ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว: มุมมองของคุณแอนดรูว์ บิกส์ (ตอนที่ 1)

โดย: ดร. ประพนธ์ จุนทวิเทศ [สำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา]



ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชมความสามารถของ คุณแอนดรูว์ บิกส์ (Andrew Biggs) มานานแล้ว ซึ่งหลาย ๆ คนคงจะได้รู้จักเป็นอย่างดีแล้วจากทั้งรายการวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือต่าง ๆ หากจะย้อนประวัติของ คุณแอนดรูว์ บิกส์ ก็พอจะทราบว่าเกิดที่เมือง Brisbane ประเทศ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผมได้รับทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่หลายปี คุณแอนดรูว์ บิกส์ เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนภาษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ 1 ปี เริ่มเรียนปริญญาตรีสาขาสื่อสารมวลชนจาก Queensland University จากนั้นทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ The Courier-Mail ใน Queensland แล้วย้ายไปประจำสาขาที่เมือง Melbourne เคยเป็นนักเขียนสารคดีที่ Sydney Morning Herald ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือพิมพ์แนวหน้าที่มียอดขายสูงสุดฉบับหนึ่งของออสเตรเลีย เคยเป็นผู้ประกาศข่าวให้กับสถานีวิทยุเอกชนแห่งหนึ่งในออสเตรเลียแล้วกลับมาทำงานที่ The Courier-Mail อีก จากนั้นก็ออกเดินทางจากออสเตรเลีย โดยตั้งใจจะไปทำงานที่ประเทศอังกฤษ แต่สุดท้ายดันมาลงเอยที่ประเทศไทยแทน สงสัยจะหลงเสน่ห์เมืองไทยหรือไม่ก็สาวไทยเข้าแล้ว





สำหรับชีวิตในเมืองไทยของ คุณแอนดรูว์ บิกส์ เริ่มจากการเป็นนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวให้เดอะเนชั่น ทำคอลัมน์เนชั่น จูเนียร์ สำหรับวัยรุ่นที่อยากเรียนภาษาอังกฤษ ลงในเนชั่น-รายวัน ฉบับวันอาทิตย์ เป็นบรรณาธิการนิตยสารเนชั่นจูเนียร์ ซึ่งสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีสำหรับผมตลอดมา จัดรายการวิทยุคู่กับคนดังคือ คุณสุทธิชัย หยุ่น เริ่มจัดรายการสอนภาษาอังกฤษทางช่อง 11 เป็นพิธีกรในรายการ English on the Microbus TV เคยลงเรียนที่คณะมนุษยศาสตร์ วิชาเอกสื่อสารมวลชน ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดรายการ Easy English ทางโทรทัศน์ ทำรายการเกมโชว์ภาษาอังกฤษชื่อ Super Seven ทางช่อง 9 เป็น ฟรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้า จัดรายการ Talk of the Town ทางช่อง 3 ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงอยู่ขณะนี้ จัดรายการ ฟังความรอบข้าง ทาง ITV จัดรายการวิทยุ NJ Interactive ทางคลื่อน F.M. 90.5 MHZ และสอนภาษาอังกฤษของ กศน. ทางช่อง 11 ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าคนเก่งอย่าง คุณแอนดรูว์ บิกส์ จะทำอะไรได้มากมายขนาดนั้น



สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมมีความประทับใจและชื่นชม คุณแอนดรูว์ บิกส์ เป็นพิเศษ คือว่า คุณแอนดรูว์ บิกส์ เป็นฝรั่งที่รู้จักคนไทยเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของการใช้ภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตลอดจนเรื่องขนบธรรมเนียนประเพณีไทย จะเป็นผู้ที่ใช้ภาษาไทยได้อย่างน่าฟังและเหมาะกับกาลเทศะ อีกทั้งยังเป็นผู้มีอารมณ์ขัน สร้างบรรยากาศให้เกิดความสนุกสนานได้เป็นอย่างดี ผมได้เคยมีโอกาสทำงานร่วมกับ คุณแอนดรูว์ บิกส์ ครั้งหนึ่งเมื่อร่วมเป็นกรรมการคัดเลือกนักเรียนอาชีวศึกษา เพื่อรับทุนไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกับบริษัทในเครือของ เดอะเนชั่น ช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในการทำงานและความสามารถของคุณแอนดรูว์ บิกส์ มากขึ้น



