เราเลือกบินกับEtihad Airway จากประเทศไทยไปลง Abu Dhabi สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์และต่อเครื่องไป Athens ใช้เวลาบินรวมเกือบ 11 ชั่วโมง แอร์สายการบินนี้น่ารัก ขยัน Feed เสริฟตลอดเวลาเรียกได้ว่าหลับไม่เคยสนิท อันนี้ชื่นชมนะ เราแลนด์ดิ่งที่สนามบิน EleftheriosVenizelos International Airport เมือง Athens ตอน 06.30 (เช้า) ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแบบสบายๆเพราะเราขอวีซ่ามาแล้ว หลังจากล้างหน้าแปรงฟันจัดการสภาพตัวเองให้เป็นมนุษย์ ก็หาจุดฝากกระเป๋า เพื่อนั่งรถไฟสายสีน้ำเงินไปAcropolis เยี่ยมชมวิหารเหล่าเทพ กับสถาปัตยกรรมที่แฝงสตอรี่ยุคประวัติศาสตร์ของกรีซ กับอากาศ 8º ที่หนาวกว่าที่คิดไว้ซะอีก
จากสนามบินเรามุ่งหน้าสถานี Syntagma (ค่ารถไฟคนละ 7 ) และเปลี่ยนสายรถไฟเป็นสายสีแดงไปสถานี Acropoli อีก 1 สถานี (ค่ารถไฟคนละ 1.2 ) ระหว่างทางในรถไฟผมเริ่มสังเกตว่าชาวกรีซที่อยู่รอบตัวเราเกินกว่าครึ่งที่เจอทั้ง เด็กน้อย วัยรุ่นจนถึงหนุ่มสาววัยเฟิร์ทจ๊อบเบอร์ หน้าตาดีมาก ทำเอาพี่สาวผมออกอาการตาใสยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียว อิ่มและดิ มื้อเช้าไม่ต้องกินเนอะเจ๊ 555+ ประมาณ 40 นาทีจากสนามบินเราก็มาถึง Acropolis แต่แวะจัดมื้อเช้าแรกที่กรีซ(มื้อกลางวันเวลาไทย) ที่ร้าน Yard Café ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ Acropolis ก่อนต้องปีนขึ้นเนินเขาไปสัมผัสสตอรี่ในอดีตของดินแดนแห่งทวยเทพ ระหว่างจัดมื้อเช้า ก็อาศัย Wi-Fi ที่ร้านป่าวประกาศในโลกโซเชียลว่า มาถึงกรีซแล้วโว้ย Acropolis มีค่าเข้าชม 12 ผมว่ามันคุ้มเกินคุ้ม เพราะองค์ประกอบของAcropolis ทั้งวิหาร Parthenon,โรงละคร Theatre of Dionysus, โรงละคร Theatreof Herod Atticus, วิหาร Erechtheion รวมถึงสตอรี่ของเทพีAthina กับเทพ Posedon (เทพเจ้าแห่งทะเล)ที่แข่งขันกันเป็นเทพอุปถัมภ์เมือง ก่อนเทพีอทีน่าจะเป็นผู้ชนะ
ทั้งหมดมันสะท้อนเรื่องราวในอดีตและแสดงความยูนิกของกรีซได้ชัดเจนมาก นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวเมือง Athens จากมุมสูงได้ทุกทิศทาง ทั้งจากลานเสาธงชาติกรีซรวมถึงตรงยอดภูเขาหิน Areopagos ที่อยู่ใกล้ๆกับ Acropolis ได้อีกด้วย
หลังซึมซับความยิ่งใหญ่ และเก็บภาพสวยๆ บนยอด Acropolis ท่ามกลางอากาศหนาวจนเต็มอิ่มแล้ว เราก็ลงมาเดินเล่นชมถนน และตึกเก่าแก่ ย่าน Plaka กันต่อ ย่านนี้ถนนบางจุดเป็นหินอ่อน มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ สวยๆ ให้เลือกนั่ง รวมถึงร้านขายของที่ระลึกให้ช้อปปิ้งทำเอาเราเดินถ่ายรูปได้แบบไม่รู้สึกเบื่อ จนถึงเวลาที่ต้องกลับไปสนามบินเพื่อนั่งรถบัสไปท่าเรือRafina Port ที่ที่เราจองโรงแรม Avra Hotel ใกล้ๆกับท่าเรือไว้ เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเรามีโปรแกรมนั่งเรือเฟอร์รี่ไปเกาะ Mykonos หนึ่งในสมาชิกของหมู่เกาะ Cyclades บนรถไฟขากลับสนามบิน มีสตอรี่ทำเราอมยิ้มในความแปลก เพราะเราเจอทั้งคนเดินขายปากกาและเด็กที่เดินเป่าฟรุตแลกเงินบริจาค สุดท้ายเราหยิบเหรียญให้เด็กน้อยไป 30cen ก็ไม่ให้ได้ไง พี่แกเล่นมายืนเป่าจองตาเราขนาดนั้น เมืองไทยมีแบบนี้คงฮาดีเหมือนกัน
