Group Blog All Blog
|
บนเส้นทางสายแห่งการต่อสู้ อุดมการ และความขัดแย้งทางความคิด Route 12 ในช่วงเวลาแห่งสายลมหนาวพัดหวลมาเมื่อครั้งก่อน ผมมีโอกาสได้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า เส้นทางสายพิษณุโลก หล่มสัก อีกครั้งในรอบหลายปี เป็นการเดินทางที่มีจุดหมายมากมายหลายแห่ง นั่นคงเป็นเพราะมีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยบนถนนแห่งการต่อสู้ในอุดมการณ์ที่แตกต่างสายนี้ ในครั้งนั้น จุดเริ่มต้นของการเดินทางก็อยู่ที่ จ พิษณุโลก ดินแดนในอ้อมกอดแห่งธรรมชาติอันน่าหลงใหลอีกแห่งหนึ่งในภาคเหนือตอนล่าง สถานที่ที่เป็นที่รู้จักของผู้ไปเยือนเมืองสองแควแห่งนี้คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร มีรูปแบบสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมที่งดงาม เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองพิษณุโลก ภายในพระวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการกล่าวขานว่างดงามที่สุดคุ่เมืองสยาม ยามเมื่อได้เข้าใกล้องศ์พระความงดงามประหนึ่งได้เข้าเฝ้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ได้เห็นความงดงามจนยากที่จะเชื่อว่านี่คือพุทธปฏิมาที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น ภายในบริเวณวัดพระศรีมหาธาตุยังเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถหลวงพ่อโตที่งดงามอีกแห่งหนึ่ง ภายในประดิษฐานหลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่งดงามองศ์หนึ่งในภาคเหนือ ด้วยของเมืองสองแควเป็นอีกจังหวัดที่มีความสมบรูณ์ทางธรรมชาติ มีพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงซึ่งกินพื้นที่ไปถึงเขตอำเภอเขาค้อจังหวัดเพชรบูรณ์ มีลำน้ำเข็กเป็นแม่น้ำสายสำคัญ ตลอดแนวของลำน้ำเข็กยังมีน้ำตกที่สวยงามให้ชมหลายแห่งเป็นที่มาของจุดหมายอีกแห่งอยู่ระหว่างหลักกิโลเมตร ที่ 71-72 คือ น้ำตกแก่งโสภา ที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดในแถบนี้ เป็นน้ำตกที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในสายน้ำเข็ก เขตเชื่อมต่อ อำเภอวังทองและอำเภอนครไทยจังหวัดพิษณุโลก แม้ความรุนแรงของสายน้ำดูจะลดลงมาในยามนี้เมื่อเทียบกับช่วงฤดูฝน แต่สายน้ำที่ทิ้งตัวจากหน้าผาสูงหลายสิบเมตรยังคงส่งเสียงดังกึกก้องทั่วพงไพรราวกับจะประการความยิ่งใหญ่ให้ผู้มาเยือนได้ประจักษ์และรับรู้ กระแสน้ำไหลลดหลั่นเป็นชั้นต่างๆ 3 ชั้น และไหลผ่านไปตามแก่งหินมากมายเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามอีกแห่งหนึ่งในอช.ทุ่งแสลงหลวงเลยทีเดียว ผ่านมาถึงบริเวณ กม.ที่ 80 เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง อุทยานแห่งชาติแห่งที่สามของเมืองไทย มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมพื้นที่สองจังหวัดคือ จ. พิษณุโลกและ จ.