~ฉันมีชีวิตอยู่...เพื่อความฝัน~ ~Welcome to my blog my dream&my life~
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
พรายเสน่หา(ตอนที่ 6...)




แวววรรณเอนตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้หมุนตรงโต๊ะทำงานอย่างผ่อนคลาย จากที่หลายวันก่อนมีออเดอร์จากลูกค้าสั่งของแน่นแทบทุกวัน

‘เต๊งๆ เต๊งๆ’

หญิงกลางคนถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเสียดื้อๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงลูกดิ่งนาฬิกาเรือนเก่าดังกังวาน ตีบอกเวลาแปดนาฬิกา จนรู้สึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องตกใจทั้งที่ปกตินั่นเป็นเสียงที่ได้ยินอยู่ทุกวัน

‘เพล้ง!!’ ตามมาด้วยเสียงเหมือนแก้วตกแตก ทำให้หญิงเจ้าของร้านซึ่งยังไม่หายแปลกใจจากอาการสะดุ้งเพราะเสียงนาฬิกา ต้องผุดลุกจากเก้าอี้ พร้อมกับหันไปมองทางหน้าร้าน ซึ่งเป็นที่มาของเสียง

หญิงร่างท้วมแต่บุคลิกปราดเปรียว เดินปราดไปยังหน้าร้านซึ่งมีพนักงาน 3-4 คนกำลังยืนรวมกลุ่มซุบซิบถึงกระถางธูปที่ตกลงมาแตก เศษกระเบื้องและเถ้าธูปกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น

จิตใจของแวววรรณแทบตกลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นกระถางธูปบนหิ้งของโกฐกระดูกและรูปถ่ายของสามีที่เสียชีวิตไปแล้วตกแตก หล่อนยืนนิ่งอึ้ง จ้องมองอยู่นานด้วยรู้สึกใจเสีย และสีหน้าอันไม่สู้ดี

“กระถางธูปหล่นลงมาได้ยังไง” เมื่อพอตั้งสติได้ นายหญิงร่างท้วมจึงรีบถามเอาความจากกลุ่มลูกจ้างด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ลูกจ้างเหล่านั้น ใช้มือสะกิดแขนกันไปมาทำตาปะหลับปะเหลือก

“เอ้าๆ ดูทำเข้า ลุกลี้ลุกลนกันอยู่นั่นล่ะ ฉันถาม ทำไมไม่มีใครตอบ” เจ้าของร้านเริ่มขึ้นเสียง

“คือ เอ่อ... คือพวกหนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” กุ้ง หนึ่งในลูกจ้างสาวตอบคำถาม

“พวกเธอทำงานกันอยู่ตรงนี้แท้ๆ กลับมาตอบฉันว่าไม่รู้ แล้วจะให้ใครรู้” เจ้าของร้านยังคาดคั้น

“จริงๆ ค่ะคุณวรรณ อยู่ดีๆ กระถางธูปก็ตกลงมาเอง พวกหนูยังแปลกใจกันอยู่นี่เลยว่ามันตกลงมาได้ยังไง” แอ๋ว ลูกจ้างสาวอีกคนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ได้ฟังอย่างนั้น จิตใจของแวววรรณที่ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด หรือสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นลางบอกเหตุอะไร หล่อนรู้สึกไม่สบายใจเลย

แวววรรณเงยหน้าสบตากับรูปถ่ายของพิภพ สามีที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ตกเย็นวันนั้น...พิภพออกเรือหาปลาอย่างเช่นทุกวัน ขณะที่แสงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ฝูงนกกาน้ำเริ่มทยอยบินกลับรัง ลมพัดมาร่ำๆ โบกทิวต้นแสมที่เรียงรายอยู่ริมสองฝั่งน้ำสะบัดไปมา เป็นที่น่าแปลกว่าในวันนั้นเขาสามารถหาปลาในปริมาณที่ต้องการได้ในเวลาอันรวดเร็วกว่าทุกวัน

ยังพอมีเวลาไม่ต้องเร่งรีบ เขาจึงจอดเรือพักอยู่ริมฝั่ง นอนฟังเสียงน้ำเสียงคลื่นจนเพลินและผล็อยหลับไป

