิคที่ทำไม่สะอาดพอและมีโอกาสที่ใบหน้าผิดรูปร่างตามการศัลยกรรมของคุณหมอแต่ละท่าน แต่ทั้งนี้ใบหน้าของคนเราก็จะไม่เท่ากันอยู่แล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 3 ปี ดังนั้นการศัลยกรรมจะขึ้นอยู่กับความพอใจของคนไข้ด้วย เราขอแนะนำผู้หญิงที่อยากจะทำการร้อยไหม ว่าต้องชั่งใจและเสาะหาข้อมูลให้พร้อมพยายามคุยกับคุณหมอว่ามีทางเลือกใดบ้าง ในการทำให้ผิวอ่อนเยาว์ที่เหมาะสมกับตนเองจะดีกว่า

 อย่างไรเสียการร้อยไหมก็เป็นเทคนิคทางศัลยกรรมซึ่งอย่าลืมไปว่าก็ยังมีเทคนิคพื้นฐานอย่างเช่นการดูแลตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การกินอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งการนอนหลับอย่างเพียงพอ ก็สามารถช่วยให้สาวๆทั้งหลายชะลอริ้วรอยแห่งวัยและทำให้ท่านสุขภาพดีผิวหน้าเปล่งปลั่ง


ที่มา:สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย
ภาพจาก:https://www.facebook.com/chayaclinic.roymai




Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2557 16:39:25 น.
Counter : 8259 Pageviews.

1 comments
  
ดีจ้า ทักทาย rassapoom rassapoom clinic รัสมิ์ภูมิ รัสมิ์ภูมิ คลินิก ฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ Neauvia ฟิลเลอร์ Ultra V Hyal Filler ฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ Ultraformer ยกกระชับ ลดริ้วรอย สลายไขมันใต้ชั้นผิว ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม Drakarian สลายไขมันใต้ผิว ฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ปาก เลเซอร์กำจัดขน เลเซอร์ขน กำจัดขน Hair Removal ฉีดฟิลเลอร์น้องสาว ฟิลเลอร์น้องสาว ดูดไขมันเหนียง คางสองชั้น FaceTite AccuTite Hifu Super Hifu มาส์กหน้า ตาสองชั้น ทำตาสองชั้น ศัลยกรรมตาสองชั้น ฟิลเลอร์สะโพก ฟิลเลอร์เสริมสะโพก ฉีดฟิลเลอร์สะโพก ฉีดฟิลเลอร์เสริมสะโพก Morpheus Morpheus Pro ยกกระชับผิว ฟิลเลอร์คาง โปรแกรมฟิลเลอร์คาง Exosome Exosome Plus Exosome Plus+ กระชับช่องคลอด ช่องคลอด Vaginal Vaginal Reju Skin Quality ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ใต้ตา Ultracol ไหมน้ำ Allergan โบ Allergan ฉีดโบ Allergan Super Skin Laser ฝ้า กระ ฝ้า กระ จุดด่างดำ Picocare 450 Laser ร้อยไหม ร้อยไหมคืออะไร Lenisna JUVELOOK สารเติมเต็ม REVIVE BELOTERO REVIVE Rejuran Gouri คอลลาเจน กระตุ้นคอลลาเจน Juvederm Juvederm Volite New Juvederm Volite Radiesse Radiesse Filler Sculptra คอลลาเจน เสริมจมูก ศัลยกรรมเสริมจมูก ปลูกผม FUE ฟิลเลอร์ Filler ฉีดฟิลเลอร์ Thermage Thermage FLX ยกกระชับ ยกกระชับผิว Ulthera New Ulthera SPT Ulthera SPT EMFACE ยกกระชับ ยกกระชับกล้ามเนื้อ ฉีดแฟต สลายไขมัน ฉีดแฟตสลายไขมัน CoolSculpting Elite CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น สลายไขมัน BodyTite ดูดไขมัน Emsculpt สร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน สอนฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ สอนฉีดฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ ให้ใจ สุขภาพ
โดย: teawpretty วันที่: 5 เมษายน 2567 เวลา:14:55:01 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

pyopyo2524
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



กุมภาพันธ์ 2557

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28