บทเรียนราคาแพง เมื่อ (เกือบ) สาย
แก้วที่แตกไปแล้ว แม้จะพยายามประสานคืนให้เหมือนเดิม ก็ยังคงเหลือรอยร้าวอยู่
เฉกเช่นเดียวกับร่างกายของคนเรา ที่หากเคยเจ็บป่วยอย่างรุนแรงจนอวัยวะได้รับความเสียหายอย่างหนัก ต่อให้ได้รับการรักษาอย่างดี ก็ไม่สามารถหายสนิทโดยไร้ร่อยรอยได้
บทเรียนชีวิตของ คุณขนิษฐา ปานรักษา หรือ คุณอ้อ พิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
แม้จะประกอบอาชีพพยาบาล ซึ่งเป็นวิชาชีพเกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยตรง แต่ด้วยความประมาท ทำให้ผู้อภิบาลอย่างเธอกลับกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง เมื่อถูกโรค ออฟฟิศซินโดรม รุมเร้าร่างกายจนต้องเข้ารับการผ่าตัด
และแม้จะผ่านพ้นมาได้อย่างปลอดภัย แต่ค่าใช้จ่ายทางสุขภาพที่เสียไป ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปตลอดกาล
First Lesson: โรคร้ายเปลี่ยนชีวิต
โรคออฟฟิศซินโดรมที่คุณอ้อเผชิญนั้น เธออธิบายว่ามิได้เกิดขึ้นจากเชื้อโรคอะไร แต่เกิดจากความประมาท ในการดูแลบุคคลิกภาพระหว่างทำงาน
จนร่างกายต้องแบกรับภาระและความเมื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อสะสมเป็นเวลานานๆ สุดท้ายก็ทำให้กล้ามเนื้อเสื่อมถอยกลายเป็นบ่อเกิดของโรคร้าย ที่บ่อนทำลายสุขภาพและชีวิตประจำวันในที่สุด
" แต่ก่อนอ้อทำหน้าที่เหมือนพยาบาลทั่่วไป คือ ต้องยกอุปกรณ์ทางการแพทย์หนักๆ รวมถึงยกและพลิกตัวคนไข้เป็นประจำ พอมาทำงานฝ่ายบริหาร การพยาบาลก็เปลี่ยนมาอ่านกับเซ็นเอกสาร แถมต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์บ่อยๆ จึงต้องนั่งก้มหน้ากับโต๊ะวันละ หลายชั่วโมง แทบไม่ได้ขยับตัวเลย "
ฝันร้ายเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2553 เมื่อคอและบ่าเริ่มปรากฏอาการเมื่อยชาเป็นระยะ เธอคิดว่าคงเป็นอาการเมื่อยล้าธรรมดา จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการชาและเมื่อยกลับเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา
" ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าร่างกายฝืดๆ คล้ายกับเครื่องยนต์ที่ขาดน้ำมันหล่อลื่น มือมันเริ่มหนักขึ้นเหมือนมีอะไรหนักๆมาถ่วงไว้ พอผ่านไปอีกสักพักเริ่มรู้สึกไม่มีแรง ยกมือไม่ขึ้น และบางครั้งแม้แต่กระดิกนิ้วก็ทำไม่ได้ "
ความหวาดกลัวที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจ ทำให้คุณอ้อรีบไปพบแพทย์ ผลวินิจฉัยออกมาว่า เธอกำลังเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ต้องรักษาด้วยการ ดึ งหลัง เพื่อไม่ให้กระดูกบริเวณคอไปกดทับเส้นประสาท
" หลังจากดึงหลังมาได้ 1 เดือน อาการทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนั้นคิดว่าคงหายดีแล้ว จึงกลับไปทำงานตามปกติ โดยมีคำเตือนจากคุณหมอว่า ให้ดูแลสุขภาพให้ดี หลีกเลี่ยงการยกของหนักและขับรถเป็นระยะทางไกล รวมถึงคอยยืดเหยียดกล้ามเนื้อบ้าง เวลาที่นั่งโต๊ะทำงานนานๆ
ช่วงแรกอ้อ ก็ปฏิบัติตามคำเตือนเป็นอย่างดี อาการปวดเมื่อยทั้งหลายก็ไม่กลับมาอีก เราจึงวางใจว่าคงไม่มีอะไรแล้ว คำเตือนของหมอเลยค่อยๆ เลือนหายไป จากสมอง จากที่เคยปฎิบัติตามคำเตือนทุกวัน กลายเป็นลืม ยิ่งถ้ายุ่งก็ไม่ทำ สุดท้าย ก็แทบไม่ได้ปฎิบัติตามคำเตือนเลย"
เวลาผ่านไป 3 ปี ฝันร้ายที่แท้จริงก็มาเยือนคุณอ้อ ในที่สุด เมื่อเธอเริ่มขยับมือไมได้อีกครั้ง อาการในอดีตที่เคยวางใจว่าหายแล้วย้อนกลับมาทั้งหมด ซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้น จนต้องกลับไปพบแพทย์ซึ่งสั่งให้คุณอ้อ เข้าเครื่องตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI) เลยทีเดียว
