Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
17 กรกฏาคม 2559
 
All Blogs
 
หนุ่มทโมนเที่ยวทมิฬ บทที่ 3



เรื่องและภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

บทที่ 3

ที่ผ่านมาผมพาคุณผู้อ่านเที่ยวรอบนอกมมัลลปุรัมก่อนครับเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องให้คุ้นกับงานแกะสลักหินเป็นเทวาลัย เพื่อการเที่ยวชม“สวนเทวาลัย” อย่างเพลิดเพลินเจริญความรู้

ก่อนเข้าเรื่องขอพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตก่อน

เรื่องกินไงครับขอบอกคุณผู้อ่านว่ามาเที่ยวอินเดียใต้ถ้าเห็นร้านอาหารหน้าตาดูไม่ค่อยน่ากินหรือดูไม่ค่อยสะอาดละก็ อย่านะครับอย่ามองข้ามนะครับ ขอบอกว่าอร่อยระดับติดดาวฝีมือไม่แพ้ร้านเด็ดในบ้านเราเมื่อวานหลังเที่ยวเสร็จแล้วบาบาพากลับมาส่งในเมืองก็เดินหาร้านอาหารเองจนเจอร้านหนึ่งสั่งข้าวผัดไก่ทอด อร่อยระดับลิ้นสั่น 9.9 ริกเตอร์เชียวล่ะ


ข้าวผัดไก่ทอดของหากินยากในดินแดนที่ชาวทมิฬส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ ยิ่งเป็นเมืองที่มีวัดใหญ่วัดสำคัญอย่างติรุวัณณมไล ยิ่งหาเนื้อสัตว์กินยากครับ พวกเราๆที่คุ้นกับการใช้โปรตีนจากเนื้อสัตว์สร้างพลังงานอาจหงุดหงิดเล็กน้อยช่วงแรกๆอาจไม่เป็นแต่พอกินอาหารที่เน้นคาร์โบไฮเดรตได้ไม่กี่วันจะเริ่มรู้สึกไม่มีแรงยิ่งเที่ยวลุยใช้แรงเยอะอย่างผมยิ่งรู้สึก หลายวันที่ไม่มีข้าวเช้าตกถึงท้องแต่ความงกเที่ยวบังคับให้เที่ยวจนถึงค่ำก็มีบางเมืองหาเนื้อสัตว์กินไม่ได้จนอยากตั้งชื่องานเขียนชิ้นนี้ว่า“ทริปตามล่าหาโปรตีน” (เวลาอ่านกรุณาอย่าตกคำว่า โปร)


คนซ้ายมือสุดเป็นพ่อครัวทำข้าวผัดไก่ทอดได้อร่อยอย่างยิ่ง ข้าวเรียงเม็ด ไม่มันไปไม่แห้งไป รสชาติกลมกล่อม

กินมื้อเย็นสุดอร่อยแล้วผมกลับไปนอนรับลมทะเลอย่างมีความสุขก่อนตื่นเช้ามาเที่ยว “สวนเทวาลัย” ซึ่งอยู่ไม่ไกลเลยอยู่หน้าสถานีรถประจำทางนั่นเอง ไม่ต้องถามทางใครด้วย เดินไปถึงก็เห็นเองครับเพราะสวนนี้เป็นพระเอกของ มมัลลปุรัม ตั้งอยู่กลางเมืองที่ล้อมรอบด้วยตึกเตี้ยๆจึงโดดเด่นเป็นสง่า ภายในสวนเต็มไปด้วยเทวาลัยที่แกะจากหินก้อนโตเดินตั้งแต่เช้าจนบ่ายก็ไม่เบื่อครับ (สำหรับคนที่ชอบของแบบนี้นะคนที่ไม่ชอบอาจบ่นว่าทัวร์ดินทัวร์หิน)

สวนเทวาลัยมีจุดให้เที่ยวชม 13 จุด LuckyNumber พอดีเลย จุดแรกอยู่ด้านหน้าติดถนนใหญ่ขณะยืนชมหรือถ่ายรูประวังรถด้วยครับ วิ่งไปวิ่งมาราวกับเป็นถนนปกติไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว


จุดแรก Arjuna’s Penance หรือ อรชุนบำเพ็ญตบะ

Penance แปลว่าตบะ การสำนึกผิด การปลงอาบัติ การบำเพ็ญทุกรกิริยาการสำนึกบาป และการบำเพ็ญทุกรกิริยาเพื่อไถ่บาป รูปแกะสลักนูนบาง (Bas Relief) ขนาด 25 x 12 เมตรนี้ทำขึ้นในศตวรรษที่เจ็ดเป็นการแกะบนหินแกรนิตก้อนใหญ่ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนวาฬส่วนจะเกี่ยวดองอะไรกับวาฬอาฆาตอย่างเจ้า “โมบิดิก” หรือไม่อย่างไรนั้นผู้เขียนไม่ทราบ ทราบแต่ว่าหินก้อนนี้ “ว้าฬวาฬ” คือเหมือนวาฬจริงๆถึงขนาดคิดว่าถ้าเห็นหินขยับแล้วดิ้นลงไปที่มหาสมุทรอินเดียว่ายน้ำหนีไปต่อหน้าก็จะไม่แปลกใจเลย

รูปสลักนูนบางนี้แบ่งเป็นสองชั้นชั้นบนเป็นสวรรค์ที่อยู่ของเทพทั้งหลาย ชั้นล่างแบ่งเป็นสองฝั่งซ้ายมือมีเหล่าเทวดา ขวามือมีสิงห์สาราสัตว์ เห็นชัดๆคือช้าง ตรงกลางเป็นร่องน้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่ถูกสมมุติให้เป็นแม่น้ำคงคาที่ไหลลงมาจากสวรรค์ จึงแกะสลักให้มีพญานาคราชและนาคินีเหล่าเทวดาและสัตว์ล้วนมุ่งหน้ามาที่แม่น้ำนี้ ว่าแต่อรชุนอยู่ไหนล่ะอยู่ข้างๆรูปสลักพระศิวะไงครับ รูปร่างผอมกะหร่อง เครายาว ผมยาวรุงรังยกสองแขนชูเหนือหัวเป็นรูปวงกลม มองภาพถ่ายข้างล่างดีๆ จะเห็น อาจจะหายากหน่อยนึกเสียว่าเป็นการบำเพ็ญ ทุกรกิริยาก็แล้วกัน อิอิ

อีกมุมหนึ่งของ Arjuna’sPenance


นาคินี


ใครหา อรชุน ไม่เจอดูภาพนี้ก็ได้ครับยืนอยู่ขวามือสุด มีพระศิวะยืนกำกับอยู่ข้างๆ ทำนองสอนว่าให้บำเพ็ญตบะตนแบบนี้นะ(ที่ถูกต้องคือพระศิวะประทานอาวุธปาศุปัตให้แก่อรชุน)นอกนั้นก็เป็นบรรดาผู้เข้าชมทั้งหลาย มีทั้งเทพและสัตว์

ช่างแกะสลักหินชาวปัลลวะคงรักสัตว์น่าดูนอกจากสัตว์ใหญ่อย่างช้าง สิงโตแล้ว ยังอุตส่าห์นึกถึงลิงอีกด้วย แถมแกะเป็นรูปลิงหาเห็บให้กันอีกด้วย

จุดท่องเที่ยวที่สองอยู่ติดกับArjuna’sPenance คือ Pancha Paandava Cave ที่เห็นเสาหินเรียงกันอยู่ซ้ายมือ


เทวาลัยแห่งนี้โดดเด่นแต่เพียงภายนอกครับนั่นคือเสาที่มีฐานเป็นรูปสิงโต ส่วนภายในไม่มีรูปสลักที่ผนังแต่อย่างใดแย่ยิ่งกว่านั้น ผมเห็นเด็กคนหนึ่งยืนฉี่อยู่ที่ภายในสุดของถ้ำด้วยครับ เฮ้อเรื่องอึเรื่องฉี่ไม่เลือกที่ของคนอินเดียขอย้ำว่าคนอินเดียนะครับไม่ใช่แค่ชาวทมิฬนาฑู ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแก้ไขยากผมเคยมาเที่ยวอินเดียเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันก็เหมือนเดิม แถมครั้งนี้ซวยกว่าครั้งไหนๆเจอกรณีอุบาทว์ที่สุดในชีวิตด้วยครับเหตุเกิดหลังเดินทางออกจากมมัลลปุรัมได้ไม่นาน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

