หนูแดงเป็นประเภทว่าไงว่าตามกันเสมอ งานไหนๆก็เป็นผู้ตาม จะนำก็เมื่อหลงเท่านั้น
(...เชื่อเถอะ เป็นแบบนี้ทุกทริปเลย
)
คือเป็นหน่วยกล้าตาย ด้านได้อายก็หลงต่อไปนั่นล่ะ เป็นคนสื่อสารทางกับคนท้องถิ่น อารามว่า...สามารถเอาสีข้างเข้าถูไถถามไถ่เค้าไปได้เรื่อย
ในทริปนี้หนูแดงอายุน้อยที่สุดในกลุ่มอีกแล้ว
(...แต่ตัวเกือบจะโตที่สุดในกลุ่มเลยเหมือนกัน ถ้าไม่นับพี่ๆผู้ชายในกลุ่มแล้วก็พี่ชายอีกคน)
ว่ากันต่อ...
เก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา นั่งพักเหนื่อยและทักทายพี่ๆนิดหน่อย เราก็พร้อมที่จะออกเที่ยวกันตามโปรแกรมที่พี่ๆวางไว้
เราออกเดินทางด้วยขนส่งมวลชนมาเลเซีย รถเมล์คือสิ่งที่พี่ๆเลือก...ซึ่งเราไม่ได้เลือก แต่เราก็เป็นผู้ตามที่ดี(...มากๆ)
...คือ ชีวิตนั่งรถเมล์ไม่ถึง 10 ครั้ง ไปไหนมาไหนพ่อแม่ไปส่ง คุณแฟนไปรับไปส่ง
พวกเราขึ้นรถเมล์ที่ป้ายฝั่งตรงข้ามกับที่พัก พอข้ามถนนมาปุ๊บ ก็เจอร้านขนมปั๊บ
หนูแดงหันไปมองในร้านขนมที่เป็นตึกแถว มีเตาอบแบบที่หนูแดงใช้อบขนมสองตัว ขนมที่ขายเป็นขนมพื้นเมืองของชาวปีนัง ซึ่งก็คือชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนนั่นแหละ
อาม่าขายขนม พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ฟังเรารู้เรื่อง ลูกชายพูดภาษาอังกฤษได้
พี่ในกลุ่มซื้อขนมอันนี้ หน้าตาเหมือนขนมงาบ้านเรา แต่ตัวไส้ต่างกัน
ปกติไม่ทานขนม แต่ก็ต้องยอมเดี๋ยวเสียมารยาท รับมากัดคำนึงถึงได้รู้ว่าไส้ไม่เหมือนบ้านเรา
เป็นไส้ถั่วลิสงกับน้ำตาล หวานๆหอมๆ
แต่หนูแดงก็ไม่ชอบอยู่ดี
ส่งให้คนข้างหลังทานต่อ
อันนี้คุ๊กกี้วอลนัท สงสัยจะเป็นไฮไลท์เพราะราคาแพงที่สุดในร้านเลย แต่ก็ไม่ได้ซื้อชิม รีบไปแล้วก็ไม่ชอบกินขนมด้วย เลยไม่รู้จะซื้อทำไม เปลืองสตางค์
แต่แอบเล็งอันนี้เอาไว้
ชอบสับปะรด ทุกอย่างที่เป็นสับปะรดชอบหมดเลย
ตอนที่ไปมะละกาปีที่แล้วก็ซื้อทาร์ตสับปะรดแบบนี้กลับมากค่ะ แต่ของฝั่งมะละกาจะดูเป็นการค้ามากกว่านี้ รูปร่างหน้าตาต่างกัน แต่ท่าทางอันนี้ที่ปีนังน่าจะอร่อยกว่า
กล่องนี้มาจากมะละกาค่ะ ราคาจำไม่ได้แล้ว
ต่อๆ...
พวกเราขึ้นรถเมล์ปรับอากาศสายที่เขียนว่า CAT เป็นรถเมล์ฟรีเพื่อที่จะไปลงที่ท่าเรือ (JETTY)
แล้วต่อรถสาย 204 เพื่อที่จะไปยังปีนังฮิลล์ ตรงนั้นเป็นต้นสาย จะได้นั่งสบายๆ
แต่รถเมล์คันที่หนูแดงขึ้น ขับไม่ต่างจากพี่ไทยเล้ยยยย
เหวี่ยงจนล้ม ดีที่ไม่หน้าคว่ำหมดงามที่ปีนัง
แล้วอย่าได้ถามถึงพี่ๆคนอื่น
แต่ละคนสะบักสะบอมไม่ต่างกัน
ถึงต้นสายอย่างหวีดหวิวในหัวใจเล็กน้อย เห็นคันที่จะขึ้นต่อไปก็ได้แต่ภาวนาขอกรูอย่าเจออย่างเดิมอีกเลย
(ลูกกรูยังไม่โต...)