วินาทีที่คาดไม่ถึง เรือหางยาวซึ่งแล่นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิดและสงบเงียบ โดยที่มองไม่เห็นเรือของพิภพที่จอดนิ่งอยู่ เพราะชะตาชีวิตของเขาถูกพระเจ้ากำหนดมาให้มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์เพียงเท่านี้…

หรือเพียงเพราะความประมาท...เขาจึงเผลอหลับไปจนลืมเปิดไฟหัวเรือเป็นสัญลักษณ์เอาไว้ จึงทำให้เรือหางยาวลำนั้นพุ่งเข้าประสานงากับเรือของพิภพเข้าอย่างจัง

พิภพกระเด็นออกมานอกเรือและจมดิ่งลงน้ำ สติสตังเตลิดหาย หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะตะเกียกตะกายพาตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช ร่างของเขาอาบไปด้วยเลือดต่างน้ำ สาเหตุจากใบพัดท้ายเรือหางยาวลำนั้นเจาะเข้าเต็มร่างของเขา

ชาวบ้านซึ่งอยู่แถบนั้นมาพบซากเรือเข้าก็รุ่งเช้าของวันใหม่ จึงแจ้งตำรวจเพื่อสืบหาเจ้าของซากเรือ จึงรู้ว่าเป็นเรือของพิภพ วันที่เจ้าหน้าที่ติดต่อเพื่อแจ้งข่าวร้ายให้กับแวววรรณ ผู้เป็นภรรยาก็แทบช๊อค ร่ำไห้จนแทบขาดใจ รวมถึงลูกชายและลูกสาวในวัยซึ่งยังไม่รู้ตาสีตาสา ต่างร้องห่มร้องไห้เรียกหาพ่อ แต่ไม่มีวันที่ผู้เป็นพ่อจะกลับมาอีกแล้ว

ตั้งแต่วันนั้น แวววรรณต้องอดทนและเข้มแข็งมาตลอดเพื่อลูกอันเป็นที่รัก หากหล่อนอ่อนแอไปอีกคนแล้วลูกทั้งสองจะอยู่ได้อย่างไร พิภพได้ทำประกันไว้เมื่อตนเสียชีวิต ผู้รับผลประโยชน์นั่นคือภรรยา แวววรรณจึงนำเงินก้อนนั้นมาเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้างมาจนถึงปัจจุบัน

รู้ทั้งรู้ว่าอย่างไร วันเวลาก็ไม่สามารถนำพาอดีตกลับคืนมาแต่ก็อดคิดถึงไม่ได้ ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าคิดถึงแล้วเจ็บปวดแค่ไหนก็ยังนึกถึงเสมอ แวววรรณปาดน้ำตาที่กำลังจะรินไหล ก่อนจะร้องสั่งลูกจ้าง “กุ้ง ไปเอาแก้วใส่ข้าวสารมาให้เต็มถ้วยนะ แล้วแอ๋วไปจุดธูปมาให้ฉันดอกหนึ่ง”

ลูกจ้างสาวทำตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า กุ้งหายเข้าไปในครัวและออกมาพร้อมกับแก้วที่บรรจุข้าวสารจนเต็ม แล้ววางกลับคืนบนหิ้งเพื่อไว้ปักธูปเป็นการชั่วคราว ส่วนแอ๋วรีบไปจุดธูปหนึ่งดอกมาส่งให้เจ้าของร้าน

ขณะที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หญิงวัยกลางคนนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะยกมือประนมพร้อมกับในมือถือธูปหนึ่งดอกเพื่อบอกกล่าวผู้เป็นสามี “คุณคะ คุณต้องการจะบอกอะไรกับฉันใช่ไหมคะ ฉันใจคอไม่ดีเลย เกี่ยวกับลูกของเราหรือเปล่าคะคุณ”

แวววรรณว่าน้ำเสียงสั่นเครือ บรรดาลูกจ้างที่ยืนอยู่ก็หันมองหน้ากัน บ้างก็ลูบแขนขึ้นลงช้าๆ อย่างรู้สึกขนลุก

