หลังจากภารกิจตามล่าหิมะที่เวียดนามเหนือ กับทริปฮานอย-ซาปา ที่ผ่านมา ก็ทำให้ผมอยากรู้จักกับเวียดนามให้มากขึ้นไปอีกทริปเวียดนามใต้ โฮจิมินห์-ดาลัต-มุยเน่เลยโผล่ขึ้นมาส่งท้ายปลายปีอีกรอบ ความน่าสนใจของทริปนี้ก็คือเราจะเจอกับเมือง 3 เมือง กับ 3 บรรยากาศ (ทั้ง ร้อน ฝน หนาว ของเมือง ป่าสนบนภูเขา และทะเล)
เมือง.....
เราบิน Air Asia มาแลนด์ดิ่งที่เมืองโฮจิมินห์ หรือไซง่อน แล้วต่อ Taxi ไปที่พัก Saigon Backpackers Hostel ย่านฟามหงูลาว์ ย่านที่เป็นโซนศูนย์รวมโฮสเทล และทราเวลเอเจนท์ สำหรับนักท่องเที่ยว ที่โฮสเทลนี้เรียกความรู้สึกการนอนหอพักรวมสมัยเรียนกลับมา ทุกเรื่องที่เราแสดงออก กรน ละเมอ หรือตด จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เข้าใจได้ รอยยิ้มและการ say hi คือใบเบิกทางสำหรับมิตรภาพในห้องพักรวม
หลังเก็บของเรียบร้อย เราก็ออกหามื้อค่ำ ตะลุยไนท์ไลฟ์ของโฮจิมินห์ ย่านนี้มีร้านอาหารครบทุกเกรดทั้งร้านในตลาดสดข้างถนน จนถึงร้านหรูบน rooftop ยอดตึกสูง
เราเรียกน้ำย่อยด้วย เฝอ ร้าน Pho Quynh ที่นักท่องเที่ยวนั่งกินกันแน่นร้าน ต้องยอมรับว่าของเค้าดีจริง แล้วก็เดินเล่นเซอร์เวย์ดู ร้านขายเสื้อผ้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ก่อนจะไปนั่งชิล จิบเบียร์โลคอล ที่ชั้น 13 ของโรงแรม Elios Hotel ชมแสง สี เสียง ของย่านฟามหงูลาว์ แบบเพลินๆ
เสียงเพลงมันมาจากไหน บนตึกที่ไฟสีชมพูนั่นป่ะผมกับน้องร่วมทริปหันมองที่มาของเสียงดนตรี ซึ่งสุดท้ายเราก็พ่ายแพ้ เช็คบิลเปลี่ยนสถานที่ ตามเสียงที่ว่า ไป และค่ำคืนแรกที่โฮจิมินห์ของเราก็จบลงที่ Chill Sky Bar ชั้น 26 & 27 Rooftop ของ AB Tower ที่ที่บรรยากาศ มันส์! สุดยอด! มาก!
7 โมงเช้าวันที่สอง ผมตั้งใจตื่นมาจัดการสภาพตัวเองให้เป็นมนุษย์ ก่อนที่คิวห้องน้ำจะหนาแน่น ตอนจะเอื่อมมือไปเปิดประตูห้องอาบน้ำ เห้ย! นั่นมัน ซาก กกน.สีแดง (ผลพวงจาก อาฟเตอร์ปาร์ตี้เมื่อคืนสินะ) แต่ก็ต้องขอบคุณไอ้เจ้ากกน.สีแดง ที่ช่วยดึงสติ ให้ตื่นเร็วขึ้น ^^
ป่าสนบนภูเขา...
