ยินดีต้อนรับสู่ club.bloggang.com
...magazine online โดยหนุ่มสาวชาว =Neo=
100 แซ่ พันธุ์มังกร




ในรอบพันปีที่ผ่านมา "แซ่" ของคนจีนหายไปกว่า 20,000 แซ่


หนังสือพิมพ์สากล – สำนักงานพันธุกรรม สังกัดบัณฑิตยสภาด้านวิทยาศาสตร์ของจีน ได้ทำการสำรวจสถิติ “แซ่” (นามสกุล) ของคนจีน ด้วยการสำรวจจากประชาชน 296 ล้านคนใน 1,110 เขตทั่วประเทศ พบว่าปัจจุบันมี “แซ่” ของคนจีนที่เหลือใช้กันอยู่เพียง 4,100 แซ่ ในขณะที่ แซ่ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนนั้นมีมากถึง 24,000 แซ่ เท่ากับว่าใน 1,000 ปีที่ผ่านมา มีแซ่หายสาบสูญไปแล้วกว่า 20,000 ตระกูล

นายหยวนอี้ต๋า ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยต้นกำหนดตระกูลชาวจีนได้ระบุว่า “แซ่เล็ก (แซ่ที่มีคนใช้น้อย) ไดสูญหายไป ส่วนแซ่ใหญ่ (แซ่ที่มีคนใช้กันเยอะ) ก็มีคนใช้มากขึ้น เช่นหลังจากที่เผ่าเซียนเปยในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ (ค.ศ.420-589) ได้เข้าสู่ภาคกลางแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนมาใช้แซ่ของชาวฮั่น ทำให้แซ่เล็กหลายแซ่นั้นลดลงไปมาก หรือหมดไปเลยก็มี”

หยวนอี้ต๋ายังได้ระบุว่า “การอนุรักษ์แซ่ที่มีน้อยเอาไว้นั้น ในขณะนี้ทางการไม่สามารถกำหนดนโยบายที่จะให้สิทธิพิเศษ หรือนโยบายที่จะอนุรักษ์ไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยความต้องการของปัจเจกบุคคลมากกว่า”

ถึงแม้ว่าแซ่เก่าจะหายไปมาก แต่ก็มีแซ่ใหม่ๆที่ปรากฏขึ้น เช่นบางคนเอาแซ่ของพ่อกับแม่มารวมกันเกิดขึ้นเป็นแซ่ใหม่ ที่มักจะมี 2 พยางค์ เช่น แซ่หลี่หวัง ก็พบมากในมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) และกวางตุ้ง
นอกจากนั้นก็จะมีประเภทที่พ่อแม่ตั้งแซ่ใหม่ให้กับลูก ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับแซ่ของพ่อแม่เลย เช่นแซ่ อี (ที่แปลว่าหนึ่ง) ซึ่งเป็นแซ่ใหม่ที่พ่อแม่เลือกตั้งให้กับลูก

อนึ่ง แซ่ของคนจีนที่ใช้กันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงเป็นแซ่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่กินระยะเวลามาหลายพันปี โดยแซ่ที่มีการสืบทอดในวงศ์ตระกูมายาวนานเช่นนี้ จะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของพันธุกรรมได้มาก

ปัจจุบันแซ่ที่คนจีนนิยมใช้มีอยู่กว่า 2,000 แซ่ และชื่อที่นิยมใช้ก็มีอยู่ราว 3,000 กว่าชื่อ ดังนั้นในประเทศจีนที่มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน จะมีคนที่ชื่อแซ่ซ้ำกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น แซ่ที่ประชาชนกว่า 90% ใช้นั้น ก็กระจุกตัวอยู่ที่เพียง 100 กว่าแซ่ เท่ากับว่า แซ่ที่มีคนใช้จำนวนมากบางแซ่ ยังมีจำนวนคนมากกว่าประชากรรวมของประเทศขนาดกลาง 1 ประเทศทีเดียว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ชาวจีนจะให้ความสำคัญกับแซ่มาก เพราะแซ่จัดเป็นตัวแทนของวงศ์ตระกูล ชาวจีนจึงมักอยากจะมีลูกชาย เพื่อสืบทอดรักษาวงศ์ตระกูลเอาไว้ และคนจีนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการไม่มีลูกหลานสืบสกุล จะเป็นการอกตัญญูต่อบุพการีและบรรพชน




