ปั่นจักรยาน นั่งเรือหางยาว ชมพื้นที่สีเขียวแห่งเมืองกรุง
ขอคั่นเวลาเล่าเรื่อง "เส้นทางฝันของนักเดินทาง เจาะลึกทะเลสาบไบคาล ไซบีเรีย รัสเซีย" สักหน่อย
เพราะทริปนั้นต้องใช้แรงใจมหาศาลในการเตรียมรูป ข้อมูล และเนื้อหา
บล็อกนี้จะพาเที่ยวเมืองหลวงในมุมมองที่คิดว่านักท่องเที่ยวน้อยคนที่จะได้สัมผัสถึงบรรยากาศเช่นนี้
"ปั่นจักรยาน นั่งเรือหางยาว ชมพื้นที่สีเขียวแห่งเมืองกรุง"
จำความไม่ได้ว่าขี่จักรยานครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้ปั่นจักรยานเล่นสักเท่าไหร่
กลับจากโรงเรียนประจำช่วงปิดเทอม ก็ได้แต่ขี่เล่นที่ลานกว้างๆ หน้าบ้าน ไม่เคยออกถนน ไม่เคยไปตามตรอกซอกซอย
ทริปนี้คิดแต่จะมองหาความแปลกใหม่ในการท่องเที่ยวให้กับตัวเอง จนลืมนึกถึงความสามารถส่วนบุคคลไปเลย
เราใช้บริการของ "Co Van Kessel Bangkok Tours" ซึ่งมิสเตอร์โค (ชาวดัทต์) กับคุณน้อง (ชาวไทย) ร่วมกันจัดตั้งขึ้น
มีทัวร์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทัวร์จักรยาน ทัวร์เรือ ทัวร์เดิน ทัวร์คลอง
และทัวร์แบบ Full Option-จักรยาน เรือ รถไฟ และรถไฟฟ้า
เราเลือกแบบ "Co Combo" คือ ในเวลา 5 ชั่วโมง มีทั้งปั่นจักรยานและนั่งเรือหางยาวชมวิวเมืองกรุง
ค่าบริการ 1,500 บาท แต่สำหรับเราคนไทย ได้ราคาพิเศษ 1,300 บาท พร้อมอาหาร 1 มื้อ ขนมและเครื่องดื่มตลอดโปรแกรม
บ่ายโมงพวกเราเริ่มต้นโปรแกรมที่บริษัท (อยู่ด้านข้างศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้)
โดยเลือกจักรยานให้พอเหมาะพอดีกับตัวเองกันก่อน จะเป็นเสือภูเขา หรือจักรยานธรรมดาก็ได้
ตอนแรกๆ ยังทำเก่งทำกล้า ช่างไม่รู้ตัวเลยว่าหนทางข้างหน้าจะเจออะไรบ้าง
แต่พอเข็นจักรยานลงจากอาคารจอดรถ แล้วต้องเริ่มปั่นจริงๆ เท่านั้นล่ะ
สิ่งแรกที่ต้องเผชิญคือซอยเล็กๆ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า และมอเตอร์ไซค์วิ่งสวนไปมา
เกิดมาในชีวิตไม่เคยขี่จักรยานในสภาวะแบบนี้มาก่อนเลย
และแล้วก็ได้เรื่อง ทรงตัวไม่อยู่ล้มไปกองกับกองเหล็กข้างทางจนได้ คนแถวนั้นต้องช่วยกันมาพยุงให้ลุกขึ้น
ตัวก็หนัก จักรยานก็ทับ กว่าจะลุกขึ้นมาได้ทำเอาเกือบแย่
แต่เมื่อล้มแล้วต้องลุก และต้องเดินหน้าต่อไป อุปสรรคเล็กน้อยแค่นี้ เราไม่ถอยอยู่แล้ว
เส้นทางท่องเที่ยวในแต่ละวัน และแต่ละทริปจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ไกด์จะจัดสรรให้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
จุดแรกที่เราแวะคือ ศาลเจ้าโจซือกง ตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์
ด้วยความที่ลูกทัวร์ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ
เค้าไม่เข้าใจถึงการเข้าเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา บางครั้งก็แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
คนดูแลศาลเจ้าบ่นให้ฟังดังๆ ว่า ต่อไปอาจจะต้องห้ามเข้าข้างในซะแล้ว เพราะเหมือนไม่เคารพ และลบหลู่สถานที่
ปั่นมาอีกนิดเดียวก็ถึงที่ลงเรือหางยาวแล้ว
เรามาลงเรือกันที่ "ท่าเรือกรมเจ้าท่า"
เดือนกรกฎาคม และเดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่คนต่างชาติมาทัวร์จักรยานกันเยอะ
ปกติกลุ่มนึงประมาณ 10 คน แต่วันนั้นในกลุ่มเรามีทั้งหมด 17 คน เนเธอร์แลนด์ 11 คน นอร์เวย์ 4 คน และไทย 2 คน
เห็นว่าเป็นลูกค้าคนไทย 2 คนแรกของเดือนกรกฎาคมเลย
มีไกด์นำหน้า 1 คน และมีผู้ช่วยไกด์ปิดท้าย 1 คน
บรรทุกจักรยานลงเรือหางยาวไปด้วย เดี๋ยวเราจะไปปั่นกันต่อแถวตลิ่งชัน
ออกนอกเมืองมาอีกนิด จะได้พบกับพื้นที่สีเขียวแห่งเมืองกรุงแล้ว
ด้วยความที่ลูกทัวร์เยอะ เลยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเล็กๆ ไปกับเรือหางยาว 2 ลำ
