"I'd like to share a revelation that I've had during my time here. It came to me when I tried to classify your species. I realized that you're not actually mammals. Every mammal on this planet instinctively develops a natural equilibrium with the surrounding environment, but you humans do not. You move to an area, and you multiply, and multiply, until every natural resource is consumed. The only way you can survive is to spread to another area. There is another organism on this planet that follows the same pattern. A virus. Human beings are a disease, a cancer of this planet, you are a plague, and we are the cure."
คำว่า revelation เป็นคำนามที่มาจากกริยา reveal ที่แปลว่าเปิดเผย แต่พอเอามาใช้เป็นนาม revelation จึงหมายถึงการที่ตัวเองได้รับการเปิดเผยให้รู้แจ้ง ประมาณว่าไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลยแล้วจึงมาทราบ ที่สมิธเอามาใช้ตรงนี้แทนที่จะใช้คำพื้นๆ เช่น knowledge, fact ก็เพราะว่าเขาพึ่งได้รู้แจ้ง (ดูจากประโยคต่อไปที่ว่า it came to me when ซึ่งในที่นี้ it แทนคำ revelation นั่นเอง แปลว่าพึ่งทราบตอนนั้น)
ประโยคต่อมาจะยาวขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วประโยคนี้ไม่ยากเลย แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์ในการอ่านบางคนอาจแยกโครงสร้างไม่ได้ มาลองทำด้วยกันอย่างง่ายๆ นะครับ ประโยคนี้ประกอบไปด้วยสองประโยคย่อย คือประโยคก่อนและหลังคำว่า but ซึ่งแสดงว่าทั้งสองประโยคย่อยต้องค้านซึ่งกันและกัน
ประโยคย่อยอันแรกมีประธานคือ Every mammal (สังเกตว่า every ตามด้วยคำนามโดยไม่ต้องใส่ s ที่นาม) แปลได้ว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกตัวในโลกนี้ โดย on this planet เป็นคำขยายประธาน ให้สังเกตว่าใช้ on กับ planet นะครับ เพราะ on เป็น preposition ที่ใช้กับพื้นผิว แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้คำว่า world ก็ต้องใช้ in the world แทน เนื่องจาก in เป็น preposition ที่ใช้อ้างถึงปริมาตร เช่น in the box เป็นต้น โดยในที่นี้ world ใช้สื่อถึงโลกที่มีคนอาศัยอยู่ข้างใน ก็เลยใช้ in แทน
ดังนั้นเอง กริยาของประโยคย่อยอันแรกคือ develops (ต้องมี s เพราะ every+noun จัดว่าเป็นเอกพจน์ เช่นเดียวกับ each+noun, each of+noun ในขณะที่ all+noun เป็นพหูพจน์) ส่วนกรรมคือ equilibrium แปลตรงๆ ว่าสมดุลย์ ซึ่งมีคำพ้องความหมายคือ balance นั่นเอง แต่ในกรณีที่ใช้กับสังคมหรือระบบนิเวศน์แล้ว คำว่า equilibrium จะถูกนิยมใช้มากกว่า ส่วนคำอื่นๆ ก็ง่ายๆ นะครับ natural เป็นกริยาของ nature (ธรรมชาติ) ส่วน environment แปลว่าสิ่งแวดล้อม แล้ว surround เป็นกริยาแปลว่าล้อมรอม (นึกถึงเครื่องเสียง surround ไว้ครับ) พอเอามาใช้กับ environment ก็เลยต้องเติม ing เข้าไปเป็น surrounding environment แปลว่า สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว (ตัวอย่างของการสร้างนามแบบนี้ก็เช่น a sleeping man คนหลับ a talking dog หมาพูดได้ เป็นต้น ซึ่งการสร้างนามแบบนี้จะช่วยให้สร้างประโยคที่กระชับขึ้นได้แทนที่จะต้องใช้ประโยคที่ยืดเยื้อ เช่น a man who sleeps หรือ a dog that talks)
ประโยคต่อมาคือ "The only way you can survive is to spread to another area" ซึ่ง survive แปลว่ารอดชีวิต (นึกถึงเรียลลิตี้โชว์ survival ที่ดูว่าผู้แข่งขันคนไหนจะรอดเป็นคนสุดท้าย -- ซึ่ง survival เป็นนามนั่นเอง) ส่วน spread แปลว่ากระจาย (เอ อันนี้นึกถึง tuna spread ดีไหม อิๆๆๆ ไม่ดีๆ นึกถึงประโยค spread the news ที่แปลว่ากระจายข่าวดีกว่า) ดังนั้นประโยคนี้แปลว่า "ทางเดียวที่มนุษย์จะรอดชีวิตต่อไปคือย้ายไปอยู่พื้นที่แห่งใหม่"
"There is another organism on this planet that follows the same pattern. A virus" -> ในโลกนี้ มีสิ่งมีชีวิตอีกแบบหนึ่งที่ใช้ชีวิตในรูปแบบเดียวกัน ไวรัสยังไงล่ะ (organism = creature = สิ่งมีชีวิต, ส่วนเวลาลอกตามแบบใคร เขาใช้คำว่า follow the pattern ครับ อย่าใช้ copy)
แล้วสมิธก็จบได้เจ็บจี๊ดดดด ตอนผมฟังอยู่ในโรงหนังนี่ถึงกับอึ้งๆๆๆ แบบว่า เออ จริงของมันว่ะ "Human beings are a disease, a cancer of this planet, you are a plague, and we are the cure" "มนุษย์คือโรคร้าย คือมะเร็งของโลกนี้ พวกแกคือเชื้อโรค และพวกเราคือยารักษา"
disease นี่มาจาก ease ที่เป็นนามของ easy พอเกิดการ dis+ease ซึ่ง dis แปลว่าไม่ ก็คือไม่สบาย หรือมีโรคนั่นเอง ส่วน plague นี่แปลได้ประมาณว่าเชื้อโรคที่ระบาดได้ ให้สังเกตว่าสมิธใช้ a disease, a cancer, a plague ซึ่งแปลว่ามนุษย์เป็นเพียงเชื้อโรคตัวหนึ่งเท่านั้น แต่สมิธเรียกตัวเองว่า the cure ซึ่งการใช้ the เป็นการเน้นว่าตนเป็นผู้รักษาสำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