แซ่ของจีนตั้งแต่โบราณมา ทางไต้หวันสำรวจได้ 6,000 กว่าแซ่ จีนแผ่นดินใหญ่รวบรวมได้ 5,000 กว่าแซ่ ยังใช้อยู่ในปัจจุบันประมาณ 3,000แซ่ ที่แพร่หลายมีราว 500 แซ่ สมัยราชวงศ์ซ่ง มีคำนำแซ่ที่ใช้แพร่หลาย มาเรียบเรียงเป็นร้อยกรอง เรียกว่า ไป่เจียซิ่ง แปลเอาความได้ว่า "ทำเนียบร้อยแซ่" รวมแซ่ไว้ 438 แซ่ ต่อมามีคนเพิ่มเติมเป็น 504 แซ่ จนถึงปัจจุบันแซ่ที่มีคนใช้มากจริง ๆ มี 100 แซ่ คิดเป็น 85 % ของประชากรชาวฮั่น หรือ 960 ล้านคน แซ่ที่มีคนใช้เกิน 1 % ของประชากรชาวฮั่นมี 19 แซ่ มีคนใช้รวมกัน 55.6 % ส่วนในไทย บุญศักดิ์ แสงรวี รวบรวมแซ่เท่าที่พบเห็นในเมืองไทย และเขียนประวัติย่อไว้ ๒๒๕ แซ่ แต่ที่แพร่หลายจริง ๆ คงมีไม่เกิน 100 แซ่ ที่จดทะเบียนเป็นสมาคมแซ่มี 59 แซ่
แซ่ใหญ่สามอันดับแรกของจีน คือ แซ่หลี (หลี่) เฮ้ง (หวาง) เตีย (จาง) สามแซ่นี้มีประชากรแซ่ละ 100 กว่าล้านคน ส่วนแซ่ใหญ่สามอันดับแรกของไต้หวัน คือ แซ่ตั้ง (เฉิน) ลิ้ม (หลิน) อึ๊ง (หวง) ของไทย แซ่ตั้งมากเป็นอันดับหนึ่ง แซ่ลิ้มอันดับสอง อันดับสามก็น่าจะเป็นแซ่อึ๊งเหมือนไต้หวัน
ชาวจีนแต้จิ๋วในจีนมีคำกล่าวว่า "ตั้ง ลิ้ม ฉั่ว ทีเอ๋กือ เตี่ยวเจ็กปั่ว" แปลว่า "แซ่ตั้ง ลิ้ม ฉั่ว (ไช่) มีคนรวมกันเป็นครึ่งหนึ่งในใต้ฟ้า" หมายถึงครึ่งหนึ่งของคนแต้จิ๋วทั้งหมด แต่จีนพวกอื่นเช่นจีนแคะ กวางตุ้ง มีคำสรุปเรื่องแซ่ต่างกันไป


หวัง, หลี่, จาง, หลิว, เฉิน, หยาง, หวง, เจ้า, อู๋, โจว, สีว์, ซุน,
หม่า, จู, หู, กัว, เหอ, เกา, หลิน, หลัว, เจิ้ง, เหลียง, เซี่ย, ซ่ง, ถัง,
สี่ว์, หาน, เฝิง, เติ้ง, เฉา, เผิง, เจิง, เซียว, เถียน, ต่ง, หยวน, พาน, อี๋ว์,
เจียง, ไช่, อี๋ว์, ตู้, เย่, เฉิง, ซู, เว่ย, หลี่ว์, ติง, เหริน, เสิ่น, เหยา,
หลู, เจียง, ชุย, จง, ถัน, ลู่, วัง, ฟัน, จิน, สือ, เลี่ยว, เจี่ย, เซี่ย,
อุ่ย, ฟู่, ฟาง, ไป๋, โจว, เมิ่ง, สง, ฉิน, ชิว, เจียง, อิ่น, เซียว์, ? ,
ต้วน, เหลย, โหว, หลง, สื่อ, เทา, หลี, เฮ่อ, กู้, เหมา, ห่าว, กง, เส้า,
วั่น, เฉียน, เหยียน, ถัง, อู่, ไต้, มู่, ข่ง, เซียง, ทัง.