และเมื่อเร็ว ๆ นี้ คุณแอนดรูว์ บิกส์ ได้ออกหนังสือชุด ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว 2 เล่ม เล่มแรกคือ “วิธีพูดภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่ง” โดยแนะกฎง่าย ๆ 10 ข้อ สำหรับคนไทยในการใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนเล่มที่ 2 มีชื่อว่า “อยากเก่งภาษาอังกฤษ คำผิดอย่าเผลอ Oops! ผิดอีกแล้ว” ได้นำเสนอ 40 อันดับคำผิดที่คนไทยใช้บ่อยที่สุดเวลาพูดภาษาอังกฤษ หนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือที่ดีและมีประโยชน์มาก ทั้งสำหรับผู้เรียนทั่วไปที่มีความสนใจในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตน และผู้สอนภาษา อังกฤษที่ต้องการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาในการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย ตลอดจนการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แค่ได้ฟังแค่นี้ก็คิดว่าหลายคนคงอยากจะติดตามต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว



ดังนั้นจึงอยากถือโอกาสนี้นำเอาสาระสำคัญของหนังสือทั้ง 2 เล่มดังกล่าวมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าบางคนยังมิได้มีโอกาสที่จะได้อ่านหรือหาซื้อได้ โดยจะสรุปเนื้อหาของเล่มที่ 1 ให้ฟังก่อน ในฉบับนี้ แล้วจากนั้นจะต่อด้วยเล่มที่ 2 ในฉบับต่อไป หวังว่าคงได้ติดตามกันจนจบ รับรองว่าเป็นความรู้และกลวิธีในการเรียนภาษาอังกฤษที่น่าสนใจอย่างมากที่เดียว

ในหนังสือเล่มแรกของชุดภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวที่มีชื่อว่า วิธีพูดภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่งนั้น คุณแอนดรูว์ บิกส์ ได้นำเสนอกฎ 10 ข้อ หรือ Ten Rules ขึ้น เพื่อให้ช่วยพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง โดยกฎทั้ง 10 ข้อนี้ เป็นผลจากการที่ คุณแอนดรูว์ บิกส์ ได้สังเกต พูดคุยกับคนไทย และสอนนักเรียนนักศึกษาไทยมาหลาย ๆ ปี สำหรับประเด็นสำคัญของกฎแต่ละข้อ มีดังต่อไปนี้



กฎข้อที่ 1 FORGET THE RULES (ลืมกฎซะเถอะ)

ในกฎข้อนี้เสนอแนะว่า เวลาพูดภาษาอังกฤษอย่างไปเคร่งเครียด หรือใส่ใจมากนักกับกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ เช่น Tense กริยา 3 ช่อง เป็นต้น เสนอว่าการท่องศัพท์ไม่มีประโยชน์อะไรหากมิได้มีการนำคำศัพท์นั้นไปใช้พูดคุยให้เป็นประจำ เวลาพูดภาษาอังกฤษควรรวบรวมความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร ไม่ต้องกังวลเรื่องไวยากรณ์ กริยาจะเป็นช่อง 1, 2 หรือ 3 ให้ลืมกฎไวยากรณ์ขณะที่พูดภาษาอังกฤษ



กฎข้อที่ 2 MAKE MISTAKES (จงพูดผิด) 

กฎข้อนี้เสนอแนะให้กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ ให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ปล่องให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดผิด ไม่ต้องกลัวขายหน้า หรือผู้ฟังจะไม่รู้เรื่อง ตามจริงแล้วฝรั่งหลายคนก็ยังพูดภาษาอังกฤษผิดตลอดเวลาด้วยความขี้เกียจ ส่วนในกรณีที่ฝรั่งฟังไม่เข้าใจ เขาจะบอกหรือถามเอง และมักจะแก้ให้ทันที จึงควรถือโอกาสในการพูดผิดเป็นบทเรียนที่ดีอย่างหนึ่ง



กฎข้อที่ 3 DON’T TRANSLATE (ห้ามแปลตรงตัว)

เวลาพูดภาษาอังกฤษไม่ควรแปลตรงตัวจากไทยเป็นอังกฤษ หากแปลแบบตรงตัวจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พูดผิด และทำให้พูดช้า ดังนั้นเมื่อฟังคำถามภาษาอังกฤษ ให้คิดคำตอบเป็นภาษาอังกฤษ และก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษออกมาเลยทันที อย่าไปมัวเสียเวลาแปลเป็นไทย ให้ตอบกลับทันทีเป็นภาษาอังกฤษ มิฉะนั้นจะคิดและตอบช้าเกินไป นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้ Present Perfect Tense แทนคำว่า เคย ดีกว่าใช้คำว่า ever เป็นต้น



