พรุ่งนี้ 13 เมษายน ถือเป็นวันมหาสงกรานต์ เป็นวันสิ้นปีเก่าของชาวไทย ซึ่งเมื่อก่อนประเทศไทยถือวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นวันที่พระอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษ มีการยิงปืน จุดประทัด ทำให้เกิดเสียงดัง เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีต่างๆ และจะมีการปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือน ซักเสื้อผ้า ทำความสะอาด เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีจากปีเก่าให้หมดไป และวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันที่14 เมษายน ถือเป็นวันเนา เป็นวันที่เชื่อมต่อระหว่างปีเก่าและปีใหม่ โบราณจะห้ามกระทำสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ห้ามด่ากัน ห้ามทะเลาะกัน จะเป็นวันเตรียมงานทำบุญสงกรานต์มีการขนทรายเข้าวัด เป็นวันสนุกสนานของหนุ่มสาวสมัยก่อน พอวันที่ 15 เมษายน ถือเป็นวันเถลิงศก มีการทำบุญทำทานแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งรดน้ำดำหัว ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสเพื่อขอพร โบราณมีความเชื่อว่า วันนี้ถือโอกาสขออโหสิกรรมผู้ใหญ่แล้วจะสามารถช่วยให้ผู้ที่มีบาปหนัก พ้นทุกข์จากขุมนรกได้
สำหรับ จขบ. ทุกปีจะไปทำบุญให้พ่อที่ล่วงลับไปสิบกว่าปีแล้ว นอกจากนี้ยังพาแม่ไปทำบุญให้ก๋งและยายที่ล่วงลับไปนานมากแล้วที่นนทบุรี แต่สองปีหลังมานี้ไม่ได้พาแม่ไปเพราะแม่เริ่มจะจำอะไรไม่ค่อยได้อีกอย่าง จขบ. ไม่มีรถใช้เหมือนเมื่อก่อน เพราะยกรถตัวเองให้คนในบ้านบางคนที่เค้าจำเป็นต้องใช้รถมากกว่าเราไปใช้ อีกอย่างรับปากจะให้เค้าก็ต้องทำตามที่พูดไว้..5555..(ดูเหมือนเสียสละเนอะ) เวลาจะไปไหนต้องคอยรบกวนคนอื่นทำให้ จขบ. ลำบากใจพอสมควร ระยะหลัง จขบ. เลยใช้วิธีไม่ไปไหนซะเลยเพื่อไม่ให้ตัวเองและคนอื่นลำบากใจ (ซะงั้น) ถ้าจะไปไหนไม่แท๊กซี่ก็รถเมล์และรถเมล์สมัยนี้ก็มีหลากหลายสะดวกสบาย มีรถฟรีด้วยนะไม่ต้องเสียตังค์เพราะรัฐบาลนี้เค้าให้..(สำนึกๆ)..รถเมล์ก็มีรถแอร์นั่งสบายถึงแม้รถจะติดแหงกในบางที่ก็ตาม ถ้าไม่อยากนั่งรถเมล์ก็ยังมีรถไฟฟ้าให้เราเลือกใช้อีก โอ..จะมีรถไปทำไมกันล่ะสะดวกออกอย่างนี้เนอะ..แต่ทุกปีคนที่เราให้รถ เค้าจะเอารถมาให้ใช้ในวันนี้ตลอดล่ะ
เมษานี้ร้อนตับแลบ (สำนวนน่ะ ขืนแลบมาจริงๆ โน่นนอน รพ. และค่ะ) ผู้คนหน้าดำคร่ำเครียดไม่ค่อยเห็นรอยยิ้มกันสักเท่าไร แม้ จขบ. เองก็เหอะเป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่ายก็ต้องหุบยิ้ม หุบการหัวเราะเพราะไม่แน่ใจว่าคนที่เรายิ้มให้จะมีใจให้เราหรือเปล่า แต่การยิ้มก็เป็นการนำทางสู่มิตรภาพส่วนมากแล้วจะได้ยิ้มตอบมา แต่ถ้ากำลังยิ้มๆ ไปเจอคนที่ติดธงชาติตามร่างกาย เครื่องใช้ จขบ.หุบยิ้มโดยปริยายโดยไม่ได้ตั้งใจเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาทันที เคยคุยเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ก็ได้คำตอบแบบนี้ ทำให้คิดว่าสังคมตอนนี้ป่วยอย่างแรงเพราะผู้คนมีแต่ความหวาดระแวงกัน เมื่อก่อนหวาดระแวงเรื่องโจรขโมย แต่ปัจจุบันหวาดระแวงเวลาใครมาบอกเป็นคนดีซะงั้น...555555...ก็เพราะคนดีๆ เค้าชอบเป็นแบบภาพข้างล่างนี้จะไม่ให้ จขบ. ไม่หวาดระแวงเค้าได้ยังไงล่ะคะ อันนี้พอดีไปเจอที่พันธ์ทิพย์ โอววว..คนเราทำกันได้ปานนี้ จากที่เคยเสนอเรื่องบิดเบือนจากบล๊อกที่แล้ว ก็ยังมีอีกมากมายแต่ขอนำมาลงแค่นี้พอหอมปากหอมคอ เพื่อให้ตัวเองและคนที่ผ่านมาที่บล๊อกนี้ได้เรียนรู้ว่า ก่อนจะเชื่ออะไรควรคิดวิเคราะห์ หาเหตุและผลกันให้ดีว่าสิ่งที่เราได้รับรู้มานั้นจริงหรือเท็จ ก่อนจะว่าใคร ปักใจเชื่อว่าใครดีหรือไม่ดี อย่าเชื่อในสิ่งที่มองด้วยตา สิ่งที่เค้าป้อน สิ่งที่เค้ากรอกหู ถ้าหากสิ่งนั้นเราไม่ได้ประสบพบเห็นด้วยตัวเอง หรือเราอาจไม่ได้เจอด้วยตัวเองก็ลองใช้สามานย์สำนึก คิดวิเคราะห์ก่อนที่จะปลงใจเชื่อก่อน เพราะทุกวันนี้ข้อมูลสื่อสารมันบิดเบือนกันได้ง่ายเพราะโลกเรามีเทคโนโลยี่ต่างๆ ที่ทันสมัยสามารถเปลี่ยนความจริงบนโลกให้เป็นเท็จได้เสมอ...