วานนี้ (24 เม.ย.50) กระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์
เผยลำดับใหม่ล่าสุดของ 100 แซ่ ที่มีคนใช้มากที่สุดในแดนมังกร
โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ แซ่ หวัง หลี่ และจาง
ซึ่งมีผู้ใช้รวมกว่า 270 ล้านคน เกือบเท่ากับจำนวนประชากรของอเมริกา
และอีก 7 ลำดับถัดมา คือ หลิว เฉิน หยาง หวง จ้าว อู๋ และโจว
โดยแต่ละแซ่ล้วนมีคนใช้มากกว่า 20 ล้านคน

ตามการวิเคราะห์จากสถิติสำมะโนประชากรทั้งประเทศ
ของกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ระบุว่า ปัจจุบันนี้ แซ่หวัง
เป็นแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุด จำนวน 92,881,000 คน
คิดเป็น 7.25 % ของประชากรทั้งประเทศ
หรือทุกๆ 13 คนจะมี 1 คนที่แซ่หวัง
หรือเทียบเท่ากับจำนวนประชากรทั้งมณฑลเสฉวน
ซึ่งมากกว่าประชากรของเยอรมันอยู่ 10 ล้านคน
อีกทั้งแซงหน้าแซ่หลี่แชมป์เก่ามาเพียง 800,000 คน

วานนี้ หวังต้าเหลียง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยเกี่ยวกับสกุลแซ่ของสถาบันการปกครองเยาวชนจีน
ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงเอกลักษณ์ของแซ่หวังในปักกิ่งว่า
“ในประวัติศาสตร์ ปักกิ่งเป็นเมืองของคนอพยพ
แซ่ของที่นี้จึงสามารถบ่งถึงลักษณะเด่นของท้องที่ต่างๆ
ทางภาคเหนือ แซ่หวังเองก็จัดเป็นแซ่ที่คนใช้เยอะแซ่หนึ่งในปักกิ่ง”

คนที่ใช้แซ่หวังในปักกิ่งส่วนหนึ่งอพยพมาจากมณฑลเหอเป่ย ตงเป่ย
ซานซี เหอหนาน และอีกส่วนมาจากเชื้อพระวงศ์มองโกล
สมัยราชวงศ์หยวน และชนชั้นสูงสมัยราชวงศ์ชิง
เมื่อเสื่อมอำนาจก็เปลี่ยนมาใช้แซ่ “หวัง”ของชาวฮั่น
ส่วนชาวฮั่นที่ใช้แซ่หวังก็คือ
ลูกหลานของรัชทายาทโจวหลิงหวังในสมัยราชวงศ์จิ้น

หวังต้าเหลียงเห็นว่า
การจัดลำดับครั้งล่าสุดนี้เป็นการจัดที่แม่นยำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
สิ่งนี้มีความหมายอย่างมากต่อการทำความเข้าใจในการกระจายตัวของแซ่
และกระบวนการอพยพของประชากร เขากล่าวว่า
“วิธีการจัดลำดับครั้งก่อนๆ จะสุ่มสำรวจตัวอย่าง 5 แสนคนจากทั้งประเทศ
แล้วจึงสรุปผลออกมา แต่การจัดลำดับครั้งนี้
ได้จัดตามระบบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์
จึงมีความแม่นยำมากกว่า และยังครอบคลุมแซ่ของชนเผ่ากว่า 56 เผ่า