หลังจัดการค่าฝากกระเป๋าเรียบร้อย (ใบละ 3 ราคาขึ้นอยู่กับขนาดกระเป๋าและเวลาฝาก ) เราก็ต่อรถบัส เพื่อไปท่าเรือ Rafina ป้ายรถบัสอยู่ตรงข้ามกับโรงแรม Sofitel ติดกับสนามบิน รอประมาณ 15 นาที ก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่ท่าเรือ บนรถมี Free Wi-Fi ด้วย ช่วงออนเดอะเวย์ 20 นาทีบนรถ เลยเป็นช่วงเวลาการแชร์เรื่องราวของ Acropolis ในโลกโซเชียล (ค่ารถบัสคนละ 3 )
รถมาจอดส่งสุดสายคือท่าเรือ Rafina โรงแรม Avra Hotel ที่เราพักอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเดินไม่เกิน 200 เมตรเรา Check in เก็บกระเป๋า และออกมาเดินหาบริษัท Mamalis Travel เป็น Office Agent ของเรือ Fast Ferries เพื่อเอาเอกสารที่จองผ่านเว็ปไซด์มาแลกตั๋วเรือของวันพรุ่งนี้(ค่าเรือคนละ 27 )
วันรุ่งขึ้นเรือเฟอร์รี่ออกจาก Rafina เวลา 07.25 น. และจะถึงเกาะ Mykonos ตอน 11.25น. เช้าวันนี้ทะเล Aegean อารมณ์ไม่ค่อยดี คลื่นลมแรงเอาเรื่อง ทำเอาเดินบนเรือแบบตัวเอียง เรือแวะจอดที่ท่าเรือเกาะ Andros และ เกาะ Tinos ก่อนจะถึงท่าเรือ New Port ของเกาะ Mykonos ช้ากว่ากำหนดไปเกือบ 30 นาที
ก่อนถึงที่ Mykonos อากาศแปรปรวน ข้าวของบนเรือถึงขนาดเคลื่อนไหวได้เอง ลมก็แรงมากทำให้อุณหภูมิที่หนาวอยู่แล้วหนาวขึ้นกว่าเดิมจากท่าเรือใหม่ เรานั่งรถบัสมาท่าเรือเก่า Old Port ประมาณ 10นาที (ค่ารถคนละ 3 )และจำเป็นต้องเรียก Taxi ไปโรงแรมต่อ เพราะอยู่ๆ ฝนก็ตกเทลงมาเจอค่า Taxi ไป 20 จุกเหมือนโดนตุ๊ยท้อง...เราพักที่ Mykonos Beach Hotel ห้องพักที่นี่น่ารักเป็นบ้านผนังสีขาว ประตู หน้าต่างสีน้ำเงิน และ seaview ทุกห้อง พนักงานโรงแรมเป็นกันเองมาก
หลังเก็บของก็ออกสำรวจ Mykonos และหามื้อกลางวันกินกัน เราแวะทักทาย ถ่ายรูปกับ Top Point ของที่นี่ทั้ง Windmills (กังหันลม) กับย่าน Little Venice (โซนร้านอาหารที่ติดทะเล)
เราเดินซึมซับบรรยากาศเมืองน่ารักๆ แบบเต็มอิ่มก่อนกลับเข้าโรงแรม และแล้วทะเล Aegean ก็แสดงพลังที่อยู่เหนือการควบคุม...Emailจากบริษัท Sea Jet เรือเฟอร์รี่ที่จองไว้จาก Mykonos ไป Santorini ก็เด้งเข้ามือถือ Dear Customers we would like to inform you that tomorrow, the itinerary of the high-speed vessel SEA JET 2 has been cancelled due to the detention of departure (because of severe wind and sea conditions) คราวนี้ผมกับพี่สาวหน้าชาเหมือนโดนตบหน้าแบบเต็มๆ หนักกว่าโดนค่า Taxi 20 เราจะไปต่อ Santorini ไม่ได้เรือเฟอร์รี่งดเดินทางเพราะคลื่ม ลมแรงมาก