เพชรบูรณ์ แม้ว่าที่ทำการอุทยานฯจะอยู่บนเส้นทางสายพิษณุโลก หล่มสัก แต่ตัวทุ่งแสลงหลวงซึ่งเป็นทุ่งหญ้าโล่งใหญ่แบบสะวันนากินเนื้อที่หลายสิบตารางกิโลเมตรเองกลับอยู่ห่างออกไปอีกราว 60 กม. อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง สามารถเข้าไปเยือนได้แทบทุกฤดูกาลเลยทีเดียว สิ่งที่ทำให้อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงมีความโดดเด่นก็คือ ทิวทัศน์ และเอกลักษณ์ ทางธรรมชาติ ที่เป็นทุ่งหญ้าธรรมชาติ แบบสะวันนาสลับป่าสนที่สมบูรณ์ที่สุดอีกแห่งของเมืองไทย ผ่านไปถึงบริเวณหลัก กม.ที่ 95 เป็นจุดแวะพักที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งซึ่งในเวลานี้กลายเป็นจุดแวะพักสำหรับคนเดินทางที่ใช้เส้นทางสายนี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังด้วยน้ำมือของมนุษย์ ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่านี่คือจุดที่ใครต่อใครต้องแวะหยุดเติมน้ำมันให้กับร่างกายครับ สถานที่นี้ก็คือร้านกาแฟ ชื่อว่าร้าน Route 12 ที่นี่มีการออกแบบคล้ายๆกับสถานีบริการน้ำมันในย่านชนบทของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับนักเดินทางที่ไม่นิยมเครื่องดื่มชนิดนี้ การได้หยุดพักกายลงไปบันทึกภาพบรรยากาศก็ดูจะเป็นความสุขใจของคนเดินทางที่ลงตัวอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเดินผ่านประตูร้านเข้าไปยังด้านหลังก็จะได้พบกับอีกบรรยากาศนึง นั่นคือความสวยงามของธรรมชาติ ภูเขา ต้นไม้ ท้องฟ้า และหากเดินทางเยือนในยามหน้าฝนก็มีสายหมอกจางๆล่องลอยไปทั่วบริเวณเป็นบรรยากาศที่งดงามช่วยเพิ่มรสชาติของกาแฟในถ้วยได้เป็นอย่างดีทีเดียว บริเวณรอบๆ ร้านก็มีร้านขายของที่ระลึกเรียกความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อยทีเดียว รวมถึงที่พักแรมอีกด้วยเช่นกัน ขับรถเลยมาอีกไม่ไกลนัก จะมีร้านกาแฟอีกแห่งหนึ่งชื่อ ค้อ อินเลิฟ บาย คอฟฟี่ ฮิลล์ ที่เจ้าของสร้างขึ้นภายใต้แนวความคิดในการผสมผสานกลิ่นอายของวิถีชาวบ้านกับความเป็นเอกลักษณ์แบบไทย สืบเนื่องจากร้านกาแฟแห่งนี้ตั้งอยู่บนจุดที่สูงสุดของทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก หล่มสัก) ทำให้ผู้ที่แวะไปชิมกาแฟสามารถเพลิดเพลินกับรสชาดกาแฟและชมวิวมุมสูงจากเนินเขา มองลงไปยังหุบเขาที่สลับซับซ้อนอยู่เบื้องล่างได้อีกด้วย ร้านนี้ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวที่สัญจรผ่านมาบนเส้นทางสายนี้ต้องแวะพักเพื่อดื่มด่ำกับรสชาดของกาแฟ และแน่นอนที่สุดคือการบันทึกภาพเก็บไว้ในความทรงจำอีกด้วยเช่นกัน และผมเองก็ไม่พลาดที่จะต้องขอเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำด้วยเช่นกัน เห็นบรรยากาศแล้ว ทำให้หมดความสงสัยในทันทีว่าทำไมผู้คนจึงหลงใหลธรรมชาติบนเส้นทางสายนี้ เลยจากร้านกาแฟค้อ อินเลิฟ บาย คอฟฟี่ ฮิลล์ มาอีกราวสองกิโลเมตร ก็จะถึงแยกแค้มป์สน ทางแยกขึ้นสู่เขาค้อ แหล่งท่องเที่ยวอันเลืองชื่อของเส้นทางสายนี้ เคยมีคำถามเกิดขึ้นกับตัวผมเองหลายครั้งหลายหน เมื่อใดที่อยากจะเดินทางท่องเที่ยวไปที่ไหนสักแห่งว่า สภาพอากาศจะเอื้ออำนวยหรือไม่กับการเดินทางในแต่ละครั้ง