ในสมัยโบราณนั้นแซ่ตระกูลมีที่มาแตกต่างกัน แซ่เป็นอย่างหนึ่ง ตระกูลก็เป็นอย่างหนึ่ง แซ่ ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซิ่ง” ตามรากศัพท์หมายถึง
เผ่าพันธุ์ที่มีสตรีเป็นหัวหน้าหรือผู้ให้กำเนิด ตระกูลในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซื่อ” ตามรากศัพท์หมายถึงฐานะของผู้ชายที่เป็นนักรบ ในความหมายเดิม ๆ
แซ่จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นคนอยู่เผ่าใด ส่วนตระกูลเป็นเครื่องแสดงฐานะของบุคคล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ซื่อหรือตระกูลเป็นสิ่งแยกวรรณะ ส่วนแซ่หรือซิ่งนั้น
เป็นสิ่งแสดงสถานภาพการสมรสของฝ่ายหญิง
แซ่ในยุคโบราณจึงมักมีรูปอักษรที่มีคำว่า “หนี่” หมายถึงผู้หญิง กำกับอยู่ด้วยเสมอ ส่วนซื่อหรือตระกูลนั้นมีใช้กันไม่แพร่หลายมากนัก จำกัดอยู่เฉพาะ
ชนชั้น ผู้ดีมีฐานะทางสังคม อย่างเช่นหวงตี้ที่ถือกันว่าเป็นพระเข้าแผ่นดินองค์แรกของคนจีนทั้งมวล มาจากตระกูลกงซุน หมายความว่าเป็นหลานของกง
ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ของขุนนางระดับชั้นสมเด็จเจ้าพระยา หรือ Duke ของอังกฤษ
สำหรับราษฎรธรรมดานั้นแต่เดิมไม่มีแซ่ตระกูล มีเพียงชื่อตัวที่เรียกว่า หมิง เท่านั้น ต่อเมื่อสังคมบ้านเมืองจีนขยายใหญ่โตมากขึ้นพร้อมกับจำนวน
ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปขุนนางศึกและชนชั้นเจ้าที่ดินทั้งหลาย ซึ่งมีอาณาเขตปกครองที่ดินทั้งหลายซึ่งมีอาณาเขต
ปกครองที่ดินถือครองเพิ่มมากขึ้น จำต้องอาศัยประชาชนทั่วไปเป็นแรงงานสำคัญในการพัฒนาที่ดินตลอดจนการรบทัพจับศึก ดังนั้นจึ้งต้องหาสมัครพรรคพวก
ด้วยการเอาอกเอาใจคนในปกครองให้มีสิทธิมีเสียงมากขึ้น สัญชาตญาณของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับตนเอง คนที่เป็นทาสหรือเป็นคนสามัญ
ก็อยากให้ตนเองมีฐานะทางสังคมขึ้นมาบ้าง พวกเจ้านายทั้งหลายที่มีสติปัญญาความรู้ ย่อมเล็งเห็นความจริงในข้อนี้ จึงยินยอมให้คนในปกครองเกิดความรู้สึก
จงรักภักดี ต่อตนเองด้วยการให้มาร่วมใช้แซ่ตระกูลของตน หรือคิดตั้งแซ่ตระกูลต่าง ๆ ให้ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับแซ่ตระกูลของคนที่เป็นเจ้านาย
ดังนั้น ในยุคจั้งกว๋อหรือยุครณรัฐ อันเป็นสมัยที่วอร์ลอร์ดทั้งหลายต่างแสวงหาอำนาจอิทธพลกันอย่างกว้างขวาง จึงมีการประทานแซ่ตระกูลให้แก่คน
ทั่วไปนับแตันั้นมาการใช้แซ่ตระกูลของจีน ก็เป็นไปอย่างแพร่หลายเพิ่มเติมจากแซ่เดิมแต่โบราณที่มีอยู่ไม่กี่แซ่
ตามตำนานโบราณบันทึกว่า หวงตี้หรือพระเจ้าเหลืองมีโอรสทั้งหมดยี่สิบห้าองค์ เกิดจากมเหสีสิบสององค์ โอรสทั้งหลายต่างใช้แซ่ของมารดาตนเอง