“ฉันรู้ว่าคุณยังอยู่กับฉัน ยังอยู่กับลูก คุณต้องคอยปกป้องลูกนะคะ อย่าให้มีอันตรายใดๆ มาทำร้ายลูกของเราได้” เมื่อบอกกล่าวกับรูปถ่ายของสามีเรียบร้อยแล้ว แวววรรณจึงปักธูปลงในแก้ว

หลังจากนั้น หญิงวัยกลางคนรีบไปหยิบโทรศัพท์กดเบอร์หาลูกชายด้วยความร้อนใจ แต่พยายามโทรหาเท่าไหร่ก็มีแต่เพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติบอกว่าไม่สามารถติดต่อได้ แวววรรณจึงกดเบอร์หานลินี ลูกสาวคนเล็กแทน

“จ้ะแม่” หลังจากเสียงโทรเข้าดังอยู่พักหนึ่ง เมื่อมองหน้าจอบอกว่าเป็นแม่วรรณสายเข้า เจ้าของโทรศัพท์มือถือก็ตอบรับ

“นี หนูเรียนอยู่หรือเปล่าลูก”

“วันนี้นีเลิกเรียนตั้งแต่เที่ยงแล้วล่ะแม่ ตอนนี้นีมากินข้าวกับใบตองแล้วก็อ้าย แม่มีอะไรเหรอ” ลูกสาวตั้งคำถามทิ้งท้าย

“ก็แม่พยายามโทรหานนท์เท่าไหร่ก็ติดต่อไม่ได้เลย แม่ไม่สบายใจเลยลูก” ผู้เป็นมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

“บางทีมือถือพี่นนท์อาจจะแบตหมด หรือไม่ก็อาจจะอยู่ในที่อับสัญญาณก็ได้ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงกับทำให้แม่คนเก่งของนีไม่สบายใจขนาดนั้นล่ะ”

“จะไม่ให้ไม่สบายใจได้ไงล่ะลูก ไม่รู้ว่าจู่ๆ กระถางธูปของพ่อตกลงมาได้ยังไง เหมือนพ่อต้องการจะบอกอะไรแม่สักอย่าง”

“แม่ ทำใจให้สบายๆก่อนนะ เดี๋ยวนีจะลองโทรไปหาพี่นนท์อีกที ถ้าติดต่อพี่นนท์ได้แล้ว นีจะบอกให้พี่นนท์โทรกลับหาแม่นะ”

นลินีพยายามพูดให้มารดาสบายใจให้มากที่สุด หญิงสาวรับรู้ว่าพ่อเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางน้ำ นั่นคือสิ่งที่ทำให้แม่ฝังใจที่สุด ยิ่งรู้ว่านนท์ไปพักแรมในป่าเขาซึ่งมีน้ำตกมีลำธารด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกเป็นกังวลและห่วงมากเป็นพิเศษ ประกอบกับที่พ่อซึ่งเสียชีวิตไปแล้วพยายามจะบอกอะไรบางอย่างโดยการสื่อให้กระถางธูปตกแตกอย่างไม่รู้สาเหตุ ยิ่งทำให้แม่ไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก


ธนัทลงจากลานกางเต็นท์มาที่บริเวณริมคุ้งน้ำ หวังจะพบเพื่อนสนิทนอนหลับอยู่ใต้ต้นชงโคป่าที่เดิม ชายหนุ่มเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเหมือนวันก่อน กลัวเพื่อนจะนอนหลับเพลินจนลืมตื่นไม่ทันเวลานัดของอาจารย์วินิจในตอนเย็น เขาจึงต้องมาตามด้วยตัวเอง

แต่ผู้ที่เขามาพบกลับไม่ใช่เพื่อนชายวัยเดียวกัน แต่เป็นชายสูงวัยที่นอนกรนคร่อกๆ อย่างสบายอุราจนหนวดสีเทารำไรกระดิกตามแรงกรน ร่างสูงส่ายหน้าช้าๆ ลักษณะเอือมระอากับชายต่างวัยที่นอนหมดสภาพอยู่ตรงหน้า แล้วยิ่งพาตัวเข้าไปใกล้ กลิ่นของยาเส้นผสมกับเหล้าขาวก็โชยฉุยออกมาจากปากของลุงคำนูณจนรีบปิดจมูกแทบไม่ทัน

