กรณีคดีแพทย์ให้ฉีด diclofenac ต่อมาคนไข้เสียชีวิต สุดท้ายศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยฝั่งแพทย์มีความผิดต้องชดใช้เงิน ผมได้อ่านคำพิพากษาตัวเต็มแล้ว ผมขอสรุปเนื้อหา และแนะนำสิ่งที่อาจมีประโยชน์ต่อแพทย์ให้ครับ
คนไหนขี้เกียจอ่านดูที่ **** พอครับ
1. คดีนี้เป็นคดีผู้บริโภค ดังนั้นภาระในการพิสูจน์จึงตกที่จำเลยฝั่งแพทย์ ถ้าจำเลยนำสืบไม่พอก็มีโอกาสแพ้สูงมาก ซึ่งคดีนี้ผมเห็นว่าทนายจำเลยไม่ได้นำพยานผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง (แพทย์ที่ไม่ใช่จำเลย) หรือเอกสารทางวิชาการ มานำสืบเลย รวมทั้งนำสืบบางประเด็นไม่ครบ ตัวอย่างเช่น คำพิพากษาในรูป 1 และ 2
2. ประเด็นสำคัญอีกข้อ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาก่อนที่จะมีคำตัดสินจากแพทยสภาด้วย ดังนั้นผมคิดว่า จำเลยนำสืบไม่ครบจริงๆ เพราะยิ่งไม่มีมติจากแพทยสภา ยิ่งต้องนำสืบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะไม่รู้มติแพทยสภาที่มาภายหลังจะเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อแพทย์ โดยหากมติแพทยสภาเป็นผลร้าย การสู้ต่อในขั้นอุทธรณ์กับฎีกา จำเลยจะนำพยานมาสืบสู้เพิ่มไม่ได้ ถ้าไม่มีหลักฐานใหม่ตามหลักกฎหมาย ดังนั้นจำเลยก็มีโอกาสแพ้สูงมากครับ
3. ****ขอสรุปบทเรียนจากคดีนี้สำหรับแพทย์**** คือ หากโดนฟ้องร้อง การหาทนายเก่งมีความสำคัญมากๆ เพราะถ้าทนายนำสืบดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น นำสืบได้ครบประเด็น นำผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางเข้าสืบ มีหลักฐานเอกสารยิ่งมีโอกาสชนะ เช่นกรณีสาเหตุการตายในคดีนี้ ผมดูแล้วมันไม่ชัดเจนมากๆ ถ้ามีการนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางมีประโยชน์แน่ๆ
นอกจากนี้ แพทย์ที่เป็นจำเลย ก็อาจช่วยทนายได้ โดยการหาหลักฐานในรูปแบบเอกสารที่สนับสนุนสิ่งที่เเพทย์ทำ
ทั้งนี้ ผมขอบอกว่า ผมในฐานะนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทยพร้อมเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางให้ครับ หากมีการฟ้องร้องที่มีประเด็นเกี่ยวกับสาเหตุการตายหรือนิติเวช ทนายสามารถส่งหมายมาให้ผมได้ครับ บอกไว้ก่อนว่าผมจะให้ความเห็นตามหลักการ ไม่ได้ช่วยฝั่งไหน แค่ต้องการนำสืบให้คดีมันชัดเจนครับ
4. ทั้งนี้มติจากแพทยสภาที่ออกมาหลังจากศาลชั้นต้นตัดสิน ศาลฎีกาก็เอามาพิจารณาด้วย แล้วมีความเห็นว่า “มติของคณะกรรมการแพทยสภาฯที่ส่งมายังศาลชั้นต้นในคดีนี้ไม่มีรายละเอียดพอที่จะพิจารณาว่าเป็นไปดังที่ได้กล่าว มาหรือไม่ เพียงใด จึงไม่มีน้ำหนักให้นำมารับฟัง”
ส่วนนี้ผมจะผลักดันให้แพทยสภารับไปพิจารณาว่า มติแพทยสภาบกพร่องตรงไหน ผมคิดว่า มีสองอย่างที่อาจทำได้คือ ทำหนังสือไปถามว่าที่บอกว่ารายละเอียดไม่เพียงพอคือขาดเรื่องใด หรือแพทยสภาอาจทำข้อตกลงกับศาลฎีกาว่าให้เชิญกรรมการแพทยสภาไปอธิบายรายละเอียดของมติไหม หากศาลเห็นว่ามติไม่สมบูรณ์
5. ประเด็นเรื่องที่แพทย์กลัวกันว่า ต่อไปนี้ ฉีดยาต้อง observe มากกว่า 30 นาทีทุกครั้ง หรือไม่ควรใช้ยา diclofenac เพราะคำพิพากษาบอกไว้แบบนั้น ผมมีสองประเด็นที่อยากบอกครับ