จึงมีแซ่ที่สืบเชื้อสายมาจากหวงตี้สิบสองแซ่ บางตำนานว่าสิบสี่แซ่ ยังมีตำนานบางเล่มกล่าวว่าหวงตี้ได้พระราชทานแซ่แก่ขุนนางที่มีความดีความชอบให้ออกไปกิน
เมืองต่าง ๆ ขุนนางนั้นเลยใช้แซ่พระราชทานเป็นชื่อเมือง คนที่อยู่เมืองนั้นต่อมาก็ใช้ชื่อเมืองเป็นแซ่ของตน
ในพระราชประวัติของพระเจ้าฮั่นเกาจู่ (หลิวปัง) จักรพรรดิปฐาราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเคยเป็นสามัญชนมาก่อน ครั้นพระองค์ปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้แล้ว
ได้โปรดเกล้าฯให้ประชาชนทุกคนมีแซ่ตระกูลประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ขุนนางหรือไพร่ และจากยุคนี้เองที่แซ่ตระกูลได้มารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โดยรวมเรียกว่าแซ่ และให้ถือตามแซ่ของบิดาอย่างเป็นทางการ จากการที่มีการใช้แซ่กันอย่างกว้างขวางไม่เลือกคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรือประชาชนคนสามัญทั่วไป
จึงทำให้เกิดความนิยมขึ้นมาอย่างหนึ่งคือ การสืบเสาะหาความเป็นมาของแซ่ตระกูล
ยุคราชวงศ์ฮั่นจึงได้มีนักศึกษาประวัติศาสตร์สาขามานุษยวิทยาแขนงตระกูลวิทยา Anthroponomy เกิดขึ้นนักศึกษาเหล่านี้มีความสนใจค้นคว้า
ถึงความเป็นมาของแซ่ตระกูลต่าง ทั้งการเริ่มต้นและการดับสูญ นับเป็นแขนงวิชาหนึ่งซึ่งเป็นกระจกสะท้อนถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษยได้ดีพอควร
จากความมุ่งหมายเดิมที่ต้องการเพียงแต่สืบค้นถึงที่มาของบรรพบุรุษในแซ่ตระกูลตนเอง กลายเป็นการสืบสาวโยงใยไปถึงบุคคลที่อยู่ในยุคเดียวกัน
ความเกี่ยวพันกันทั้งในฐานะญาติพี่น้อง มิตรสหาย หรือศัตรู
ในปี ค.ศ.1990 เช่นกัน รัฐบาลจีนได้สำรวจแซ่ตระกูลจีนที่มีมาแต่โบราณถึงปัจจุบัน ปรากฏว่ามีแซ่ตระกูลทั้งหมดมากกว่า 8,000 แซ่แต่มีบางแซ่
ได้เลิกใช้กัน ไปแล้ว ที่ยังมีอยู่ทุกวันนี้มีเพียง 5,007 แซ่ โดยสามารถแยกประเภทของการใช้แซ่ออกได้ตามลักษณะสำคัญดังนี้
1. การใช้แซ่ตามมารดาผู้ให้กำเนิด 2. การใช้แซ่ตามถิ่นเกิด
3. การใช้แซ่ตามเมืองที่ไปอยู่ 4. การใช้แซ่ตามอาชีพ
5. การใช้แซ่ตามฉายา 6. การใช้แซ่ตามตัวเลข
สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ได้แก่
1. จาง 2. หวาง 3. หลี่ 4. จ้าว 5. หลิว 6. เฉิน 7. หยาง 8. หลิน 9. สวี 10.โจว
สิบแซ่นี้รวมกันแล้วมีประมาณ 250 ล้านคน เฉพาะแซ่จางแซ่เดียวก็กว่า 100 ล้านคนเข้าไปแล้วหรือมากเกือบเท่ากับคนอังกฤษและฝรั่งเศสสองประเทศรวมกัน
ยี่สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในสาธาณรัฐประชาชนจีนได้แก่