“อื้อหือ...เหม็นชะมัดเลย” ชายหนุ่มบ่นพลางเอานิ้วอุดจมูก แล้วจัดการสะกิดลุงคำนูณ “ลุง ตื่นเถอะลุง แอบมาหลับอะไรตรงนี้”

เจ้าของหนวดสีเทาทำปากจ๊อบแจ๊บ บิดขี้เกียจไปมาจนกระดูกแทบบิด ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองเด็กหนุ่มเจ้าของเสียงเรียก

“อ้าว นึกว่าใคร พ่อธนัทนี่เอง มีอะไรมาเรียกลุงกำลังหลับสบายเชียว” แกเอ่ยน้ำเสียงงัวเงีย

“อย่าบอกนะว่าลุงเมาเหล้าแล้วมานอนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืน”

“เอ็งจะบ้ารึ ลุงน่ะไม่เคยเมาเหล้า มีแต่เหล้าน่ะมันเมาลุงโว้ย ว่าแต่เอ็งเถอะ มาเรียกคนกำลังหลับสบาย มันมีอะไรนักหนาว่าไปซิ”

“ลุงเห็นไอ้นนท์หรือเปล่า ตอนแรกผมก็คิดว่ามันนอนอยู่ตรงนี้ซะอีก ไหงกลายเป็นลุงได้”

ขณะนั้น ลุงคำนูณก็คิดขึ้นมาได้ว่า ตัวเองปล่อยให้นนท์คุยกับบัวบูชาอยู่ฝั่งโน้น หากว่าธนัทไปเห็นเข้าคงเกิดเรื่องวุ่นวายกว่าเดิมแน่ แกจึงพยายามซ่อนอาการพิรุธไว้ให้มิดชิดที่สุด เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มสงสัย

ชายสูงวัยแหงนมองดวงอาทิตย์สลับแสงสีส้มกับก้อนเมฆระเรื่อบนผืนฟ้า ก็พอรู้เวลาว่าล่วงเลยมาเป็นชั่วโมงแล้ว หลังจากที่ปล่อยให้คู่นั้นพูดคุยกัน เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานทีเดียว

“เอางี้ เดี๋ยวลุงไปตามเพื่อนเอ็งให้ ส่วนเอ็งขึ้นไปรอข้างบนก่อน ถ้าอาจารย์ท่านถามหาก็บอกว่าพ่อนนท์อยู่กับลุงแล้วกัน” ลุงคำนูณพยายามเกลี้ยกล่อมให้ธนัทออกห่างไปจากบริเวณนี้ ด้วยเกรงว่าเขาจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นจะมากเรื่องมากความเสียเปล่าๆ

“ไหนๆ ก็ลงมาถึงนี่แล้ว ผมไปด้วยดีกว่า ขี้เกียจขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวก็คลาดกันอีก” ธนัทพูดพร้อมกับส่ายหน้าดิก

ลุงคำนูณถึงกับคิดหนักเมื่อได้ยินคำตอบ ไม่รู้ว่าทางฝ่ายนนท์และบัวบูชาจะเป็นอย่างไร ถ้ากำลังคุยกันอยู่จนติดลมก็ดีไป แต่หากไม่ใช่อย่างนั้น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่อยากจะคิดเลย

“ลุงถามจริงๆเถอะ เพื่อนเอ็งเคยมาที่นี่บ้างหรือเปล่า” ลุงคำนูณตัดสินใจถามลองเชิงดูก่อน เพราะถ้าธนัทเป็นเพื่อนสนิทของนนท์จริงๆ ก็ต้องรู้เรื่องอะไรต่ออะไรของเพื่อนบ้าง

ธนัททำหน้างงงัน “ถามทำไมเหรอลุง”