วันนี้เรามีโปรแกรมบินจากโฮจิมินห์ไปดาลัตด้วยสายการบิน Vietjet ใช้เวลาบิน 50 นาทีเราก็แลนด์ดิ่งถึงดาลัต เมืองโรแมนติกสไตล์ยุโรป(อาณานิคมฝรั่งเศส) กลางหุบเขา ที่เต็มไปด้วยป่าสน กับอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี ดาลัตต้อนรับเราด้วยอากาศ 10º ต้นๆ ต่างจากโฮจิมินห์ชนิดฟ้ากับเหว โชคดีที่ผมติดแจ็คเก็ตมาด้วย แต่ไอ้น้องร่วมทริปสิไม่มี สม! 555+
จากสนามบินเราต่อรถ Taxi ไปที่พัก Dalat Train Villa โรงแรมสไตล์ยุโรป ตกแต่งด้วยโบกี้รถไฟ ที่ใช้เป็นที่กินอาหาร ความพิเศษของโรงแรมนี้คือโลเคชั่นที่อยู่บนเนินเขา ทำให้มองเห็นวิวเมืองดาลัตแบบ 180º
เก็บของเสร็จเราก็เช่ามอเตอร์ไซด์ แว้นสำรวจสถานที่เที่ยวของเมืองดาดัตกันต่อเห้ย! แต่ต้องแวะจองตั๋วรถบัสไปมุยเน่ก่อนนี่ เรารีบแว้นไปที่สถานีรถบัสแต่ตั๋วรอบเวลาที่ต้องการดันเต็มแล้ว ต้องเปลี่ยนแผนเหมารถ Taxiไปและกัน เราให้โรงแรมหารถให้ ด้วยการตกลงขอแวะเที่ยวตามจุดที่ต้องการระหว่างทางถ้าไปรถบัสก็ต้องไปหาเช่ามอเตอร์ไซด์ หรือซื้อทัวร์แบบฮาร์ฟเดย์ เพื่อเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวที่มุยเน่อีกทีอยู่ดี
หลังจัดการกับปัญหา ก็มุ่งหน้าไป น้ำตก Datanla ที่มีไฮไลท์คือการนั่งรถราง(แบบบังคับเอง) ลงไปชมน้ำตกและธรรมชาติด้านล่าง ต่อจากน้ำตกก็แว้นต่อแบบงงๆเส้นทาง ไปโผล่วัดตั๊กลม กับสถานีจอดกระเช้าไฟฟ้าชมวิวเมือง
ยืนซึมซับบรรยากาศสักพักก็มีชาวบ้านเดินมาขายสตอเบอรี่สดๆจากไร่ Sir Strawberry? เดี๋ยว! ผู้ชายสองคนเนี้ยะนะ จะซื้อสตอเบอรี่ หึหึ! ครับ..เราซื้อไปกล่องนึง น่าเอ็นดูม่ะ (-_-" เป็นธุระต้องหิ้วกล่องสตอฯไปเที่ยวต่อด้วยกัน
เราแว้นไปเรื่อยๆ จนเหมือนจะออกนอกถนนเส้นหลัก ผ่านหมู่บ้านและไร่สตอเบอรี่ พี่ว่าเราหลงว่ะ แวะถามชาวบ้านเถอะ ผมได้พบกับความใสซื่อ น่ารักแบบของแท้ (real) ที่ไม่ได้สัมผัสมานานมากจากกลุ่มชาวบ้านดาลัตที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ทุกคนก็พยายามช่วยบอกเส้นทางเรา พวกเค้าดูทั้งภาพในหนังสือทั้งแผนที่ พูดภาษาท้องถิ่น และชี้มือชี้ไม้ไปตามถนน คือเห้ย ฟังไม่รู้เรื่องว่ะ Ah...Sorry we dont understand anybody can speak English? ดีนะที่ทุกคนชี้ไปทางเดียวกัน เอาว่ะทางนั้นแหละ
สุดท้ายทางที่ว่าก็พาเรามาโผล่อีกฝั่งนึงของเมือง และก็เจอกับอีกแลนมาร์คนึงของดาลัตที่เราตั้งใจจะแวะ Crazy House ที่ที่เป็นทั้งโรงแรม และตึกทรงแปลกๆให้นักท่องเที่ยวได้ปีนป่ายเหมือนได้ผจญภัยในดินแดนเทพนิยาย
เราได้ชมแสงสุดท้ายของดาลัตจากมุมสูงของตึก Crazy House กันสองคน มันโรแมนติก (แบบแปลกๆ) ที่สุด...^^"
หลังจากนั้นเราก็แว้น ไปหามื้อค่ำที่ตลาดดาลัต ก่อนจะกลับเข้าโรงแรมไปกินสตอเบอรี่ที่ช้ำไปเกือบครึ่งกล่อง (สาบานว่าผมถือแบบประคับประคองที่สุดแล้ว) ก่อนจะหลับไปแบบหมดสภาพด้วยอากาศหนาวๆของดาลัต
ทะลทราย ริมทะเล...