จุดท่องเที่ยวที่สามอยู่ข้างๆถัดไปทางซ้ายมืออีก นั่นคือ Krishna Mandapam หรือเทวาลัยพระศิวะ ซึ่งภายนอกดูเรียบง่าย แต่ผนังทั้งสามด้านที่อยู่ภายในเต็มไปด้วยรูปสลักงดงามที่แสดงอิทธิฤทธิ์ของพระศิวะคือการยกภูเขาGovardhana ด้วยมือซ้ายตำนานเล่าว่าพระศิวะยกภูเขาลูกนี้เพื่อใช้กำบังฝนที่ตกหนักให้แก่ผู้คนและสัตว์ต่างๆยกภูเขาใช้แทนร่มไงครับ ด้านข้างพระศิวะจึงมีทั้งเทพ คนเลี้ยงวัว วัวและสัตว์ใหญ่น้อย

คำว่า Mandapam แปลว่าวิหารเสาหน้าวัด เรานำมาใช้ว่ามณฑป หากใช้คำนี้อาจทำให้คุณผู้อ่านนึกถึงภาพ มณฑป ของเราซึ่งรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันเลย ผมจึงขอใช้คำกลางๆ เรียกสถานที่ในสวนแห่งนี้ว่าเทวาลัย ที่คนอินเดียเรียกว่า “ฑราวิทศิขระ”

พระศิวะยกภูเขาด้วยมือซ้าย


อีกมุมหนึ่งใน Krishna Mandapam ที่แสดงกิจกรรมในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ... รีดนมวัว


นับถือใจช่างชาวปัลลวะจริงๆแกะหินเป็นโคนนทิขนาดเท่าโคจริง





หัวเสาใน Krishna Mandapam หนึ่งต้นมีสี่ด้าน แต่ละด้านก็มีหนึ่งแบบ ดูกันเพลินเชียวครับผมนั่งยองถ่ายรูปหัวเสาได้ไม่หมดเพราะสังขารไม่อำนวยถ่ายรูปได้ไม่กี่รูปก็ปวดหัวเข่า จึงบอกตัวเองให้ถนอมร่างกายไว้เที่ยวอีกสิบกว่าวัน

จุดท่องเที่ยวต่อไปเป็นจุดที่สี่จุดนี้ต้องเดินกลับมาจุดที่หนึ่งก่อนครับ แล้วเดินตรงไปตามรั้วของ “สวนเทวาลัย”เพียงนิดเดียวก็จะเห็นหินกลมก้อนโตอยู่บนลานหินกว้างราวกับใครนำมาวางไว้ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า “ก้อนเนยของพระกฤษณะ” (Krishna’sButterball) ซึ่งมีตำนานเล่าว่าตอนเป็นเด็กท่านชอบขโมยวัวชาวบ้านมาดื่มนมเมื่อนึกถึงนมถึงเนยก็เลยนึกถึงท่าน ยกหินก้อนนี้ให้เป็นเนยของท่าน

ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องกินกี่ชาติละเนี่ย เนยก้อนขนาดนี้

ก้อนเนยของพระกฤษณะหนัก250ตัน เส้นผ่าศูนย์กลางยาวห้าเมตร เล่ากันว่าครั้งหนึ่งกษัตริย์ปัลลวะพระองค์หนึ่งทรงพยายามใช้ช้างมาลากหินก้อนนี้ให้ตกลงมาแต่ก็ทำไม่สำเร็จ... ข่าวจริงหรือเปล่าเนี่ย ฟังหูไว้หูนะครับ กษัตริย์นะครับ ไม่ใช่ มิก แจ๊กเกอร์แห่งวงโรลลิ่งสโตน จะได้ไม่มีอะไรทำแล้วกลิ้งหินเล่น