“เอาเถอะน่า ลุงก็แค่อยากรู้แค่นั้นเอง ปัญหามากจริงไอ้เด็กวัยรุ่นสมัยนี้”

“แหม ลุงก็ทำบ่นไปได้ มันเคยมากับแม่แล้วก็น้องสาวของมัน ตอนเรียนอยู่ม.ปลาย น่าจะห้าปีกว่าได้แล้วมั้ง” ธนัทยังลังเล

“แล้วมาทำอะไรกันที่นี่ พอจำได้ไหม” ลุงคำนูณถามต่อ

“ก็มาเป็นเพื่อนแม่ แม่ของไอ้นนท์มาวิปัสสนาที่วัดท้ายอุทยานนี่แหละ ผมจำชื่อวัดไม่ได้แล้ว”

“ถ้าวัดท้ายอุทยานนี้ก็มีอยู่วัดเดียวก็คือวัดทุ่งตะคราม แล้วก็เป็นวัดเดียวที่มีลำธารสายนี้ไหลผ่าน อืม...” ลุงคำนูณพยักหน้าช้าๆ ตอนท้ายอย่างคนที่เริ่มประติดประต่อเรื่องราวอะไรได้

“เฮ้อ ไอ้นนท์น่ะลุง ผมรู้จักกับมันมานานแล้ว มันเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษ โอย พูดแล้วก็ขนลุก มันมักจะเห็นอะไรๆ ที่คนอื่นเขาไม่เห็นกันตลอดแหละ”

“ผีน่ะเรอะ” ลุงคำนูณแปลตรงตัว

“โธ่ลุง จะพูดออกมาทำไมตอนนี้ล่ะ” แล้วเขาก็เขยิบตัวเองมาชิดร่างชายต่างวัยทันที พลางมือก็ลูบแขนตัวเองขึ้นลงเพื่อให้ขนแขนที่ลุกซู่สงบลงบ้าง

“อย่างขามานี่นะลุง มันก็พร่ำว่าเห็นคนยืนมุงดูอะไรกันตรงข้างทาง จริงๆ ผมน่ะรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันเห็นจริงๆ แต่ถ้าผมไปสนับสนุนมัน คนบนรถก็จะหาว่าบ้ากันพอดี เอ้อ ผมถามหน่อยสิ ที่นี่เคยเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ลุงคำนูณสะอึกไปนิดหนึ่ง จนเกือบเก็บอาการพิรุธไว้ไม่อยู่ แต่แกก็แก้ปัญหาด้วยการตอบคำถามแบบกวนประสาท เพื่อให้คนฟังไม่ต้องตั้งใจใคร่รู้กับเรื่องนี้มากนัก

“ไม่รู้สิวะ ลุงไม่เคยตั้งชื่อเรื่องนี่หว่า ไปๆ รีบไปตามเพื่อนเอ็ง มัวมาเสียเวลาอยู่นี่แหละ” ชายสูงวัยรีบบ่ายเบี่ยง แล้วเดินนำทางไปลิ่วๆ ทางฝ่ายเด็กหนุ่มก็ได้แต่มองค้อนตามหลังไปด้วยรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ ได้แต่คิดว่าถ้ารุ่นเดียวกัน คงได้วางมวยกันบ้างล่ะ

“นนท์เอ๊ย... พ่อนนท์ เจ้าธนัทเพื่อนเอ็งมาตามแล้ว” ลุงคำนูณร้องเรียกโหวกเหวก

“ลุงแน่ใจนะว่าไอ้นนท์มันมาที่นี่ ทำไมมันเงียบกริบแบบนี้ล่ะ” ธนัทเอ่ยถามเสียงสั่น ในความเงียบสงบของสรรพสิ่ง อันที่จริงมีความลึกลับแอบแฝงอยู่ ระหว่างที่กำลังเดินเลียบเคียงตามชายสูงวัยผู้นำทาง ลมเย็นพัดเอื่อยมาสัมผัสผิวจนรู้สึกขนลุกวาบไปทั่วร่างกาย

ชายสูงวัยตอบคำถามด้วยการพยักหน้าช้าๆ แล้วหันมองไปรอบๆ พบแต่เพียงความเงียบและเสียงลมหวิวๆ เย็นยะเยือก

