คนที่ชอบศึกษาธรรมะ ก็คงจะได้ยินคำกล่าวในทำนองที่ว่า..
คนเราย่อมพบเจอกับการพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรักเป็นธรรมดา
หรือ คนเราย่อมหนีความตายไม่พ้น เป็นธรรมดา..
ก็ในเมื่อ ความตาย เป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลายจะต้องพบ จะต้องได้สัมผัสแน่
ในสักวันหนึ่ง ซึ่งอาจจะไปเกิดกับใครก็ไม่รู้ อาจจะเป็นคนที่เราไม่รู้จักมักคุ้น
หรือเป็นคนใกล้ตัว เช่นญาติผู้ใหญ่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ พี่น้อง
แม้กระทั้ง สัตว์เลี้ยงแสนรักของเรา
จนสุดท้ายก็คงไม่พ้นเป็นใครอื่นนอกจาก ตัวของเรานี่เอง..
เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกกับผู้เขียนว่า ชีวิตของคนเรานี้สั้นนัก
เผลอแป๊บเดียวก็แก่เสียแล้ว ดูเอาสิจากตอนเด็กๆเวลาไปงานศพที่ไหนๆ
คนที่ถูกเชิญให้ไปนั่งในที่ใกล้พระสวดมักจะเป้นคนแก่แถวๆบ้าน
คนหนุ่มคนสาวก็อยู่ห่างออกมา แต่พออายุมากขึ้นๆ เขาก็เชิญให้เราเข้าไปนั่งๆใกล้พระ
ไปเป็นคนจุดธูปเทียนบ้าง ขยับเข้าไปใกล้โลงศพคนตายไปทุกทีๆ..
เป็นสัจธรรม ความตายนั้นก็เป็นสัจธรรม
คนที่นึกถึงความตาย หรือ ระลึกถึงความตายบ่อยๆ
ไม่ใช่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย มีชีวิตอยู่กับเรื่องไม่เป็นมงคล
แต่เป็นเพราะเขากำลัง อบรมสั่งสอน จิตใจตนเองให้คุ้นชินกับความตาย
มีชีวิตอยู่กับความไม่ประมาทต่างหาก
ส่วนคนที่คิดว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว คิดว่าชีวิตของเราจะยังยั่งยืนยงอีกนาน
ไม่รู้ว่าจะมาคิดเรื่องนี้ให้จิตใจเศร้าหมอง หดหู่ทำไม
ปล่อยให้คนที่มีชีวิตแบบปลงตกกับชีวิตเขาคิดกันไปเถอะ ส่วนฉันขอสนุกสนานก่อน
เชื่อหรือไม่ว่าคนที่ชีวิตแบบไม่เคยระลึกถึงความตายเลย
หากเจอสิ่งกระทบแรงๆเช่น ต้องสูญเสียคนรัก หรือญาติมิตรไปอย่างปัจจุบันทันด่วน
จะมีสภาพตั้งตัวไม่ได้ หรือสติแตกไปเลย
เพราะไม่เคยได้เตรียมตัวเตรียมใจ พร้อมรับการสูญเสีย..
จะทำใจยอมรับความจริงได้ยาก หรือต้องใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจยืดยาว
การไปงาน อวมงคล อย่างงานศพ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปเพื่อแสดงความเสียใจ
ต่อญาติผู้ล่วงลับเท่านั้น แต่ยังได้ประโยชนืต่อชีวิตของเราไม่น้อย..
อย่างน้อยก็ไปร่วมบำเพ็ญบุญ ขออโหสิกรรมแก่ผู้ตาย หากเคยได้ล่วงเกินกันมา
หรือการไปพบปะญาติมิตรที่ไม่เคยเจอกันมานาน มาปรับทุกข์ต่อกับ
ทำให้เรารู้ว่า ช่วงเวลาที่ชีวิตแย่ๆไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง
แต่เป็นเหมือนกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เราเอง
ไปฟังเสียงพระสวดภาษาบาลีที่แม้เราไม่เข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นก็จริง
แต่เสียงพระสวดก็เป้นเหมือนการ เรียกสติของเราให้มาอยู่กับปัจจุบันได้อย่างดี
ไม่แหวกว่ายไปหาอนาคต หรือหมกหมุ่นอยู่กับอดีตดีร้ายแม้เพียงชั่ววินาที..
ที่สำคัญได้ไปเห็นความจริงของชีวิตอีกด้านหนึ่งว่า
คนที่นอนอยุ่ในโลงขณะนี้ เขาก็เคยมีความทุกข์ มีความสุข เคยโลภเคยโกรธเคยหลงผิด
ไม่ต่างจากเรา ต่างกันแค่เพียง..
อีกคนนอนอยู่ในโลงแล้ว แต่อีกคนกำลังจะตามไปในไม่ช้าแน่นอน..
สัจธรรมจากความตาย สัจธรรมจากความพลัดพรากสูญเสีย
ไม่เคยโกหกใคร เกิดได้อยู่ทุกมุมโลกแทบจะทุกๆนาที
แม้ในความจริงในด้าน ปรมัตถ์ จะไม่เคยมีใครเกิดมา และไม่มีใครต้องตายไป
ต่างเป็นเพียงธรรมชาติที่อิงอาศัยกันมาชั่วครั้งชั่วคราว
เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัยตอนนี้ก็แตกสลายเลิกลากันไป จนกว่าจะมาประชุมรวมตัวกันใหม่
มาสร้างเหตุก่อผลสืบสานกันไปไม่รู้จบ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ นิพพาน
อย่าให้ความตายของใครคนหนึ่งต้องเสียเปล่าเลย
อย่าให้การจัดงานศพเป็นแค่เพียงพิธีกรรมตามประเพณี..
อย่าให้งานศพนี้เป็นเพียง งานศพที่ว่างเปล่า..
เพราะ คนที่ยังอยู่ ไม่เคยน้อมใจไปรับรู้ความจริงของชีวิต..
เอาสาระจากความไม่แน่นอนของชีวิต ให้ตนเองได้เรียนรู้และฉลาดขึ้น
อย่าได้เสียเวลาในโลกนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์เลย..
ขอขอบคุณเจ้าของภาพสวยๆทุกภาพครับ