ประเด็นแรก ที่โรงพยาบาลของเคสนี้มีเกณฑ์ให้ observe หลังฉีดยา 30 นาที แต่มันอาจไม่มีระบุชัดเจน ซึ่งเคสนี้ที่คนไข้กลับเร็ว เพราะคนไข้อยากกลับเอง แต่เวลาพิจารณาจำเลยไม่สามารถนำสืบให้ผู้พิพากษาเชื่อได้ว่า จำเลยได้แจ้งคนไข้ให้ observe 30 นาทีแล้ว ดังนั้น
****คำแนะนำที่สำคัญมากกับแพทย์คือ ถ้าได้สั่งการฉีดยาทุกชนิดที่ห้องฉุกเฉินหรือ opd ควรแจ้งคนไข้เรื่องนี้และ note ในเวชระเบียนว่า observe 30 นาทีหลังฉีดยา หรือให้ทางโรงพยาบาลทำป้ายแปะข้อมูลนี้ไว้เพื่อให้คนไข้ทราบเรื่องนี้**** (อาจขึ้นอยู่กับการออกฤทธิ์ของยาแต่ละตัวด้วย ดังนั้นอาจน้อยกว่า 30 นาทีได้)
ประเด็นที่สอง แพทย์ควรทำตามหลักปฏิบัติทางการแพทย์ โดยไม่ต้องสนใจคำพิพากษา (ยิ่งคำพิพากษาอันนี้ ยิ่งไม่ต้องสนใจ เพราะฝ่ายจำเลยนำสืบบางประเด็นไม่ครบจริงๆ) ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการหลีกเลี่ยงการฉีดยา diclofenac ถ้าแพทย์ทำตามหลักปฏิบัติทางการแพทย์แล้ว ไม่งั้นในอนาคตฉีดยาหรือกินยาอะไรก็ไม่ได้ เนื่องจากคนไข้มีโอกาสแพ้ยาได้หมด หรือมองในมุมกลับ ถ้าคนไข้ควรต้องได้รับยา แต่แพทย์ไม่ให้ แพทย์ก็อาจโดนฟ้องกรณีนี้แทน
ดังนั้นผมจะผลักดันให้ แพทยสภาทำข้อสรุปประเด็นนี้ เช่น เรื่องการ observe หลังฉีดยาควรทำนานเท่าไหร่ แพทย์สามารถใช้ยา diclofenac กับคนเป็นโรคหอบหืดได้หรือไม่ มันจะมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอน
ปล. มีคนถามว่าแล้วจะหาทนายจากที่ไหนดี ผมพอรู้จักที่หนึ่ง ก็เอาไว้พิจารณาได้ครับ คือ สำนักการกฎหมายการแพทย์ www.thaimedlaw.com หรือดูนามบัตรในรูปสามได้ (ผมไม่ได้เป็นหุ้นส่วนนะครับบอกไว้ก่อน แค่เคยใช้บริการครับ) โดยสำนักงานกับพันธมิตรของเค้ารับทำคดีหลากหลาย รวมถึงกรณีฟ้องร้องหมิ่นประมาทด้วยเช่น กรณีแอบถ่ายแพทย์แล้วเอาไปลงโซเซียลจนแพทย์เสียหาย ซึ่งกรณีนี้ผมแนะนำให้ฟ้องเลยครับ จะจ้างที่นี่ก็ได้ครับ คิดว่าค่าสินไหมทดแทนได้มากกว่าค่าจ้างอยู่แล้ว จะได้เป็นบรรทัดฐานเหมือนอย่างกรณีข่าวดังที่ พ่อของหมอฟ้องคนแอบถ่าย ปล. 2 สเตตัสนี้ผมไม่ต้องการตำหนิใคร ทั้งโจทก์ จำเลย ทนาย ผู้ป่วย แพทย์ พยาบาล โรงพยาบาล แพทยสภา หรือผู้พิพากษา แค่อยากถอดบทเรียนให้มารับรู้กันครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0LUhZk3mXqGpYrKyHMCdzk7o2Gf5r7mt1DWHPRopLRN93yu5teN2ZaeG1BFs4Lebyl&id=100001957212970
...................................... ขอกลับมาเพิ่มเติมในกรณีคำพิพากษาฎีกาคดี diclofenac ครับ อันนี้ผมขอถอดบทเรียนโดยพิจารณาเฉพาะจากการอ่านคำพิพากษาฎีกาเหมือนเดิมนะครับ
ตอนนี้จะมีแพทย์สงสัยว่าทำไมศาลฎีกาตัดสินว่า diclofenac ซึ่งเป็นยา NSAIDS ห้ามใช้ในคนเป็นโรคหอบหืด (asthma) ซึ่งอาจขัดกับหลักฐานทางทางการแพทย์ ผมขอสรุปมาให้ดูว่า ถ้าตามคำพิพากษาจริงๆ เป็นอย่างไรนะครับ
1. เคสนี้ฝ่ายโจทก์ ยกหลักฐานที่เป็นเอกสารกำกับยา diclofenac ซึ่งมีระบุว่า “ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานี้ หรือผู้ที่มีอาการหอบหืด ลมพิษ หรือโพรงจมูกอักเสบแบบเฉียบพลันจากการแพ้ยาแอสไพริน หรือ NSAIDS” ตามรูปที่ 1 ซึ่งถ้าอ่านแล้วจะชัดเจนว่า NSAIDS ไม่ได้ห้ามใช้ในคนเป็นโรคหอบหืด แต่ห้ามใช้ในคนที่เป็นโรคหอบหืดจากการแพ้ยา NSAIDS ซึ่งทางการแพทย์เป็นคนละกรณีกัน
2. ทำไมศาลถึงคิดว่าห้ามใช้ในคนเป็นโรคหอบหืดละ มาดูเหตุผลกันครับ