ลุงคำนูณสังเกตเห็นธูปบนศาลเพียงตาดับไปทั้งที่ยังไม่หมดดอก ส่วนกระทงเครื่องเซ่นปลิดปลิวไปคนละทิศคนละทางจนอาหารกระจัดกระจาย ซึ่งเป็นลางไม่ดีที่เขารับรู้ได้

“ลุง ไหนล่ะไอ้นนท์” เด็กหนุ่มถามย้ำ เมื่อเห็นชายสูงวัยเอาแต่เงียบกริบ รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

สีหน้าของลุงคำนูณดูขึงขังขึ้นมาทันทีเมื่อเดินไปใต้ต้นชงโคป่าหรือเสี้ยวซึ่งยืนต้นอยู่ริมกระท่อมร้าง แล้วเขาก็หย่อนตัวลงนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นทรายด้วยสีหน้าจริงจัง

“ธนัท มานั่งลงข้างๆลุง พนมมือแล้วก็หลับตาซะ”

เด็กหนุ่มทำท่าทางกระอักกระอ่วนด้วยความแปลกใจ แต่เขาก็ยอมทำตามคำสั่งของลุงคำนูณแต่โดยดีโดยไม่ซักถามอะไร

เมื่อชายสูงวัยผู้มีวิชาด้านคาถาอาคมเริ่มพนมมือและร่ายคาถาพึมพำในลำคอ จู่ๆ พายุก็พัดกรรโชกแรงโหมเอาต้นไม้ใบหญ้าโบกสะบัดไปมา เศษดินเศษทรายปลิวคลุ้งกระจัดกระจาย หมู่เมฆเริ่มอึมครึมบดบังแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างให้เลือนหาย เสียงสัตว์ปีกเคลื่อนไหวให้บรรยากาศวังเวงจนธนัทนั่งแทบไม่ติดพื้น

“เอ็งอยู่เฉยๆ อย่าลุกลี้ลุกลน เดี๋ยวข้าเสียสมาธิหมด”

ลุงคำนูณเอ็ดเด็กหนุ่มที่นั่งหันรีหันขวางด้วยความหวาดกลัว แล้วแกก็หลับตาร่ายคาถาต่อไปไม่หยุดหย่อน

จนกระทั่งเหนือผิวน้ำเบื้องหน้า ปลาตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาจนผิวน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้างออกไป หนึ่งในมัจฉาที่โชคร้ายนั้นถูกจอกแหนซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเส้นผมบีบรัด ปลาตัวน้อยพยายามดิ้นดุกดิกไปมาเพื่อให้พ้นเงื้อมมือของกระจุกสีดำปริศนานั้น

ธนัทมองตาค้าง แต่ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาก็ถูกลุงคำนูณเอ็ดแทรกขึ้นมาก่อน

“ลุงบอกให้เอ็งหลับตา จะลืมตาขึ้นมาทำไม หลับตาเดี๋ยวนี้”

ลุงคำนูณกระแอมไอดังลั่น จนกระจุกผมนั้นคลายตัวจากปลาโชคร้ายแล้วหายวับไป แต่ปลาตัวนั้นก็ไม่รอดจากแรงบีบรัดแน่นเมื่อครู่จนไส้ทะลัก หายใจผงาบๆ และหมดลมหายใจไปในที่สุด

ภาพลางเลือนที่ปรากฏอยู่ใต้นิมิตจิตสำนึกของลุงคำนูณนั้นคือ โพรงถ้ำสีเขียวมรกตกว้างใหญ่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเวิ้งน้ำเงียบสงบ จมอยู่ลึกลงไปจนถึงลอนทรายข้างใต้มานานนับห้าร้อยปีแล้ว โดยมีนางพรายคำหล้ายึดครองเป็นสมบัติส่วนตนและอยู่อาศัย นางเป็นหญิงหากแต่มีน้ำเสียงและรูปลักษณ์ราวกับผู้ชาย มีพลังอำนาจเหนือทุกดวงวิญญาณที่อาศัยอยู่ภายใต้คุ้งน้ำ