กฎข้อที่ 4 KEEP IT SIMPLE (ใช้ภาษาแบบง่าย ๆ)

พยายามใช้ศัพท์และโครงสร้างประโยคที่ง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียนภาษาอังกฤษก็ตาม ไม่ควรถือเป็นโอกาสที่จะโอ้อวดความสามารถทางด้านภาษา แต่ให้ยึดจุดประสงค์ที่สำคัญคือการสื่อสารนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่ออยากพูดภาษาอังกฤษก็ต้องพูดภาษาอังกฤษ และใช้ศัพท์ที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย





กฎข้อที่ 5 COULD YOU PLEASE SLOW DOWN? (กรุณาพูดช้า ๆ หน่อย)

ในเวลาสนทนาภาษาอังกฤษกับฝรั่ง หากพูดเร็วและฟังไม่ทันให้พูดว่า Excuse me. Could you please slow down? ที่แปลเป็นไทยว่า ขอโทษ กรุณาพูดช้า ๆ หน่อย ให้ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจไว้ และเนื่องจากว่าเป็นประโยคคำถาม ดังนั้นจะต้องขึ้นเสียงสูงตอนท้ายประโยค ฝรั่งเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ยินดีที่จะพูดช้าลงอย่างแน่นอน





กฎข้อที่ 6 RELAX (ทำตัวสบาย ๆ)

ข้อนี้เสนอแนะให้ทำตัวสบาย ๆ เป็นธรรมชาติขณะที่พูดภาษาอังกฤษ และเมื่อต้องพูดภาษาอังกฤษแบบสด ๆ หลายคนจะรู้สึกตื่นเต้น แนะนำให้หายใจลึก ๆ พ่นออกมาอย่างช้า ๆ และยิ้ม ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาและเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คน ให้คิดว่ามีโอกาสดีที่จะได้พูดคุยกับฝรั่ง หากร่างกายเกร็ง สมองก็จะพลอยตีบตันไปด้วย เมื่อร่างกายรู้สึกสบาย มักจะพูดได้คล่อง คิดได้ง่าย และพูดภาษาอังกฤษได้ดี



กฎข้อที่ 7 LISTEN AND COPY (ฟังแล้วเลียนแบบ) 

เนื่องจากคนไทยมีความสามารถในการเลียนแบบดีอยู่แล้ว ข้อนี้เสนอแนะให้เลียนแบบฝรั่งเมื่อพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ให้เปิดหู กว้างคอยฟังวิธีที่ฝรั่งออกเสียง ฟังแล้วเลียนแบบและจำเอาไว้ใช้ในอนาคต การฟังที่ดีจะช่วยให้พูดถูกต้องยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ตอบคำถามได้ดีอีกด้วย



กฎข้อที่ 8 GUESS (เดา) 

ให้เข้าใจไว้ว่า ไม่จำเป็นที่ต้องเข้าใจทุกคำที่ได้ยินในภาษาอังกฤษ ให้ฟังแต่คำสำคัญ ไม่ต้องสนใจมากนักกับส่วนที่เหลือ ให้ใช้วิธีการเดาดีกว่า วิธีนี้จะช่วยให้ผ่อนคลาย ไม่เกรงกลัวภาษาอังกฤษ และจะให้เวลาฟังคำสำคัญอื่น ๆ เพื่อให้เข้าใจความหมายยิ่งขึ้น



กฎข้อที่ 9 GIVE YOURSELF TIME (ต้องให้เวลากับตัวเอง)

กฎข้อนี้บอกว่า การเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง การเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ต้องเริ่มจากการมีทัศนคติที่ดีและถูกต้องต่อภาษาอังกฤษ จะต้องให้เวลากับตัวเองในการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ต้องยอมให้ภาษาอังกฤษเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ด้วยการใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน



กฎข้อที่ 10 READ READ READ (อ่าน อ่าน และก็อ่าน)

เสนอแนะให้ใช้ชีวิตควบคู่ร่วมไปกับการใช้ภาษาอังกฤษ และการอ่านจะเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะช่วยให้พูดภาษาอังกฤษได้ดี การอ่านในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะการอ่านตำราภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่หมายถึงการอ่านสิ่งที่ต้องการจะอ่านมากกว่า เมื่อเจอศัพท์ วลี ประโยค หรือย่อหน้าที่ไม่เข้าใจ ให้ลองเดาความหมายจากบริบท (Context) ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมทุกครั้งที่ไม่เข้าใจ การทำเช่นนี้ไม่นานจะช่วยทำให้ภาษาอังกฤษดีขึ้น



