สธ.พบผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางรายที่ 2 ของประเทศไทย เป็นชาวโอมาน
| แหล่งที่มา : สำนักข่าว |
| วันที่ข่าว : 24 มกราคม 2559 |
กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยยืนยันโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือโรคเมอร์ส รายที่ 2 ของประเทศไทย เป็นชายชาวโอมาน ขณะนี้รักษาตัวในห้องแยกโรคที่สถาบันบำราศนราดูร มีผู้สัมผัสผู้ป่วยรายนี้ทั้งหมด 252 คน เสี่ยงสูง 37 คน ทั้งหมดยังไม่ใช่ผู้ป่วย ยังไม่แพร่โรค ขณะนี้ทราบชื่อและที่อยู่ และดำเนินการติดตามทั้งหมด ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ยึดมาตรการ กินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ หากกลับจากพื้นที่เสี่ยงโรคระบาด มีไข้ ไอ รีบพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง สงสัยโทร สายด่วน 1422
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้แทนโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ แถลงข่าว การดำเนินการเฝ้าระวัง คัดกรองผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการเฝ้าระวังคัดกรองอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง โดยในวันนี้ได้พบผู้ป่วยยืนยันโรครายที่ 2 ของประเทศไทย ผู้ป่วยเป็นชาย อายุ 71 ปี ชาวโอมาน เดินทางเข้าประเทศไทย วันที่ 22 มกราคม 2559 เนื่องจากรักษาที่โรงพยาบาลที่โอมาน ด้วยอาการไข้ ไอ มาประมาณ 1 สัปดาห์ อาการไม่ดีขึ้น จึงเดินทางมาประเทศไทย โรงพยาบาลได้รับตัวในห้องแยกโรค พร้อมส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหาเชื้อเมอร์ส ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ และโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ผลบวก
ต่อมาในวันที่ 23 มกราคม 2559 เวลา 18.20 น. ได้ส่งต่อมารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร พร้อมส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหาเชื้อเมอร์ส ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ผลบวกเช่นกัน อาการผู้ป่วยในเช้าวันนี้ ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี มีอาการเหนื่อย ได้รับออกซิเจนและยาบรรเทาอาการ เนื่องจากมีอาการอักเสบที่ปอด รับประทานอาหารได้ ยังนอนพักรักษาตัวที่ห้องแยกโรค สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุข ต้องดำเนินการต่อคือ การติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยรายนี้ ประกอบด้วย ญาติที่เดินทางมาพร้อม 1 คน (เสี่ยงสูง) ลูกเรือและผู้โดยสารบนเครื่องบน 218 คนที่ยังอยู่ในประเทศไทย (จากทั้งหมด 239 คน เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 23 คน เสี่ยงต่ำ 195 คน) คนขับรถแท็กซี่ 1 คน (เสี่ยงสูง) พนักงานโรงแรม 1 คน และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล 30 คน (เสี่ยงสูง 11 คน)
โดยผู้สัมผัสทั้งหมดนี้ จะนำเข้าระบบเฝ้าระวังติดตามอาการจนครบ 14 วัน จนพ้นระยะฟักตัวของโรค ในจำนวนมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวน 37 คน ประกอบด้วยญาติ 1คน ผู้โดยสารบนเครื่องบิน 23 คน คนขับรถแท็กซี่ 1 คน พนักงานโรงแรม 1 คน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล 11 คน จะรับไว้ในสถานที่ที่เตรียมไว้ เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ที่เหลือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ซึ่งจะแนะนำให้แยกตัวเอง ลดการสังคมกับผู้อื่น มีระบบติดตามจากเจ้าหน้าที่
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ป่วยรายนี้ เป็นรายที่ 2 ของประเทศไทย เรามีประสบการณ์ในการทำงาน ทำให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงน้อยลง ระบบตรวจจับได้เร็วขึ้นใช้เวลาเพียง10ชั่วโมงเท่านั้น มีระบบการประสานงานที่ดีทั้งโรงพยาบาลรัฐ เอกชน ด่านควบคุมโรค ตรวจคนเข้าเมือง ทำให้ทราบชื่อ ที่อยู่ผู้สัมผัสและติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยได้ทั้งหมด พร้อมให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลที่มีระบบควบคุมป้องกัน เชื้อโรคไม่สามารถออกมานอกโรงพยาบาลได้ ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอให้ประชาชนใช้มาตรการ กินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ หากเดินทางไปประเทศการระบาดของโรคเมอร์ส กลับมาภายใน 14 วัน หากมีไข้ ไอ ขอให้รีบพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง มีข้อสงสัย โทรปรึกษา สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