1. หลี่ 2. หวาง 3. จาง 4. หลิว 5. เฉิน 6. หยาง 7. จ้าว 8. หวง 9. โจว 10.หวู
11. สวี 12.ซุน 13.หู 14.จู 15.วัง 16.หลิน 17.เหอ 18.กวัว 19.ไช่ 20.หม่า
ยี่สิบแซ่นี้รวมกันแล้วประมาณ 56% ของคนจีนทั้งประเทศ หรือมากกว่า 600 ล้านคน อันดับหนึ่งถึงสี่คือ หลี่ หวาง จาง หลิว แต่ละแซ่มีมากกว่า
70 ล้านคน หรืออีกนัยหนึ่ง แต่ละแซ่ดังกล่าวนี้มีมากกว่าคนไทยทั้งประเทศ
ส่วนทางจีนไต้หวัน ซึ่งเป็นชุมนุมชาวจีนที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้มีการสำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้แซ่ตระกูลจีน
เช่นกันปรากฏว่ามีแซ่ที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน 6,363 แซ่ แต่แซ่ที่ใช้กันประจำมีเพียง 1,694 แซ่ แยกออกเป็นประเภทต่าง ดังนี้ แซ่อักษรเดียว
3730 แซ่
แซ่อักษรสองตัว 2,498 แซ่
แซ่อักษรสามตัว 127 แซ่
แซ่อักษรสี่ตัว 6 แซ่
แซ่อักษรห้าตัว 2 แซ่
ยี่สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในได้หวันได้แก่
1. เฉิน 2. หลิน 3. หวง 4. จาง 5. หลี่ 6. หวู 7. หวาง 8. ไช่ 9. หลิว 10.หยาง
11.เคอ 12.เจี่ยน 13.ถาง 14.ตู้ 15.เหอ 16.หาน 17.เจิ้ง 18.ล่าย 19.ชิว 20.หง
ที่ไต้หวันนี้มีคำกล่าวว่าเฉินหลินหมั่นเทียนเซี่ย แปลว่า คนแซ่เฉินแซ่หลินมีเต็มแผ่นดิน คนแซ่เฉินมีประมาณ 12.29 % ของประชากรไต้หวัน
ส่วนคนแซ่หลินมีประมาณ 8.5 % ทางด้านเกาหลีใต้ซึ่งมีประชากร 40 ล้าน มีคนแซ่จิน (กิม) มากถึง 9 ล้านคน รองลงมาเป็นคนแซ่หลี่ 6 ล้านคนและแซ่ปัก 3.5
ล้านคนนอกจากคนจีนนิยมใช้แซ่เป็นเครื่องกำหนดสายพันธุ์ของตระกูลแล้ว ประเทศญี่ปุ่นที่รับเอาวัฒนธรรมจีนไปใช้ ก็ใช้แซ่ตระกูลอย่างชาวจีนด้วย
และน่าสังเกตุว่า แม้คนญี่ปุ่นจะมีจำนวนน้อยกว่างจีนถึงสิบเท่า แต่กลับมีแซ่ตระกูลมากกว่าคนจีนเสียอีก ญี่ปุ่นมีแซ่ตระกูลมากกว่า 120,000 แซ่ ส่วนประเทศ
ไทยนั้น เมื่อต้นปี 2535 รายการเมืองไทยก้าวไกล ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 9 ได้นำเสนอเรื่องราวของสิบอันดับแซ่ตระกูลจีนที่มีผู้ใช้มากที่สุดในเมืองไทย
ปรากฏว่ามีผู้ชมสนใจรายการนี้มากถึงขนาดต้องเพิ่มการออกอากาศเฉพาะเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษถึงสองตอน
สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในไทยได้แก่
1. ตั้ง (เฉิน) 84,829 คน 2.ลิ้ม (หลิน) 74,719 คน
3.ลี้ (หลี่) 49,291 คน 4.อึ้ง (หวง) 44,485 คน
5. โง้ว (หวู) 33,533 คน 6.โค้ว (สวี่) 31656 คน
7.เตียว (จาง) 31,246 คน 8.แต้ (เจิ้ง) 25,922 คน
9.เล้า (หลิว) 25,346 คน 10.เฮ้ง (หวาง) 17,821 คน