ปล่อยให้พวกเด็กเกรียนไปก่อนลำแรก พวกนี้เป็นวัยรุ่น ไม่ค่อยจะอยู่เฉย เฮฮาตลอด
ส่วนเราไปอีกลำกับครอบครัวชาวนอร์เวย์ ดูเค้าจะปลื้มกับการท่องเที่ยวแนวนี้มาก
ล่องเรือไปตาม คลองบางกอกใหญ่ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คลองบางหลวง ซึ่งแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อก่อนตรงปากคลองบางกอกน้อยไปจนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ยังเป็นแผ่นดินอยู่
สมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ.2077-2089) โปรดเกล้าให้ขุดคลองลัดระหว่างคุ้งแม่น้ำทั้งสอง
เพื่อย่นระยะทางและอำนวยความสะดวกให้กับพ่อค้าและทูตานุฑูตชาวตะวันตกที่เข้ามาติดต่อค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรี
ต่อมาคลองลัดเริ่มกว้างขึ้นกลายเป็นแม่น้ำ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็เล็กลงเป็นคลองบางกอกน้อยและคลองบางกอกใหญ่
สมเด็จพระเจ้าตากสินโปรดเกล้าให้บรรดาคนจีนซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือพระองค์มาตั้งบ้านเรือมาอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่
ชาวบ้านจึงเรียก "คลองบางข้าหลวง" หรือ "คลองบางหลวง" มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อปี พ.ศ. 2510 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร กำหนดให้คลองบางกอกใหญ่เป็นคลองสำคัญซึ่งต้องอนุรักษ์ไว้
คลองบางกอกใหญ่มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร
ปัจจุบันนอกจากเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย
มีให้บริการล่องเรือชมวิถีชาวบ้านริมสองฝั่งคลองด้วย
ระหว่างที่เรือแล่นสวนกัน มีการโบกไม้โบกมือทักทายกันตลอดทาง ถ้าอยู่บนท้องถนน คงจะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้หรอก
นั่งเรือชมวิวกันเพลินๆ พักเดียวก็มาถึงตลิ่งชันแล้ว
จุดเริ่มต้นของการชมแหล่งพื้นที่ทางเกษตรของเมืองกรุง
ต้องเผชิญกับทางเล็กๆ กันอีกแล้ว
แถมบางช่วงก็ต้องเข็นจักรยานขึ้นสะพานสูงๆ อีกต่างหาก
ช่างเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานเยอะซะจริงๆ แต่โชคดีที่วันนั้นไม่ค่อยมีแดด ก็เลยไม่เหนื่อยเท่าไหร่
ทางแบบนี้ ปั่นไม่ดี ไม่ทันระวัง อาจจะมีตกน้ำได้นะเนี้ย
เปลี่ยนมาเป็นเข็นจักรยานแทนแล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ปลอดภัยดี
ชาวต่างชาติเค้าชื่นชมกับธรรมชาติของบ้านเรามากเลย
เราคิดว่า นานๆ ครั้ง เปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์
ชักอยากมีบ้านอยู่ในพื้นที่แบบนี้บ้างแล้วสิ
หลีกหนีความวุ่นวาย ไม่มีเสียงรถรา และไม่มีควันพิษ
ทำงานมาเหนื่อยๆ ก็จะได้พักผ่อนเต็มที่ แต่ก็ไม่ห่างไกลความเจริญมากเกินไป
ไกด์กำลังอธิบายเรื่องพืชผักรอบๆ ตัวอยู่
ที่นี่คงจะดูแปลกหูแปลกตาสำหรับพวกเค้ากันบ้าง ก็คงเหมือนที่เราไปเที่ยวเมืองนอก อะไรๆ ก็ดูตื่นตาตื่นใจไปหมด
เห็นผักงามๆ แบบนี้ แล้วนึกถึงเมนูเพื่อสุขภาพ "น้ำผักปั่น" ของตัวเองจังเลย
ตอนนี้เห็นผักที่ไหน ก็คิดแต่ว่าจะเอาไปปั่นกิน และเปลี่ยนจากการเลือกซื้อขนมกินเล่น มาเป็นเลือกซื้อผักแทน
จากที่กินเมนูนี้ทุกเช้า รู้สึกว่าผิวพรรณดูสดใสขึ้น สุขภาพดีกว่าเดิม น้ำหนักลดลงเยอะด้วย
อาหารระหว่างมื้อ เป็นเมนูง่ายๆ ไข่เจียว ผัดกะเพรา ผักผัก และต้มจืด รสชาติสำหรับคนต่างถิ่น
เด็กสาวชาวนอร์เวย์ไม่รู้จักถั่วฝักยาวที่ใส่ในผัดกะเพรา ทีแรกเค้าเขี่ยไว้ข้างจาน ไม่กล้ากิน
เราก็เลยเปิดให้รูปให้เค้าดู แล้วชักชวนให้ลองกินดู หันกลับไปอีกถั่วฝักยาวที่เขี่ยออก ลงท้องไปเป็นที่เรียบร้อย
ได้เวลาเดินทางกลับแล้ว
คนขับเอาเรือมาเทียบท่าเรียบร้อย พร้อมบอกให้ช่วยถ่ายรูปหล่อๆ ให้หน่อย จัดไป!