ในตอนท้าย คุณแอนดรูว์ บิกส์ ยังแถมกฎอีกข้อหนึ่งที่ชื่อว่า FIND A FOREIGN FRIEND (หาเพื่อนฝรั่ง) โดยเสนอแนะว่า การมีเพื่อนเป็นฝรั่งจะช่วยพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างน้อยการมีเพื่อนเป็นฝรั่งจะมีประโยชน์อยู่ 2 ประการคือ ช่วยให้ฝึกภาษาอังกฤษได้บ่อยขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงิน หรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และยังช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมของคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ดียิ่งขึ้น



นอกจากนี้ คุณแอนดรูว์ บิกส์ แสดงความคิดเห็นว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สวยงาม ภาษาอังกฤษเป็นเพียงภาษาเท่านั้น ไม่ใช้สิ่งประหลาด แต่ว่าเป็นอุปกรณ์ที่รอการหยิบมาใช้โดยไม่มีอันตรายอันใดเลย แต่สิ่งที่เป็นอันตรายอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ความโง่เขลาที่เกิดจากการไม่มีความรู้ การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยพัฒนาและแก้ปัญหาในสังคมได้ ปัจจุบันภาษาอังกฤษนับว่ามีความสำคัญมากขึ้น ผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการใช้อินเทอร์เน็ตที่ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด เป็นแหล่งอ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ข้อมูลส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้นหากมีความรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จะทำให้สามารถสื่อสารกับคนได้ทั่วโลก มีความคิดและโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น ใช้ชีวิตได้อย่างน่าสนใจมากขึ้น จึงควรพยายามให้ภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวันและใช้มันทุกวันอย่างไม่กลัว



สำหรับตัวอย่างและรายละเอียดต่าง ๆ ของกฎแต่ละข้อนั้น สามารถดูเพิ่มเติมได้จากหนังสือดังกล่าวเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น

จากกฎทั้ง 10 ข้อที่ คุณแอนดรูว์ บิกส์ นำเสนอไว้หลายคนอาจจะเห็นด้วย ขณะที่อีกหลายคนอาจจะไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความเห็นของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ต้องการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง หรือต้องการพัฒนาทักษะการพูดและสนทนาภาษาอังกฤษ หากได้ลองใช้เทคนิควิธีอื่น ๆ มาแล้วไม่ได้ผล ก็สามารถลองนำไปใช้ได้ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าท้าทายมิใช้น้อย



หนังสืออ้างอิง



แอนดรูว์ บิ๊กส์. 2542. วิธีพูดภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่ง. ชุดภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว (เล่ม 1).

กรุงเทพมหานคร: ดับเบิ้ลนายน์พริ้นติ้ง.

แอนดรูว์ บิ๊กส์. 2545. Oops! ผิดอีกแล้ว – อยากเก่งภาษาอังกฤษคำผิดอย่าเผลอ. ชุดภาษา

อังกฤษง่ายนิดเดียว (เล่ม 2). กรุงเทพมหานคร: ดับเบิ้ลนายน์พริ้นติ้ง.


ต่ออีกนิด

ฝากเชิญทำแบบสอบถามเกี่ยวกับ Online Shopping หน่อยครับ: ทำ Survey





Free TextEditor



Create Date : 29 มีนาคม 2554
Last Update : 30 มีนาคม 2554 9:50:44 น.
Counter : 5922 Pageviews.

2 comments
  
เป็นคำแนะนำที่ดีมากค่ะ...
โดย: ภัสสรา วันที่: 29 มีนาคม 2554 เวลา:20:54:43 น.
  
โดย: linglingkame9 วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:19:06:40 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

K-phone
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



หวังว่าการเสนอแนะใน Blog ของผมจะมีประโยชน์บ้าง ไม่ได้เป็นการคิดค้นอะไรที่ใหญ่โต แต่เป็นการอาสานำเอาจุดเล็กๆมาฝึกฝน มาขยายเพื่อเกิดประโยชน์ในการใช้ภาษา หากท่านสมาชิกที่เยี่ยมชม Blog นี้มีข้อคิดเห็นก็ช่วยๆกันแนะนำส่งเสริมได้ครับ

Smiley






Free TextEditor
มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
30
31