ถ้าเราค่อย ๆ นับไล่ย้อนหลังไปจากปัจจุบันที่มีแซ่ใช้ประจำ 5,007 แซ่ ในสมัยราชวงศ์หมิงมีเพียง 1,000 แซ่ สมัยราชวงศ์ซ่งมี 600 แซ่ สมัยราชวงศ์ถังมี
293 แซ่ สมัยราชวงศ์โจวมีเพียง 22 แซ่ กลับไปถึงสมัยหวงตี้มี 12 แซ่ แล้วถึงตัวหวงตี้เองมีเพียงเดียว อย่างนี้ย่อมนับได้ว่าคนจีนทุกคน ไม่ว่าปัจจุบันจะใช้แซ่อะไร
ก็ตาม ล้วนแต่เป็นสายเลือดเดียวกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับตามความคิดนี้ ย่อมก่อให้เกิดความสงบสันติสุข ไม่อยากฆ่าฟันทำลายล้างกันอีกต่อไป ทั้งนี้ไม่จำกัดวงแคบ
เฉพาะ ในหมู่คนจีน หรือคนที่มีสายเลือดจีนเท่านั้น ถ้าเรามีน้ำใจเผื่อแผ่โดยถือว่าทุกคนที่เป็นมนุษย์ล้วนแต่มีแซ่เดียวกัน คือ แซ่ “ตน” โลกนี้ก็น่าจะอยู่กว่านี้อีก
มากนัก
ปัจจุบันชาวโลกมีท่าทีเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น เพราะต่างตระหนักดีว่า การทำตัวเป็นศัตรูกันอย่างงมงานด้วยการถือเขาถือเราเป็นคนละเผ่ากันนั้น
ย่อมเป็นความคิดที่ล้าหลังน่าหัวเราะ โลกนี้แคบลงทุกวันตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มพูนขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้มีมากมายกว่า 5,300 ล้านคน การที่คนจีนมีจำนวนถึง
ประมาณ 1,200 ล้านคนในประเทศ และอีกเกือบ 100ล้านคนในประเทศอื่นทั่วโลกเทียบได้ว่าพลโลกทุกสี่คนจะเป็นคนจีนหนึ่งคนความเป็นมาของคนจีน
จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย จนอาจกลาวได้ว่าการศึกษาความเป็นมาของคนจีนคือการศึกษาความเป็นมาของมวลมนุษย์ คำนี้คิดว่าคงไม่ใช่
คำกล่าวที่เกิดเลยความจริง เพราะชาติจีนเป็นชาติหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตตราบกระทั่งปัจจุบัน มีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างไม่ขาดตอน เป็นชาติเดียวในโลก
ที่มีคนในสายลือดกระจายไปอยู่ทุกทวีป เป็นชาติเดียวในโลกที่มีระบอบการปกครองที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาครบทุกรูปแบบ ครบเครื่องทั้งระบอบราชาธิปไตย
ประชาธิปไตยเผด็จการ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ระบอบกึ่งอาณานิคม เสรีนิยม และอำนาจนิยม .



Create Date : 02 มีนาคม 2552
Last Update : 2 มีนาคม 2552 23:40:40 น. 1 comments
Counter : 11151 Pageviews.

 
เข้ามาดูค่ะ


โดย: ก้าวไปตามใจฝัน วันที่: 28 มีนาคม 2552 เวลา:16:34:41 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

=Neo=
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add =Neo='s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.