ถ่ายรูปกับชื่อบริษัททัวร์ซะหน่อย
ไม่ใช่สปอนเซอร์นะคะ จ่ายค่าทัวร์เองเต็มจำนวน
เพียงแต่บริษัทมีราคาพิเศษสำหรับคนไทย ลดให้ 200 บาท
ที่สัมผัสได้อีกอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวนอกเมืองแบบนี้คือ
ความเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส และส่งเสียงทักทายพวกเราไปตลอดทาง
เด็กๆ บางคนก็คว้าจักรยานมาปั่นเล่นกับพวกเราด้วย และไม่อายที่จะทักทายชาวต่างชาติเลย
ส่งเสียง "Hello" มาเป็นระยะๆ ก่อนจากกันก็ยัง "Bye Bye" อีกต่างหาก
เกือบ 5 โมงเย็น เรานั่งเรือมาขึ้นที่หน้าวัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร
รู้สึกว่าช่วงเวลา 4-5 ชั่วโมงทำไมถึงผ่านไปเร็วจัง ยังไม่เหนื่อยเลย
ทีแรกที่เลือกทัวร์ปั่นจักรยานและนั่งเรือหางยาวท่องเมืองกรุง
ยังคิดว่า หาความยากลำบากใส่ตัวมากเกินไปรึเปล่า
เพราะไม่ได้ขี่จักรยานมานานมากแล้ว และยังต้องปั่นด้วยสองขาตัวเองอีกต่างหาก
แต่พอได้มาร่วมทัวร์แล้ว บอกได้คำเดียวว่า "ชิลด์สุดๆ"
ปั่นจักรยานกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่เหนื่อย และไม่เมื่อยเท่าไหร่ เค้ามีให้พักเป็นระยะๆ
เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าสนใจมากจริงๆ สำหรับคนที่ไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้
ได้เวลากลับแล้ว คราวนี้จะเป็นการปั่นจักรยานรวดเดียวเลย ประมาณ 20-30 นาที
ตอนเย็นเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนพลุกพล่านแล้ว และปั่นไปในแหล่งชุมชนด้วย
ได้ยินเสียงบ่น เสียงรำพึงรำพันแบบไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
ว่าทำไมไม่ไปปั่นกันที่อื่น เกะกะ ขวางทาง ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
เราไม่ใช่คนพื้นที่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การปั่นจักรยานแบบนี้ทำให้เค้าเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน
เพราะเห็นบางคนก็เค้ายิ้มแย้มทักทาย ช่วงที่พลัดหลงกับกลุ่มแรก ก็ยังมีคนคอยชี้บอกให้ว่าต้องไปทางไหนต่อ
หรือจะเป็นธรรมดาของทุกเรื่องราว ที่ต้องมีทั้งคนพอใจ ไม่พอใจ และเฉยๆ
6 โมงเย็น ได้เวลาปิดทริปลงอย่างสมบูรณ์
แม้จะเจ็บตัวตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ลงท้ายด้วยความสนุกสนาน และได้ประสบการณ์แปลกใหม่สมกับที่ตั้งใจไว้
ตอนนี้เริ่มมองหาที่ปั่นจักรยานทริปต่อไปอีกแล้ว
แต่ไม่รู้จะมีเพื่อนร่วมทางรึเปล่านี่สิ
สำหรับผู้ที่สนใจโปรแกรมทัวร์นี้ เข้าไปดูรายละเอียดได้ในเว็บไซด์นะคะ
ย้ำอีกครั้งว่า ไม่ได้ค่าโฆษณา ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะดี จึงบอกต่อค่ะ
Create Date : 05 สิงหาคม 2557 |
Last Update : 5 สิงหาคม 2557 18:00:33 น. |
|
30 comments
|
Counter : 5129 Pageviews. |
|
|
พื้นที่ที่ผ่านสวยงามด้วย
เข้าใจไปเที่ยวนะคุณหนึ่ง