แต่ไอ้ที่คิดน่ะ ไม่มีใครรู้หรอกนะนอกจากพี่ชาย เพราะอิฉันยิ้มแฉ่งเก๊กสวยถ่ายรูปได้แบบเนียนสนิทเลย
งานสวยต้องมาก่อนเสมอ
พี่อี๊ด ... พี่สาวที่น่ารักผู้ชักชวนและเป็นผู้ริเริ่มทริปปีนัง
พี่ตี๋ ... พี่ชายที่น่ารักของกลุ่ม ตากล้องคนเก่งของทริปนี้
ก่อนขึ้นรถ มองเห็นสัญลักษณ์นี้ แปลว่า เอาทุเรียนขึ้นมาโลด
(ตลกฝืดได้อีก!!!)
คิดเองว่าคงจะเพราะเป็นเมืองที่มีฝรั่งมาเที่ยวมาก ทุเรียนจึงเป็นผลไม้ต้องห้ามในพื้นที่ปิดแบบนี้ เดี๋ยวกลิ่นจะรบกวน อบอวลเหม็นฉุยทั้งคัน
ก็ดีนะ...หนูแดงก็ไม่ชอบกลิ่นทุเรียนเหมือนกัน
ขึ้นรถมาจ่ายค่ารถไป 2 MYR
(MYR = มาเลเซียริงกิต , ช่วงที่หนูแดงไปปีนัง 1 MYR ประมาณ 8.6 บาทไทยค่ะ)
นั่งรถมาพักใหญ่ๆผ่านตึก ผ่านบ้านเรือนจนถึงทางขึ้นเขา ผ่านวัดเต่าหรือวัดเก็ก ลอก ซี (Kek Lok Si Temple) พี่ๆบอกว่า เราจะแวะที่นี่หลังจากที่เที่ยวปีนังฮิลล์แล้ว
....พี่ว่าจบหนูแดงก็แหงนหน้ามองฟ้าเลย...เมฆฝนตั้งเค้ามารอพวกเราอยู่เหนือปีนังฮิลล์ แบบนี้ไม่ได้เที่ยวแน่ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร
บอกก่อนว่า...
หนูแดงเป็นคนภาคพื้นไม่ไกลจากปีนัง (คนใต้) รู้ว่าลักษณะเมฆแบบไหนฝนน่าจะตกแน่นอน ก็ว่าจะบอกพี่ๆไปว่า " .... ฝนตกแน่ๆ"
แต่ไม่บอกดีกว่าค่อยบอก ไม่อยากให้ตกเหมือนกันเพราะอยากเที่ยวเยอะๆ
ถึงแล้วค่ะ ปีนังฮิลล์ หรือ BUKIT BENDERA
ภาพถ่ายช่วงที่มาถึงหน้าปีนังฮิลล์ไม่มีค่ะ พอเท้าแตะพื้นก็เจอหยดน้ำจากฟากฟ้าไล่หลังมาเลย
(ทีเก็งหวยไม่ยักกะถูกนะคนเรา
...ก็บอกแล้วไง ภาคใต้บ้านเราไปจรดมาเลเซียรวมไปจนถึงอินโดนีเซียมีแค่ 2 ฤดู คือ ร้อน กับ ฝน เล่นตั้งเค้ามาแบบนี้ ตกชัวร์!!!)