https://www.facebook.com/thiravat.h/posts/997040166996204
เมอร์สเป็นโรคที่สลับซับซ้อนตั้งแต่อุบัติในตะวันออกกลางเมื่อ ปี 2012 ก็ไม่ลุกลามรวดเร็ว โดยที่ปะทุเป็นจุดกลุ่มเล็กๆในตะวันออกกลาง และมีการส่งออกไปต่างประเทศเป็นรายๆไม่ลุกลามต่อ ความน่าพิศวงของโรคมีหลายประการ เช่น
รายแรกของโลก คนไข้ชาวซาอุดิอาระเบียอายุ 60 ปี มีอาการไข้ ไอ หอบมา 7 วัน เข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตใน 12 วัน ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ทราบโรคได้มาจากที่ใด เช่นเดียวกับรายแรกที่แพร่ในเกาหลี ไม่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วย สัตว์ใดๆ
และ รายแรกในประเทศไทย (15 มิถุนายน 2015 ได้รับการวินิจฉัยยืนยันจากศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก ไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์) โดยได้รับตัวอย่างตรวจเมื่อ 17 มิถุนายน 2015) ก็หาต้นตอการได้รับเชื้อไม่ได้
อาการของคนไข้เมื่อติดเชื้อซึ่งมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ ปอด หลอดลม โรคไต ทำให้มีอาการหอบ เหนื่อย ไอ อาจไขว้เขวคิดว่าเกิดจากโรคที่มีอยู่เดิม บดบังอาการติดเชื้อเมอร์สในระบบทางเดินหายใจ แม้แต่ผู้ป่วยรายแรกในประเทศไทยก็ไม่มีไข้ และการที่มีโรคหัวใจ ปอด อาจทำให้ภาพเอ็กซ์เรย์ปอดไขว้เขว หรือเมื่อมีติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน เอกซเรย์จะไม่ฟ้องรูปแบบของปอดบวมจากไวรัส
ประสิทธิภาพของการควบคุมโรคอยู่ที่ความสงสัยว่าผู้ป่วยจะติดโรคเมอร์สและควบคุมกักกันได้รวดเร็วเพียงใด แม้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการก็ตาม ตั้งแต่ก่อนที่อาการจะเป็นมาก ซึ่งเมื่อมีอาการมาก ปริมาณไวรัสที่จะถูกปลดปล่อยออกก็จะทวีขึ้นเป็นเงาตามตัว
และอยู่ที่เราจะสามารถครอบตาข่ายคลุมกักกันผู้สัมผัสโรคได้ครบถ้วนหรือไม่ ตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้นจนถึง 14 วันจนแน่ใจว่าไม่ติดเชื้อ
ทั้งนี้โดยที่ระยะฟักตัวหลังจากได้รับเชื้อจนถึงเกิดอาการผิดปกติและปล่อยเชื้อได้จะอยู่ที่ 2-14 วัน
ในกรณีที่มีผู้ติดเชื้อและสามารถโยงใยได้ถึงต้นตอของการแพร่ได้ อย่างเช่นที่เกาหลีซึ่งมีต้นกำเนิดจากในโรงพยาบาล อาจจะไม่รุนแรงเท่ากับการที่มีผู้ติดเชื้อและไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกี่ยวข้องกับต้นตอได้อย่างไรหรือไม่มีต้นตอใดๆทั้งสิ้น ซึ่งบ่งบอกถึงการแพร่กระจายในระดับชุมชนแล้ว และยากที่จะคุมการแพร่ในขั้นตอนต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มียารักษาโรคเมอร์ส แต่การที่ทำให้สุขภาพตนเองแข็งแรงที่สุด ทราบว่ามีโรคประจำตัวอะไร และควบคุมให้เข้าใกล้สภาพปกติที่สุด จะทำให้ความสุ่มเสี่ยงของการติดเชื้อน่าจะลดลง และแม้แต่ถ้าโชคร้ายติดเชื้อไป อาการจะไม่ลุกลามรุนแรงมาก รวมทั้งถ้าอาการไม่รุนแรง ปริมาณไวรัสที่จะปล่อยจากตัวก็ไม่มาก และถ้าโรคไม่รุนแรงจนลามเข้าไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างจนถึงปอดบวม อาการไอมีเสมหะก็จะไม่หนักหน่วงจนเกิดละอองฝอยฟุ้งกระจายไปสู่คนอื่นๆ
โดยที่ต้องไม่ลืมว่า ไวรัสยังคงมีชีวิตและติดต่อได้ในอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสได้นาน 8-24 ชั่วโมง โดยที่ถ้ามีความชื้นน้อยจะอยู่ได้นาน และในอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสอาจอยู่ได้นานถึง 72 ชั่วโมง ซึ่งนำมาซึ่งสมมุติฐานว่าการที่ไวรัส ตั้งตัวและระบาดลุกลามอย่างรวดเร็วในประเทศเกาหลี นอกจากเกิดจากการที่ผู้ป่วยรายแรกเข้าไปปะปนกับผู้ป่วยอื่นๆที่อยู่แออัด และได้รับการวินิจฉัยช้า กักกันช้า อาจเกี่ยวพันกับอุณหภูมิด้วย และทำให้แพร่หลุดจากเครือข่ายที่สืบสาวที่มาว่ามาจากโรงพยาบาล
เหล่านี้คงเป็นปริศนาซึ่งทำให้การเฝ้าระวังกักโรคอาจเต็มไปด้วยความยากลำบาก ถ้าการติดเชื้อมีการยกระดับมากขึ้น กินร้อน ช้อนกลาง อาหารร้อน ไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน ปิดปากจมูก เวลาไอจาม ล้างมือบ่อยๆ ไม่เอามือป้ายจมูก ป้ายตา ไม่ถ่มน้ำลาย เสมหะลงถนน ซึ่งจะเป็นการปล่อยเชื้อกระจายฟุ้งไปอีก และกักตัวอยู่บ้านเมื่อมีอาการผิดปกติ ถ้ามากขี้นไปสถานพยาบาลล่วงหน้า รายงานทางการ ถ้าคิดว่ามีความสัมพันธ์โยงใยเกี่ยวข้องกับโรคไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถือเป็นความรับผิดชอบของตนเองต่อผู้อื่นและสังคม