แต่สำหรับเขาค้อแล้วผมหมดคำถามเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงเนื่องเพราะว่าดินแดนแห่งขุนเขาแห่งนี้สามารถไปเยือนได้ทุกฤดูกาล "ดินแดนแห่งขุนเขา ลำเนาพนาไพร งามจับใจทะเลหมอก พันธุ์ไม้ดอก เมืองหนาว เรื่องราววีรชนผู้กล้า ตระการตาพระตำหนักเขาค้อ" เขาค้อในยามสิ้นเสียงปืน เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความสวยงามที่น่ายล เรื่องราวการต่อสู้ ความแตกแยกและขัดแย้งทางความคิดในอดีตที่เกิดขึ้นยาวนานกว่าสิบปีคือบทเรียนอันล้ำค่าที่น่าศึกษาและจดจำว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในสังคมไทย วันเวลาผ่านไป เรื่องราวความขัดแย้งในอดีตก็ดับสูญไปกับกาลเวลา หลงเหลือไว้เพียงเรื่องราวความงดงามทางธรรมชาติที่ทอดตัวยาวบนดินแดนแห่งเทือกเขาเพชรบูรณ์อันน่าหลงใหลผสมกลมกลืนกับสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่คนไทยไม่มีวันลืม ผมไม่อยากพุดถึงเรื่องราวความขัดแย้งในอดีตที่เกิดขึ้น ที่คนไทยต้องจับอาวุธเข้าทำร้ายกัน ได้แต่มองภาพอดีตผ่านสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งบนยอดเขาที่สูงกว่าพันเมตรจากระดับน้ำทะเลแห่งนี้ ภาพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวมากมาย สิ่งต่างๆ ที่นำมาให้นักท่องเที่ยวได้ชมช่างเต็มไปด้วยตำนานและความเป็นมาที่ยากจะบรรยายด้วยถ้วยคำบนพื้นที่แห่งนี้ ฐานอิทธิ" เป็นจุดหนึ่งที่เห็นทิวทัศน์สวยงามและเคยเป็นฐานสำคัญทางยุทธศาสตร์ในอดีต ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธ จัดแสดงปืนใหญ่ ซากรถถัง และอาวุธที่ใช้สู้รบกันบนเขาค้อ มีห้องบรรยายสรุปแก่ผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะด้วย คิดค่าเข้าชมคนละ 10 บาท "พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก" สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่หลังจากการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยยุติลง เป็นสิ่งย้ำเตือนให้คนไทย รัก และหวงแหนในแผ่นดิน ที่แลกมาด้วยชีวิตเลือดเนื้อ และหยาดน้ำตาของทหารหาญ ในหลายครั้งที่มาเยือนที่แห่งนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย หากแต่มีที่แห่งหนึ่งที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนหลังเสียงปืนนัดสุดท้ายจางหายไป นั่นคือจุดที่สูงที่สุดของเขาค้อที่ผมมายืนอยู่อันเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถาน เปรียบได้ดั่งสิ่งเตือนใจและระลึกถึงวีรกรรมของผู้เสียสละที่จากไปเหล่านั้น ยามเมื่อมายืนอยู่ ณ อนุสรณ์สถาน เบื้องหน้าคือรายนามของผู้เสียสละชีพเป็นชาติพลี ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า... การสู้รบที่ประกาศว่าเราได้ชัยชนะนั้นเป็นชัยชนะจากการสู้รบโดยคนไทยด้วยกันเอง แล้วสิ่งนี้คือชัยชนะของใคร ? แต่สิ่งยืนยันได้ว่าต่อไปนี้สันติสุขกลับสู่แดนดินนี้ชั่วนิรันดร์ ก็คือธงไตรรงค์ที่โบกไสวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผมยืนสงบนิ่งอยู่หน้าอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของเหล่าทหารหาญ สิ่งก่อสร้างที่สร้างจากหินอ่อน รูปทรงสามเหลี่ยมสูงเสียดฟ้านี้ หากเพียงแค่เหลียวแลมองแล้วเลยผ่านไป ก็ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างหรืออนุสรสถานที่พบเห็นทั่วไป แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าแต่ละส่วนของอนุสาวรีย์ที่สร้างจากหินอ่อนแห่งนี้ล้วนเปี่ยมด้วยความหมายที่ควรคู่แก่การจดจำไว้ในหัวใจของไทยทุกดวง นับตั้งแต่รูปทรงแท่งสามเหลี่ยมสือความหมายถึง การปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ ทหาร ส่วนฐานที่กว้าง 11 เมตรสื่อถึงปี พ.ศ. 2511 เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานสมรภูมิแห่งนี้ ไล่จากฐานขึ้นไปสู่ยอดสูงสุดที่ 25 เมตร หมายถึงปี พ.ศ. 2525 อันเป็นจุดสิ้นสุดการสู้รบ จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง อาคารคอนกรีตครึ่งวงกลมรูปทรงแปลกตาตั้งอยู่บนเขาย่าแห่งนี้คือ "พระตำหนักเขาค้อ" ในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรงานโครงการในพระราชดำริ และทรงตรวจเยี่ยมราษฎรอำเภอเขาค้อและอำเภอใกล้เคียงในขณะนั้น จะทรงประทับที่พระตำหนักแห่งนี้ เป็นพระตำหนักที่มีรูปทรงแปลกกว่าพระตำหนักอื่น ๆ บริเวณโดยรอบของพระตำหนัก ได้จัดตกแต่งด้วยพันธุ์พืช ไม้ดอกเมืองหนาวหลากชนิด จากหน้าอำเภอเขาค้อผมเดินทางไปตามเส้นทางจนถึงสี่แยกบ้านสะเดาะพง แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2258 ผ่านพระตำหนักเขาค้อตรงไปจนถึงบ้านทางตะวัน แล้วเลี้ยวขวาไปอีกไม่ไกลก็จะถึงหน่วยจัดการอุทยานฯ (หนองแม่นา) ซึ่งห่างจากที่ทำการของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงถึง 60 กม ภาพทุ่งแสลงหลวงในวันนี้ยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่ผมมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของทุ่งหญ้าแบบสวันนา ขนาดใหญ่ ครอบคลุมอยู่ในเขตอำเภอเมือง อำเภอเขาค้อ อำเภอหล่มสัก อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอวังทอง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ด้วยเวลาอันจำกัดทำให้ผมไม่สามารถที่จะพักค้างแรม ดื่มด่ำบรรยากาศที่ทุ่งแสลงหลวงได้อย่างเต็มที่ แต่การที่ได้กลับมาเยือนทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งนี้เพียงแค่ช่วงสั้น ทำให้ได้เห็นภาพวันเก่าๆที่เคยมาเยือนอุทยานฯแห่งนี้ลอยล่องเข้ามาในห้วงคำนึงเพียงแค่นี้ก็ทำให้รู้สึกเบิกบานใจไม่น้อยเลย หากวันหน้ามีโอกาสจะหาเวลากลับมาเยือนอุทยานฯแห่งนี้อีกให้จงได้ ผมอำลาอุทยานแห่งนี้เดินทางกลับ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางบนเส้นทาง Route 12 เส้นทางที่เต็มไปด้วยตำนานเรื่องราวที่คู่ควรแก่การจดจำและอยู่ในใจของนักเดินทางหลายๆคน โดย: Kavanich96 วันที่: 29 พฤษภาคม 2555 เวลา:8:19:35 น.
|
3KKK
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]
| |||