เสียงร่ำไห้โหยหวนอันน่าเวทนากังวานอยู่ภายในถ้ำสีมรกต ประสานกับเสียงแห่งหัวหน้าพรายตะเบ็งอย่างดังกึกก้อง

“อีบัว! กูปล่อยมึงให้เป็นอิสระแค่ไม่กี่วัน มึงก็รีบวิ่งเร่ไปรับส่วนบุญจากไอ้แก่นั่น ส่วนกูที่เป็นนายของมึงแท้ๆ มึงกลับปล่อยให้กูต้องทุกข์ทรมานกับความหิวโหยอยู่แบบนี้ อีนังอกตัญญู!” แล้วนางพรายคำหล้าก็ใช้มือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำที่ปูดโปนขึ้นมาบนผิวหนังกับเล็บแหลมยาวเหยียดบีบรัดต้นคอของผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้จนตัวสั่นและหวาดกลัว

และทันทีที่นางพรายคำหล้าเบนสายตามาทางชายหนุ่มซึ่งนั่งนิ่งด้วยถูกกระจุกเส้นผมของนางแย้ม ลูกน้องอีกตนหนึ่งของหล่อนรัดรอบกายของเขาเสียจนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ นางพรายคำหล้าจึงเปลี่ยนสีหน้าที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราดเป็นคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ

อีกทั้งนางยังสะกดลิ้นของนนท์ให้แข็งจนไม่สามารถพูดอะไรได้ แม้แต่จะเปล่งเสียงออกมา แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะขยับริมฝีปากได้เลย ได้ยินแต่เสียงอู้อี้ๆ ในลำคอเท่านั้น สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเขายิ่งนัก

ชายหนุ่มรู้สึกห่วงใยและต้องการช่วยเหลือบัวบูชาเป็นอย่างมาก แต่สภาพตอนนี้ แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด นับประสาอะไรที่จะช่วยเธอ

พรายคำหล้าลอยมายังชายหนุ่มที่นั่งตัวสั่นเทิ้ม หากมองดูผิวเผินเหมือนวิญญาณบาปตนนี้ราวกับสิ่งเบาหวิวซึ่งไร้เรี่ยวแรง แต่อันที่จริงเรี่ยวแรงพละกำลังของนางนั้นไม่ต่างอะไรกับยักษ์ขมูขี

ยิ่งเข้ามาใกล้...กลิ่นเหม็นเน่าก็ยิ่งโชยมาเตะปลายจมูกจนเขาพยายามเบือนหน้าหนี แต่ก็ไร้ผล

และยิ่งมาใกล้... เรือนร่างรูปหน้าอัปลักษณ์ของหล่อนก็ยิ่งชัดเจน ใบหน้าที่เป็นรูพรุนและน้ำเหลืองไหลเยิ้มย้อยออกมา ริมฝีปากสีม่วงคล้ำที่แหว่งเว้าไปข้างหนึ่ง อีกทั้งดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำคล้ำซึ่งจับจ้องมองมายังเขาช่างน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก

ก่อนจะใช้มือเหี่ยวแห้งอันน่าขยะแขยงลูบไล้เรือนหน้าของเขาจนเขารีบเบี่ยงหน้าหลบไปอีกด้านด้วยความสะอิดสะเอียน

“รูปงามยิ่งนัก” นางเอ่ยอย่างพึงใจ ก่อนจะหันไปทางลูกน้องผีพรายสาวอีกตนซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง “อีแย้ม นี่น่ะหรือชายที่มึงอยากได้นักหนา”

“เจ้าค่ะนายคำ” หล่อนตอบทั้งที่สายตายังคงแอบมองที่ชายหนุ่ม

“ก็เพราะรูปงามเช่นนี้นี่เอง มึงถึงหลงใหลได้ปลื้มนัก” แล้วนางพรายคำหล้าก็ยื่นดวงหน้าอันเน่าเฟะเข้าไปใกล้ๆ ชายหนุ่มอีกครั้ง "แม้จะดูหยิ่งยโสไปหน่อยก็เถอะ"