ด่ากันว่านักการเมืองฝั่งตรงข้ามว่ากินภาษีประชาชน ที่แท้ก็ สส ฝั่งตัวเอง
ใส่ความกันเข้าไป
ส่วนอันนี้เป็นการบิดเบือนด้วยการปลอมเฟส
โน๊ตก็ยังโดน...555555...
(เครดิตจาก //pantip.com/topic/31704939)
ที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้จากการคิดวิเคราะห์ของ จขบ. เองก็เพราะต้องการอำนาจ ซึ่งอำนาจจะทำให้ได้มาทุกอย่าง นั่นเป็นความคิดของคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด แต่ในทางธรรมแล้วคนเหล่านี้เป็นคนโง่ ที่ปล่อยให้ตัวเองเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสังสารและเวทนาที่ไม่มีวันรู้จบ การอยากได้ใครดีใคร่เป็นไม่ยอมปล่อยวาง ทำให้คนผู้นั้นเกิดความทุกข์ และจะเวียนว่ายอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น เกิดมาก็มาตัวเปล่าพอครบอายุขัยก็เอาอะไรไปไม่ได้ก็ไปตัวเปล่าๆ อีก แต่ความดีและความเลวเท่านั้นที่จะติดตัวทุกคนไป
จะสีอะไรก็ตายเท่ากันไม่มีใครอยู่บนโลกได้คงทนต่อให้ร่ำรวยยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตามไม่มีใครพ้นความตายไปได้หรอกนะคิดดูกันให้ดี..เขียนถึงตรงนี้แล้ว ขำกับคำว่า "คนดี" สมัยนี้ ทำให้ จขบ. กลัวคำว่า คนดี มากมายเพราะทุกวันนี้คนดีที่ว่า เที่ยวตะลอนทัวร์รอบกรุง ไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ขนาด จขบ. นั่งทำงานอยู่ที่ทำงานเฉยๆ คนดียังแวะมาเยือนถึงที่ทำงานและทำให้การทำงานของ จขบ. หยุดชะงักและได้หยุดงานด้วยความไม่เต็มใจและด่าในใจถึงสองครั้งสองครา เลยทำให้ จขบ. ไม่อยากเป็นคนดีแบบนี้เพราะคนด่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ด่าแล้วยังไม่มีความละอายยังแถได้ตลอด นอกจากแถเก่งแล้วยังบิดเบือนเก่งอีกด้วยแน่ะ....คนดีสมัยนี้น่ากลัวมั๊ยล่ะ...5555555....
ที่ทำงานก็มีเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนดีแบบนี้เยอะแยะและไปร่วมเป็นคนดี ไม่ว่าคนดีพวกนี้จะอพยพไปที่ไหนเธอก็จะตามไปให้เค้ากล่อมได้ทุกที่เพื่อย้ำเตือนความเป็นคนดีอย่างที่กล่าวพอสังเขปข้างต้นซึ่งยังมีอีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมากล่าว ถึงเราจะต่างกันทางความคิด สำหรับ จขบ. แล้วก็คือเพื่อนร่วมงาน และความรู้สึกของ จขบ. แล้วเพื่อนร่วมงานไม่ได้ผิดหากจะมีความเชื่ออย่างนั้น เพราะความเชื่อของคนเราอยู่ที่ได้รับข้อมูลกันมาอย่างไร บางคนไดัรับข้อมูลแล้วเชื่อทันทีเพราะใจมันอยากเชื่อ บางคนได้รับข้อมูลแล้วเก็บมาคิดวิเคราะห์หาเหตุหาผลหาความจริง เมื่อได้ความจริงแล้วจึงเชื่อ แต่คนอย่างหลังจะน้อยกว่าผู้คนอย่างแรก จึงตกเป็นเครื่องมือนักการเมืองเลวๆ บางคนอย่างปัจจุบันนี้ได้ง่าย และ จขบ. เองก็ไม่อาจหาญไปบอกกล่าวตักเตือนใครได้เพราะโตๆ กันแล้วตองได้รับถูกผิดด้วยตัวเอง บทเรียนที่ดีต้องได้รับด้วยตัวเองแล้วจะจดจำได้ดี...
ข้อคิดสำหรับบล๊อกนี้ที่อยากฝากไว้...