เช้าวันที่ 3 รถ Taxi มารอรับเราตั้งแต่ 7 โมง หลังจากมื้อเช้าบนโบกี้รถไฟของโรงแรม และบ๊ายบายพนักงานโรงแรม เราก็ออกเดินทางและแวะเก็บภาพสถานีรถไฟดาลัตอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค ที่สร้างโดยสถาปนิกฝรั่งเศส สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนี้ถูกใช้เป็นรถไฟเส้นทางท่องเที่ยวสายสั้นๆให้กับนักท่องเที่ยว
และก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่มุยเน่ ดินแดนแห่งทะเลทราย และลำธารแห่งเทพนิยาย ถนนเส้นจาก ดาลัต ไปมุยเน่ มีคำจำกัดความแบบสั้นๆว่า สาหัส! เราผ่านหมู่บ้าน ไร่กาแฟ สวนพริกไท ขึ้นลงตามภูเขา โดยใช้เวลาไปกว่า 5 ชั่วโมง ก็เข้าเขตมุยเน่อากาศที่นี่ก็ทำเอาถอดแจ็คเก็ตทิ้งแทบไม่ทัน...
ทะเลทรายมุยเน่ ทั้งเนินทรายสีขาว และสีแดง กองมหึมา คือสิ่งอะเมสซิ่งที่ต้องเก็บภาพ นักท่องเที่ยวบางคนเช่าแผ่นสไลด์เดอร์ ไถตัวเล่นไปตามเนินทรายบางคนเช่ารถ ATVขับตะลุยความร้อนกลางทะเลทราย แต่สำหรับผมเอาแค่หามุมกล้อง กับคอมโพสิชั่น ภาพที่โอเคแล้วก็ถ่ายซะ ไม่ต้องเดินเข้าไปลึกมาก เพราะมันร้อนชนิดสาหัสจริงๆ ^^
ต่อจากทะเลทรายเราก็ไปลุย แฟรี่สตรีม ธารน้ำในเทพนิยาย มันน่าแปลกที่น้ำมาจากใต้พื้นทรายตลอดทั้งปีไม่มีแห้งได้ยังไง หรือเค้าซ่อนเครื่องสูบน้ำไว้ น้องร่วมทริปกล่าว (_ _)
ที่มุยเน่เราพักที่โรงแรม Surf4you resident ที่พักของกลุ่มนักเล่นเซิฟหญิงชาย ถามว่าเราอยากมาเล่นเซิฟไหม ไม่เลยครับ! แต่ที่เลือกที่นี่เพราะเป็นโรงแรมติดทะเล และมีสระว่ายน้ำ ไม่ได้เล่นเซิฟโชว์ ได้ว่ายน้ำโชว์วันแพค ก็ยังดี ย้ำว่า วันแพค! ^_^"
พี่ว่ามีคนกำลังมองเอ็งวะ เชฟชายหน้าใสจ้องมองน้องชายร่วมทริปด้วยสายตาเอ็นดูมากเป็นพิเศษ เค้าคงแค่แฟรนด์ลี่ มีเซอร์วิซมายด์แหละไม่มีไรหรอก แต่ถ้าจะมี ก็ตัวใครตัวมันนะ หลังมื้อค่ำที่โรงแรมด้วยฝีมือเชฟหน้าใสเราก็เดินเล่น หาร้านของฝาก ก่อนกลับเข้ามานอนพักแบบหมดสภาพอีกเช่นเคย
เช้าวันสุดท้ายของทริป เราให้โรงแรมจองตั๋วรถบัสจากมุยเน่กลับโฮจิมินห์ตอน 10 โมง เพื่อไปขึ้นเครื่อง กลับบ้านตอน2 ทุ่ม ไม่น่าเชื่อว่าเราจะใช้เวลาบนรถบัสไปกว่า 6 ชั่วโมง ดีนะที่เบาะของรถคือ รถนอนของแท้ ทำให้หลับได้ยาวหน่อย เรื่องที่ต้องชมก็คือเค้ารักษาความสะอาดบนรถได้ดีมากเพราะทุกคนต้องถอดรองเท้า และเก็บใส่ถุงพลาสติกที่แจกให้