“ออกไปห่างๆ ไป๊!!” นั่นคือประโยคที่นนท์พยายามจะตะโกนออกมา แต่เสียงนั้นก็เพียงแค่อู้อี้อยู่ในลำคอเท่านั้น

“แต่พี่นนท์ก็ไม่เคยเห็นในความดีของแย้มเลย” พรายแย้มสบตากับนนท์พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ

คำพูดของแย้มสะกิดใจนนท์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะความห่วงใยที่มีต่อบัวบูชามีมากกว่า เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามสื่อความรู้สึกออกมาทางแววตาให้แก่หญิงสาวผู้เป็นวิญญาณผีพรายซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวดจากการที่นายใหญ่ของเธอใช้พละกำลังมหาศาลบีบรัดลำคอฉีกเป็นรอยแผลจนเหวอะหวะ แล้วยังมีน้ำเหลวสีเขียวปนม่วงเล็ดออกมาทั้งทางจมูกและปาก ยังความทรมานแสนสาหัสด้วยทุกขเวทนายิ่งนัก






Create Date : 24 กรกฎาคม 2554
Last Update : 24 กรกฎาคม 2554 4:02:04 น. 9 comments
Counter : 1079 Pageviews.

 
น่าสงสารผีพรายอ่ะ 555 บ้าแล้วฉ้าน
สวัสดีตอนบ่ายๆค่ะ วันนี้อากาศร้อนมากทีเดียวค่ะ
เป็นไปได้ก็อย่าออกข้างนอกเลยนะคะ ร้อนจริงๆค่ะ



โดย: maitip@kettip วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:13:27:13 น.  

 
แวะมาทักทายตอนบ่ายๆครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:51:40 น.  

 



สวัสดีค่ะคุณนุ่น
ความสุขหาได้ไม่ยากนะคะ
เพียงแค่ได้ปลีกเวลามาเดินตามเส้นทางฝันบ้าง.....ก็สุขเพียงพอแล้ว

สบายดีนะคะ



โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:59:34 น.  

 
สวัสดีจ่ะ วันนี้สอบกลางภาควันที่สอง 555+ มันง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ


โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:40:23 น.  

 
หอบรักมาทักทายเจ้าของบล็อกค่ะ ^^
เขียนเก่งขึ้นทุกวันเลยนะคะ ^^


โดย: Atocha วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:50:32 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเดย์ครีม

แวะมาเยี่ยมค่ะ

หืมม..นิยายคุณเดย์ดรีมยาวจุใจดีจริงๆค่ะ

เก่งจังค่ะที่เอาเขียนได้ขนาดนี้


โดย: แก้วศกุลตลา วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:17:23:01 น.  

 
.....ขอโทษค่ะ ไม่ได้ไปมาหาสู่....
.....เดี๋ยวเสร็จภาระกิจ...จะมานอนอ่านย้อนหลังให้ครบ ๖ ตอนนะจ๊ะ
..... ด้วยความชอบ เป็นส่วนตัวค่ะ



โดย: go far far วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:18:34:39 น.  

 

ตอน 6 แล้วเหรอคะเนี่ย

คุณนุ่น...นะคะ

ขอบคุณที่แวะทักทายกันค่ะ

เราเคยเจอกันแล้วเนอะ ไม่ได้เข้ามาบ้านนี้นานเลยค่ะ






โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 28 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:05:30 น.  

 
เดี๋ยวมีเวลาเยอะๆแล้วจะแวะมาอ่านนิยายนะคะ ขอบคุณที่แวะไปทักทาย


โดย: ต้นข้าวรวงรัก วันที่: 22 สิงหาคม 2554 เวลา:19:19:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วันฝัน วันซันเดย์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอความฝัน...จงบังเกิด
หลงรัก...คนรุ่นพ่อ
...หัวใจดวงนี้ ไม่มีอะไร นอกจากความห่วงใย... ถึง...ใครบางคน
> : Users Online
TOP

Free Cursors
Friends' blogs
[Add วันฝัน วันซันเดย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.