เข้ามาถึงพวกเราก็ซื้อตั๋วกันเลย
ราคาตั๋ว 30 MYR (เงินไทยเท่าไหร่ คูณกันเอานะคะ)
ตั๋วแบบ One Way (เที่ยวเดียว) ราคาประมาณครึ่งหนึ่งของตั๋วไปกลับ หนูแดงซื้อแบบไปกลับ ไม่ได้เดินลงเขาค่ะ ค่ำแล้วอันตรายแล้วก็ไม่สามารถด้วยเพราะทางลงชันมาก
ตั๋วแบบคือ Fast Lane (ทางด่วน) ชื่อก็บอกแล้วว่าเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน แต่ก็ต้องเพิ่มราคาค่าแซงคิวคนอื่น วันที่หนูแดงไปคนถือว่าไม่มากบวกกับพวกเรามาถึงค่อนข้างเย็นแล้ว ฝนตกด้วย คนเลยไม่เยอะ ... แต่ถึงเยอะ เราก็คงไม่คิดจะจ่ายแพง ทริปนี้รอได้จ้ะ
เข้าคิวขึ้นรถรางที่จะนำพวกเราขึ้นไปถึงด้านบน รถรางลักษณะเหมือนรถไฟเลย ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะเพราะรีบขึ้นกลัวโดนแย่งที่นั่ง ถึงคนจะไม่มากแต่ถ้าช้าก็คงจะต้องยืน (...ยัยคนนี้ขอนั่งละกัน)
ทางขึ้นปีนังฮิลล์ดูธรรมชาติดีกว่าที่ลังกาวีและเก็นติ้งไฮแลนด์
(ในความรู้สึกส่วนตัวนะ)
ถึงด้านบนแล้ว
อากาศเย็นค่ะ ชื้นจากฝนที่ตกลงมาด้วย พี่ชายมองหน้าเป็นระยะๆเพราะเมื่อปีที่แล้วไปลังกาวี ขึ้นไปถึง
ยอดเขากูนุงมัตจิงจัง(Gunung Mat Cincang)ปุ๊บ ยัยคนนี้ไข้ขึ้นทันทีเลย แสดงให้เห้นถึงความแข็งแรงและทรงพลังของยัยคนนี้มาก
ต้นไม้ใหญ่เยอะเลย เท่าที่ตาจะมองทะลุหมอกได้รู้สึกได้เลยว่าป่าที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์มากพอสมควร แอบนึกถึงเมืองไทยเลยค่ะ ... น่าเสียดาย ป่าบ้านเราก็สวยไม่แพ้กันเลย
...พอแระ ขี้เกียจร่ายยาว วาระแห่งชาติแก้ไขกันไม่ได้สักทีกับคนเห็นแก่ตัว
ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอกฝน
ในโปรแกรมคือจะไปวัดฮินดู ไปLove Lane ไปดูนกฮูก สรุปคือ...ไม่ได้ไปซักที่เลย 555 เพราะฝนตก แต่ไม่มีใครซีเรียส เดินตากฝนกันด้วย ทุกคนถ่ายรูปสนุกสนานน่าดู ส่วนยัยคนนี้ไม่ต้องพูดถึง สนุกสุขสันต์ท่านกลางสายฝน ลืมไปเลยว่าอายุเข้าเลขสามกลางๆแล้ว เล่นฝนจนพี่ๆต้องเรียกต้องไล่ให้เข้าร่มกันตลอด
อิหนูมาปล่อยแก่ค่ะคุณพี่
LOVE LANE
เคยอ่านเจอว่า มีการคล้องกุญแจเหมือนที่โซลด้วยค่ะ แต่คงเพราะฝนตกเลยปิด เสียดาย...อดเลย
พี่ชายบอกว่า...คล้องที่บ้านทุกวันก็ได้ รักกันเหมือนเดิม
(มันใช่หรอพี่ชาย...
)
ร้านกาแฟน่าเข้าไปทัศนามาก
ใจนึงอยากเข้าไปนั่งมาก ฝนๆเย็นๆถ้าได้กาแฟหอมๆอุ่นๆซักแก้วคงจะดี
แต่มาทริปนี้พี่ชายบอกมาตั้งแต่ออกจากบ้านว่า ห้ามเป็นคุณหนู ให้แคร์พี่ๆในทริปมากๆ จะเอาแต่ใจก็ค่อยมากันสองคนหรือกับเพื่อนในกลุ่มรุ่นๆเดียวกัน อย่าทำให้พี่ๆต้องลำบากใจ
...อดเลยชษา
แต่ไม่มายด์นะ พี่ๆน่ารักทุกคนเลย หนูแดงเชื่อฟังดี ... ยกเว้นเรื่องเล่นฝน
ทำไมทริปนี้กรูซนจังฟระ...
เดินตามหาวัดฮินดู ไม่เหนื่อย แต่ฝนเริ่มลงหนัก เริ่มหาตัวช่วยแล้ว
รถกอล์ฟคือสิ่งที่พวกเราพุ่งสายตาไปทันที ราคาเท่าไหร่จำไม่ได้แล้วอ่ะแต่หารกันหลายคนไม่แพงค่ะ ไม่กี่เหรียญ แลกกับทัวร์ไปทั่วเขาพร้อมคนขับที่น่ารักมาก ถามคำแรก
"...พูดอังกฤษได้มั้ย?"
Can u speak English?
" Yes!!!"