ระหว่างทางรถแวะจอดที่จุดพักรถ ให้เข้าห้องน้ำ ซื้อของฝาก ประมาณ 20 นาที ที่นี่เรามีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติส่งท้ายทริปด้วยการช่วยเหลือฝรั่ง 2 คนไม่ให้ตกรถ มีฝรั่งเดินลงไปนี่หวา และก็ที่นั่งตรงนั้นด้วย ยังไม่ขึ้นมา ผมกับน้องร่วมทริปปรึกษากันงึมงำๆ ขณะที่รถบัสขับออกจากจุดจอดมาแล้วเกือบ 200 เมตร Hey please stop someone is not on a bus สุดท้ายฝรั่ง 2 คนก็วิ่งข้ามถนนแบบหูตาเหลือก มาที่รถขอบคุณเรา อารมณ์เหมือน เราได้ช่วยชีวิตเค้าจากการถูกจับเป็นตัวประกัน (ไทยแลนด์ ไทยแลนด์ ไทยแลนด์ ไม่มีใครเชียร์ เชียร์ตัวเอง) แต่ที่แปลกสุดๆ คือทั้งเด็กรถและคนขับ ไม่มีทีท่าว่าเค้าได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด....รถบัสมาจอดส่งที่ย่านฟามหงูลาว์ ภาพการมาถึงที่นี่วันแรกย้อนกลับมาในหัวเหมือนเดจาวู เราแวะกินเฝอร้านเดิมทิ้งท้าย ก่อนจะนั่งบัสไปสนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่อง
Cabin Crew Prepare for Landing ถึงบ้านแล้ว...ทริปเวียดนามใต้ กับ 3 เมือง 3 บรรยากาศ โฮจิมินห์ ดาลัต มุยเน่ ( ร้อนฝน หนาว ของเมือง ป่าสนบนภูเขา และทะเล) ให้ความรู้สึกอร่อยแบบกำลังดี เป็นความอร่อยที่ไม่เลี่ยน ความอร่อยที่กลับไปกินได้อีก แบบไม่รู้สึกเบื่อ...ความสนุก มันส์ ของ Chill Sky Bar ความน่ารักของชาวบ้านและอากาศที่หนาวเย็นของดาลัต ความยิ่งใหญ่ของทะเลทรายมุยเน่ทั้งสีขาว และสีแดง ที่ทั้งหมดคือความแตกต่าง บนความเป็นเวียดนามใต้เหมือนกัน..ถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าประเทศเวียดนามคือความมหัศจรรย์ที่น่าจดจำ...
ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางของการเดินทางที่มีความประทับใจ เรื่องราวระหว่างทางมากมายก็เช่นกัน...จนกว่าจะพบกันใหม่ ทริปหน้า สวัสดีครับ
10 - 13 December 2014
หวังว่าข้อมูลรีวิวทริปจะเป็นประโยชน์กับ Travel Mania ทุกท่านนะครับ ^^