หากถามผมว่าหินก้อนนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรผมเดาว่ามาตอนยุคน้ำแข็งครับ เพราะเคยดูสารคดีเกี่ยวกับยุคน้ำแข็งที่ทำให้หินก้อนใหญ่ๆลอยตามน้ำแข็งไปอยู่ที่โน่นที่นี่ เช่น ที่สวนสาธารณะในนิวยอร์คและบริเวณใกล้ภูเขามังกรหยกในมณฑลหยุนหนันกล่าวคือลอยมาแล้วน้ำแข็งละลายตรงจุดที่ได้สมดุลของน้ำหนักจึงเป็นที่น่าแปลกตาแปลกใจ แต่ถ้าไม่ได้จุดนี้คืออยู่บนที่ราบหรือกลิ้งไปที่ราบก็เห็นเป็นก้อนหินธรรมดา

ผมชอบลานหินกว้างแห่งนี้เป็นอย่างยิ่งรู้สึกเหมือนตอนไปเที่ยวเขาหินกูบแห่งจันทบุรี เป็นลานหินกว้างแต่ชันกว่านี้บางจุดต้องจับเชือกไต่ขึ้นไป กว่าจะถึงยอดก็เหนื่อยเอาเรื่องแต่ที่นี่อาศัยเดินย่อเข่าเล็กน้อยก็ขึ้นไปบริเวณชมทิวทัศน์เมืองมมัลลปุรัมได้แล้วระหว่างทางเห็นวิธีสกัดหินด้วยครับ เดาว่าสกัดเป็นช่องๆก่อนแล้วใช้อุปกรณ์งัดให้หินแตกออกมา


จุดท่องเที่ยวที่ห้าคือ TrimurthyCave หรือเทวาลัยตรีมูรติการไปจุดนี้ต้องเดินกลับมาที่ก้อนเนยของพระกฤษณะก่อนแล้วเดินลงไปที่พื้นหันหลังให้ก้อนเนยแล้วเดินไปทางซ้ายมือที่เห็นหมู่หินก้อนใหญ่อยู่ไม่ไกลวัดถ้ำตรีมูรติอยู่หลังหมู่หินนั้น ตรีมูรติคือการอวตารรวมของพระเป็นเจ้าสูงสุดทั้งสามองค์ในศาสนาฮินดูอันได้แก่ พระพรหม (พระผู้สร้าง) พระวิษณุ (ผู้ปกป้องรักษา) และ พระศิวะ (ผู้ทำลาย)ด้วยเหตุนี้ เทวาลัยนี้จึงมีสามช่อง สำหรับเทพทั้งสามองค์





รูปสลักเทพทั้งสามองค์ที่อยู่ในแต่ละช่องของเทวาลัยตรีมูรติ

ด้านหลังเทวาลัยนี้เป็นจุดท่องเที่ยวที่หก ซึ่งก็คือรูปสลักช้าง ลิง และนกกระทา อยู่ร่วมกัน นักวิชาการบางคนบอกว่าเป็นการแสดงถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาในสวนเทวาลัยแห่งนี้เพราะสัตว์ทั้งสามชนิดนี้ปรากฏอยู่ใน ทศชาติชาดก ที่สอนว่าเป็นผู้น้อยควรเคารพยำเกรงผู้อาวุโส



จุดท่องเที่ยวที่เจ็ดGanesha Ratha หรือ รถะที่สร้างถวายพระพิฆเนศ

เที่ยวไปได้ครึ่งหนึ่งท้องผมก็ร้องหิวแล้วออกไปหาอะไรกินแล้วค่อยกลับมาเที่ยวต่อดีกว่าอาหารประเภทข้าวยังหากินยากเหมือนเดิม ผมเองก็ชักเบื่อๆ ข้าวหมกไก่แล้วโชคดีเจอร้านคนตรึม สั่งมาก็ไม่ผิดหวัง อร่อยและชิ้นโต แต่จำชื่อไม่ได้แต่หน้าตาเหมือนโรตี แต่ไส้ในรสชาติเหมือนผัดเปรี้ยวหวาน เรียก “โรตีมิตรภาพไทย-อินเดีย”ก็แล้วกัน