เสียงดังมากกรู ... แต่ไหงดังคนเดียว(วะ)คะ
คือ...พี่ๆพูดอังกฤษได้ ฟังออกค่ะ แต่ยัยคนนี้เสนอหน้ากว่าคนอื่นๆ เป็นหน่วยภาษาศาสตร์ จะวิบัติหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พี่ๆยกให้เป็นผู้ฟังไกด์หรือคนขับรถนั่นล่ะ แล้วแปลมา
(ในกรณีที่ไกด์พูดยาวเกิ๊นนน)
สรุปคือ ขณะนั่งรถชมป่า ยัยนี่เสนอหน้าถามไกด์ตลอดดุจเป็นเจ้าหนูจำไม
ทางขึ้นเขาค่ะ ช่วงที่ขึ้นไปฝนเริ่มลงหนักแล้ว
ตู้ไปรษณีย์แห่งแรกบนเกาะปีนังค่ะ
บนเขาจะมีบ้านพักเก่าๆของเศรษฐีชาวอังกฤษที่เข้ามาอาศัยสมัยเมื่อมาเลเซียยังเป็นเมืองอาณานิคมอยู่ ไกด์เรียกว่า 'บังกะโล' หนุแดงไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะฝนเริ่มลงหนัก กล้องตัวใหญ่ตัวหนึ่งถ่ายวีดีโออยู่ส่วนอีกตัวต้องรีบเก็บเพราะฝนสาด เลยไม่มีรูปบ้านทรงโบราณหลังใหญ่ๆสวยๆ
ไกด์บอกว่ามีบ้านของคนไทยด้วย แต่หนูแดงแปลไม่ออก เค้าบอกแต่นามสกุลมันแปลยากเลยไม่สนใจเท่าไหร่
ด้วยฝนที่ลงหนักขึ้นเรื่อยๆ พวกเราเลยได้แค่เพียงนั่งรถชมป่าที่ยังสมบูรณ์อยู่เท่านั้น ผ่านจุดท่องเที่ยวสามสี่แห่งแต่ปิดแล้ว ไกด์บอกว่า ยูมากันใหม่พรุ่งนี้นะ...
(เหอๆ ไม่ได้มาแระล่ะ จะไปที่อื่นต่อ)
ไม่ได้คล้องกุญแจแต่ก็ถ่ายรูปเอาก็ได้วะ
บอกแล้วว่าอิฉันมาเล่นฝน
สะพานเดินไปตรงจุดชมวิวเมืองป๊นัง
วิวเมืองปีนังในช่วงพลบค่ำเมื่อวันที่ฝนตกค่ะ
สวยงามตามท้องเรื่องเนอะ
ภาพนี้ตากล้องวัดแสงอยู่เกือบสิบนาที คือแบบว่านางแบบผิวสีกับที่มืดแถมยังชุดดำอีก ถ้าไม่ยิ้มนี่วัดแสงกันลำบากมากเลย
... กว่าจะได้ภาพนี้ออกมานี่ อิฉันเหงือกแห้งเลยนะ
สวยงามตามท้องเรื่องกันไปประมาณร้อยภาพเศษๆก็ลงเขากันตามระเบียบ ได้ภาพป้ายสถานที่มาแล้วค่ะ
น้อง หรือ พี่... น่าจะน้องล่ะ ไปเที่ยวกับคุณแฟนชาวจีนเหมือนกัน ไม่ได้คุยกับเราแต่คุยกับกลุ่มพี่ๆของเราค่ะ ถ่ายติดมาด้วยโดยไม่คิดอะไร แต่ดันมาเจอรีวิวในพันทิปห้องบลู ภาพถ่ายในรีวิวไม่เห็นหน้า แต่อ่านไปเพียงย่อหน้าเดียวก็รู้ว่าคนนี้แน่ๆเลยทักไป
ดีใจมากมายทั้งคู่
รึเรามีวาสนาต่อกัน 555
อิแม่ลูกสาวสามีขี้หึงก็ว่าเข้าอ่ะนะ
จริงๆอยากลงเรื่องไปกินอะไรมาบ้างต่อ จริงๆหนูแดงไม่ใช่นักกินเท่าไหร่ แต่พี่ๆทำการบ้านมาดี ไม่เน้นกินแต่เน้นว่ามาแล้วควรจะกินอะไรตามคนที่นี่เค้า แต่บล็อคมันยาวแล้ว รูปยัยคนนี้เยอะมากเอาไว้เดี๋ยวค่อยไปต่อบล็อคอื่นดีกว่าค่ะ
จบตอน...ตอนหน้า ไปลั๊ลลาต่อที่วัด ไปดูลูกครึ่งแขกเข้าวัดกันจ้าาาา
ขอบพระคุณภาพสวยๆบางส่วนจากพี่ตี๋ - ศิวรักษ์ พี่ชายใจดีจิกน้องมาเป็นนางแบบตลอดทริปด้วยนะคะ