- พยานฝ่ายจำเลยที่เป็นหมอโรงพยาบาลเดียวกัน ตอนโดนถามค้านให้การว่า “ต้องให้ยา diclofenac อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคหอบหืด และควรหลีกเลี่ยงการใช้หากมีตัวยาอื่น” ตามรูปที่ 1 ส่วนล่างสุด
ส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นคำให้การที่พลาดครับ แต่ผมเข้าใจพยานจำเลยครับ ที่เวลาขึ้นศาล บางทีโดนถามงงๆ อาจตอบพลาดได้ ผมไม่ได้ตำหนิใดๆ ครับ
แต่มีประเด็นสำคัญจะแนะนำแพทย์ที่ถูกฟ้องว่า
*****ถ้าจะนำพยานผู้เชี่ยวชาญมา ควรนำพยานที่มีทักษะในการเป็นพยานในศาลและเข้าใจการให้การครับ เพราะการให้การผิด เป็นผลเสียต่อจำเลยได้ครับ*****
- ฝ่ายจำเลย ไม่ได้มีการนำสืบประเด็นที่ว่า โรคหอบหืดที่คนไข้เป็น มันเป็นคนละอย่าง กับโรคหอบหืดจากการแพ้ยา NSAIDS ทั้งๆ ที่ถ้าดูประวัติแล้ว คนไข้คนนี้เคยได้รับยา NSAIDS มานานก่อนหน้านี้ แล้วไม่มีอาการแบบนี้ โรคหอบหืดของคนไข้จึงไม่น่าเกี่ยวข้องกันกับการแพ้ยา NSAIDS จนเป็นหอบหืด ซึ่งจะมีอาการหลังรับยาทันทีในช่วงก่อนหน้านี้
ส่วนฝ่ายโจทก์กลับนำสืบเรื่องนี้ โดยเอาแพทย์คนกลางมายืนยันว่า หอบหืดที่ผู้ป่วยเป็นเกิดจากการได้ยา NSAIDS ดูตามรูปที่ 2 และ 3
3. ตามความคิดผม ถ้าจำเลยนำสืบโดยนำเภสัชกรหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง มาอธิบายใบกำกับยาว่า อาการหอบหืดจาก NSIADS แบบนี้คืออะไร มันควรเจอตอนไหน ต่างจากอาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดจนต้องพ่นยาก่อนหน้านี้อย่างไร หากได้รับยา NSIADS มาก่อนแล้วไม่มีอาการจึงไม่ใช้ข้อควรระวังในการให้ยาคนไข้นี้ ใช่หรือไม่
หรือจริงๆ ตอนซักพยานก็ถามหมอผู้รักษาผู้เป็นจำเลยให้อธิบายประเด็นความแตกต่างนี้ก็ยังได้ หรือหาเอกสารที่อธิบายอาการหอบหืดแบบแพ้ยาหลังใช้ยา NSIADS แบบนี้ ต่างจากโรคหอบหืดที่คนไข้เป็นอย่างไร
แล้วสุดท้ายในผู้ป่วยรายนี้ ถ้าจำเลยสามารถนำสืบตีตกประเด็นตามข้างต้นได้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องสังเกตอาการถึง 30 นาทีด้วยซ้ำ แต่สังเกต 10 นาทีก็อาจพอแล้วตามที่จำเลยทำ เพราะไม่มีประเด็นต้องกังวลอะไรในคนไข้รายนี้ เห็นได้จากคำพิพากษา ที่ระบุว่า “การรักษาผู้ตายซึ่งมีอาการหอบหืด ด้วยยา diclofenac แล้วไม่ได้สังเกตอาการหลังฉีดยา ถือว่าไม่ได้มาตรฐาน” ตามรูปที่ 4
4. สรุป ตามความเห็นผม *****ผมคิดว่า diclofenac หรือ NSIADS สามารถใช้ในคนเป็นโรคหอบหืดได้ เพราะไม่มีข้อห้ามใช้ ดูในเอกสารกำกับยารูปที่ 5 ได้*****
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=29-09-2022&group=27&gblog=66
แนะถอน ยาไดโคลฟีแนค ออกจาก รพ.สต. ก่อนมีความชัดเจนว่ามีผลต่อเส้นประสาทหรือไม่
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=11-01-2019&group=27&gblog=65
สภาการพยาบาลออกประกาศ ห้ามพยาบาลฉีดยา ไดโคลฟีแนค ... (ลำดับเหตุการณ์จากเวบ hfocus และ FB ) https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=24-12-2019&group=27&gblog=61
แพ้ยา ผลข้างเคียงของยา ???
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=13-06-2008&group=28&gblog=1
ฉีดยา อันตรายที่ถูกเมิน
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=02-02-2008&group=4&gblog=8