แต่อย่างน้อยโชคยังเข้าข้างเราอยู่บ้าง เพราะที่ Mykonos มีสนามบิน เพื่อหนีจากการติดเกาะและไปต่อเกาะ Santorini ไฮไลท์ของทริปนี้ เจ๊ เอาตรงๆ บินกลับ Athens กัน เราอยากไป Santoriniไม่อยากเสียที่พักที่ Oia ไปฟรีๆ ผมหารือกับพี่สาวร่วมทริป แบบประโยคปลายปิด เออ จัดไปแก จองเลย เชื่อไหมครับสิ่งที่สำคัญมากอีกสิ่งนึง ในการเดินทางท่องเที่ยว ก็คือบัดดี้ที่มีเคมีเดียวกัน ขอบคุณทริปนี้ที่ผมมีผู้ร่วมเดินทางไม่ผิดคน เราจองตั๋วเครื่องบิน Aegean Airline ไฟล์ทวันรุ่งขึ้นตอน11.55 น. บินกลับถึง Athens 12.30 น. ไปตั้งต้นและบินต่อSantorini ตอน 16.35 น. เพื่อให้ถึง Santoriniตอน 17.20 น. ให้ทันชมพระอาทิตย์ตกที่ป้อม Goulas Castle จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม โรแมนติก ติดอันดับต้นๆของโลก...หลังมื้อเช้าที่ Mykonos Beach Hotel เราบ๊ายบายเจ้าหน้าที่โรงแรม ก่อนที่เธอจะให้รถจะไปส่งเราที่สนามบิน Mykonos สภาพอากาศตอนเครื่องขึ้นจาก Mykonos กลับ Athens ทำเอาต้องหลับตาท่องนะโม+อิติปิโสตลอดเส้นทาง ขณะเครื่องสั่นไปมา ภาพตรงหน้าผมคือคู่รักชาวจีน ที่เอื้อมมือมาจับกันแน่น โดยมีทางเดินบนเครื่องคั่นกลาง ฝ่ายชายหันมองหน้าฝ่ายหญิงให้กำลังใจตลอดเวลา โอ้ย! บีบหัวใจเหลือเกิน ยังกับฉากจากลากันในหนังและแล้วซุปเปอร์ฮีโร่ก็ปรากฏตัว แอร์โฮสเตสท์สองสาว ลุกขึ้นยืน และเดินเช็คผู้โดยสารทุกที่นั่งจากหัวไปท้ายเครื่อง ประมาณว่าไม่มีอะไรนะคะ กัปตันเอาอยู่ เค้าเทรนด์กันมาดีจริงๆ ผมนี้ชื่นชมมากๆครับ ที่พีคกว่านั้นคือ พอผมหันกลับไปมองพี่สาวร่วมทริป เจ๊แกก็กำลังหลับตาปี๋ทำปากขมุบขมิบนั่นง่ะ! เล่นของอยู่เหมือนกันตอนนั้นจะขำก็ขำไม่ออกครับ (พอมานั่งนึกถึงแล้วโคตรฮา) ก่อนที่กัปตันจะพาเราแลนด์ดิ่งที่สนามบิน El. Venizelos Athens ก่อนกำหนดเวลาอย่างปลอดภัยสงสัยแรงลมส่ง
ทั้งหมดคือสีสันและความตื่นเต้นของการเดินทางในครึ่งแรกที่กรีซมอบให้เราเป็นสิ่งที่สอนให้เรายอมรับและปรับตัวกับสิ่งที่เจอระหว่างทางให้เป็น รวมถึงย้ำเตือนว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ ถ้าให้เปรียบว่ากรีซคืออะไร ผมว่ากรีซน่าจะเหมือนหญิงสาวสวย มากด้วยเสน่ห์ แต่เบื้องหลังซ่อนความเปรี้ยวแก่นเซี้ยว และดุดัน มันคล้ายๆกับสตอรี่ที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ของ Acropolis และความงดงามของหมู่เกาะ Cyclades ที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยเสน่ห์แต่ซ่อนความลึกลับ พร้อมกับเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ไว้มากมาย
การเดินทางในครึ่งหลังรอเราอยู่ กับ Santorini เกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องของมนตร์เสน่ห์ที่ยากจะลืมเลือน...และพบกัน สวัสดีครับ
แล้วพบกันตอนต่อไป (ตอนที่ 2) ^^
7 - 13 April 2015
หวังว่าข้อมูลรีวิวทริปนี้จะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางทุกท่านนะครับ
คุ้มละ