สะพาน เอ๊ยโรตีมิตรภาพไทย-อินเดีย ชิ้นใหญ่มาก กินอยู่ท้องเลยครับมีแรงกลับเข้าไปเที่ยวต่อในสวนเทวาลัย จุดท่องเที่ยวต่อไปคือจุดที่แปด มีชื่อว่า VarahaMandapam หรือ เทวาลัยวราหะ วิธีไปคือกลับไปที่ก้อนเนยของพระกฤษณะซึ่งกลายเป็น BTS อโศกไปแล้ว จะไปไหนก็ต้องมาที่นี่ก่อน ...พอไปถึงก็เลี้ยวซ้าย มีทางเดินไปบนลานหินที่มีต้นไม้ให้ร่มเงา ไม่นานก็เจอครับ


วราห์ วราหะแปลว่าหมู เทวาลัยวราหะ สร้างเพื่อถวายแก่ วราหาวตารที่พระวิษณุทรงอวตารเป็นหมูป่าที่มีเขี้ยวเป็นเพชรเพื่อปราบยักษ์ หิรัณยากษะ ที่ตอนแรกเป็นคนดีแต่ดีแตกจนคิดทำลายโลกด้วยการม้วนแผ่นดินโลก (เหมือนม้วนกระดาษนั่นแหละครับเพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบน) แล้วเอาเข้ารักแร้ หนีบจนแน่นแล้วหนีลงไปอยู่ในบาดาลทำให้พระวิษณุต้องตามไปปราบ ส่วนเหตุผลที่ต้องอวตารนั้นผมเดาเอาว่าเพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ ระดับพระวิษณุสู้กับยักษ์เกเรได้ไงเอาแค่หมูป่าไปสู้ก็แล้วกัน

เมื่อเป็นเทวาลัยที่มีตำนานสนุกๆเกี่ยวข้อง รูปสลักบนผนังของเทวาลัยแห่งนี้จึงสนุกตามไปด้วย


พระวิษณุทรงอวตารเป็นหมูป่า


รูปสลักตริวิกรม (Trivikrama)หรือพระวิษณุย่างสามพระบาท บาดาล โลก สวรรค์

จุดท่องเที่ยวที่เก้า Raya Gopuram อยู่ด้านหลังของเทวาลัยวราหะเดินขึ้นไปเล็กน้อย เป็นโคปุรัมที่สร้างไม่เสร็จ ผลงานของราชวงศ์วิชัยนคร




มุมหนึ่งของ Raya Gopura

จุดท่องเที่ยวที่สิบ Lion Throne หรือ บัลลังก์สิงห์ที่ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่ามีการสร้างพระราชวังของราชวงศ์ปัลลวะ ณ บริเวณนี้เพราะ Lion Throne เป็นส่วนหนึ่งของบัลลังก์ที่ประทับอีกทั้งมมัลลปุรัมเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญพอให้กษัตริย์เสด็จมาประทับต้องมีการสร้างพระราชวังซึ่งใช้อิฐ ไม่ได้แกะหินแกรนิตเหมือนเทวาลัยจึงทรุดโทรมและพังทลายหายไปตามกาลเวลา นอกจากนี้ ข้างๆยังมีสนามเพลาะอีกด้วยทำให้ยิ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐาน โดยเห็นว่าเป็นที่เก็บสมบัติของกษัตริย์



จุดเที่ยวชมจุดที่ 11 คือ Mahishamardhini Cave เทวาลัยนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแก่มหิษาสูรมรรทนี ภาคปรากฏหนึ่งของพระแม่ทุรคาที่ทรงปราบอสูรรูปควาย (มหิษสูร)อันเป็นสัญลักษณ์ของอวิชชาและความโง่เขลา และเป็นการประทานความหลุดพ้นให้แก่ผู้กราบไหว้ ... ผมงี้กราบไปพันครั้งแต่ทำไมรู้สึกเฉยๆ อิอิ


นอกจากนี้ยังมีรูปสลักพระวิษณุบรรทมอยู่บนอนันตนาคราชซึ่งลอยอยู่เหนือเกษียรสมุทร เป็นการนอนรอเวลาสร้างโลกใหม่การแต่งกายของพระวิษณุที่สวมหมวกทรงกระบอก นุ่งผ้าโธตียาวเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะปัลลวะ


พูดถึงผ้าโธตีที่มีหน้าตาคล้ายโสร่งนั้นขอบอกว่าเป็นผ้าที่ผมอยากนุ่งมาก ไม่ได้นุ่งตอนไปเที่ยวอินเดียนะครับแต่นุ่งในเมืองไทยนี่แหละ นุ่งในชีวิตประจำวันด้วย นุ่งไปทำงาน นุ่งไปดูหนังนุ่งไปโน่นไปนี่ ที่อยากทำแบบนี้เพราะมันเย็นสบายไม่อึดอัดเหมือนใส่กางเกงเมื่ออากาศร้อนจัดก็สามารถดึงชายผ้าขึ้นมาเหน็บเอวกลายเป็นโธตีสั้นได้อีกด้วย

คุณลุงนุ่งโธตี

จุดท่องเที่ยวที่ 12 Adhi Varaha Mandapam เป็นเทวาลัยขนาดเล็กพวกเราคุ้นชื่อ อาทิวราห์ กันดีใช่ไหมว่าเป็นชื่อจริงของนักร้องดังแห่งวงบอดี้สแลมซึ่งเป็นวงโปรดของผมอีกต่างหาก ซึ่งคุณตูนก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าพ่อตั้งชื่อนี้ให้เพราะมีความหมายที่ดีหมายถึงภาคหนึ่งของพระวิษณุที่เป็นหมูป่า ด้วยเหตุนี้ ขณะเดินเข้าไปชมภายในเทวาลัยผมจึงอดไม่ได้ที่จะร้องเพลงโปรดไปชมไป ... คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วันเวลามีเหลือกันเท่าไหร่ คนเราจะมีลมหายใจอีกกี่ครั้ง ใครจะรู้ ... หูยเสียงผมเหมือนตูนมากเลย ตูน บอดี้สลัม นะ อิอิ


เทวาลัยอาทิวราห์

จุดท่องเที่ยวที่13เป็นจุดที่อยู่สูงสุดของสนามเทวาลัยครับ นั่นคือประภาคารโบราณสมัยก่อนใช้เป็นที่จุดไฟให้ชาวประมงเห็น และในศตวรรษที่ 8 กษัตริย์Rajasimha Pallava ยังใช้เป็นเทวาลัยด้วยครับ มีชื่อว่า Olakkanathaสำหรับผู้สูงวัยอาจเดินยากนิดหน่อย แม้มีบันไดลูกหลานหรือเพื่อนร่วมเที่ยวต้องช่วยๆ กันดูแลเพราะบางจุดเสี่ยงหกล้มได้ที่บอกแบบนี้เพราะอยากให้ขึ้นไปชมครับ รับรองว่าคุ้มเหนื่อย มีรูปสลักพระศิวะรูปสลัก Dhakshinamurthi รูปสลัก Ravananugrahamurthiและ รูปสลัก Alidhanrittamurthi ที่สำคัญบนนี้ยังเห็นทิวทัศน์ชายหาดแห่งมมัลลปุรัมที่งดงามดูราวกับพรมสีทองปูยาวหน้ามหาสมุทรอินเดียสีครามเข้ม




มุมมองบนประภาคารเก่า


มุมมองจากประภาคารเก่า


ประภาคารใหม่อยู่ใกล้ๆ แต่ต้องเสียค่าเข้าผมจึงไม่ขึ้นไป มุมมองเหมือนกัน จ่ายแพงกว่าทำไม

นอกจากสนามเทวาลัยแล้วไกลออกไปอีกสามป้ายรถเมล์มีเทวาลัยอีกสององค์คือ Valan Kuttai Ratha กับ Pidari Ratha ซึ่งผมเดินไปดูตอนเช้าก่อนขึ้นรถประจำทางไปเมืองอื่น 







Create Date : 17 กรกฎาคม 2559
Last Update : 17 กรกฎาคม 2559 10:22:51 น. 0 comments
Counter : 1403 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dejaboo44
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add dejaboo44's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.