"ตอนผลตรวจออกมา ดิฉันตกใจมาก เพราะกระดูกคอกลับไปกดทับเส้นประสาทอีก ทำให้เส้นประสาทตีบจนไม่สามารถส่งคำสั่งไปยังร่างกายได้ เป็นเหตุผลที่อ้อไม่สามารถขยับมือหรือยกแขนได้"
เนื่องจากคราวนี้กระดูกคอขยับไปทับเส้นประสาทมากกว่าเดิม ทำให้ไม่สามารถรักษาด้วยการดึงหลังได้อีกแล้ว หลังจากวินัิจฉัยอยู่นาน แพทย์ก็สรุปวิธีการรักษาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า "ต้องผ่าตัด"
Final Lesson: ชีวิตใหม่ีที่ไม่เหมือนเดิม
ผ่า-ตัด สองคำสั้นๆ ที่สั่นสะเทือนโลกทั้งใบของคุณอ้อ เธอรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ และโลกก็ยิ่งหมองหม่นลง เมื่อได้ยินอีกคำวินิจฉัยที่ตามมา
"ถ้าปล่อยทิ้งไว้ เส้นประสาทจะตีบไปกว่าีนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่แขนแต่ขาก็จะขยับไม่ได้ และสุดท้ายร่างกายก็จะเป็นอัมพาต"
คุณอ้อจึงต้องเข้าัรับการผ่าตัด เพื่อนำกระดูกที่กดทับเส้นประสาทออก แล้วใส่เหล็กลงไปแทน หลังผ่าตัดเสร็จ คุณอ้อต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยต้องใส่เฝือกดามคอชนิดแข็ง (Hard Collar) ตลอด 24 ชม.
" ช่วงที่ออกจากห้องผ่าตัดแรกๆ ขยับตัวไม่ได้เลยเพราะคอมีเฝือกติดอยู่ ต้องนอนหงายอย่างเดียว เวลาพลิกตัวต้องให้น้องพยาบาลมาช่วย กลืนอาหารก็เจ็บไปหมด เพราะแผลผ่าตัดยังไม่หายดี
ช่วงที่ต้องนอนเฉยๆ ดิฉันจึงมีเวลาคิดถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาเท่านั้นแหละ น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย ทั้งรู้สึกเสียใจและเสียดาย อดคิดไม่ได้ว่า หากย้อนเวลากลับไปเราจะไม่ยอมให้ตัวเองป่วยเด็ดขาด ทั้งทีมีคนเตือนแล้ว แถมยังคลุกคลีอยู่ในแวดวงสุขภาพมาตลอด อ่านหนังสือสุขภาพมามากมาย แต่เพราะตัวเองไม่ตระหนัก ไม่ใส่ใจดูแลตัวเองให้ดี"
เล่าถึงตรงนี้คุณอ้อมีสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงความเสียใจที่ยังฝังลึกอยู่ภายใน
เวลา 1 เดือนแห่งความทรมานผ่านพ้นไป ในที่สุดคุณอ้อก็ได้รับอนุญาตให้ถอดเฝือกดามคอออก และเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แม้จะมีสมาชิกใหม่คือ เฝือกดามคอแบบอ่อน (Soft Collar) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเวลาทำงาน และขับรถ เพราะต้องป้องกันลำคอให้เกิดความกระทบกระเทือนน้อยที่สุด
" โชคดีที่อ้อตัดสินใจผ่าตัดเร็ว จึงมีกระดูกที่ต้องเอาออกแค่ชิ้นเดียว เพราะกระดูกคอชิ้นอื่นๆ เริ่มเสื่อมสภาพแล้วเหมือนกัน หากต้องผ่าตัดเอากระดูกคอออกตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป คอก็จะเหมือนหุ่นยนต์ คือไม่สามารถหมุนไปมาได้ เนื่องจากเหล็กซึ่งใช้แทนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนกระดูก
ดังนั้น ดิฉันต้องดูแลกระดูกคอที่เหลือให้ดี หากต้องผ่าตัดอีกครั้งจะไม่ง่ายเหมือนครั้งแรกแล้ว เพราะต้องระมัดระวังไม่ให้กระดูกชิ้นอื่นกระทบกระเทือน แถมการใส่เหล็กต่อลงไปยังเป็นเรื่องยากมาก แค่ตอนนี้ที่ใส่เข้าไปชิ้นเดียวก็เดินลงบันไดลำบากแล้ว เพราะก้มคอมองพื้นไม่ได้"
ตอนนี้คุณอ้อเริ่มปรับเปลี่ยนชีวิตของตนเสียใหม่ ตั้งแต่การออกกำลังกายตามแพทย์สั่ง อย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เริ่มกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
ที่สำคัญคือ ต้องเรียนรู้การปรับสรีระท่าทางของร่างกายให้ถูกต้อง ตั้งแต่การนั่ง การนอน การยกของ และต้องผ่านคลายจิตใจไม่ให้เครียด
" ดิฉันต้องปรับเปลี่ยนชีวิตเยอะมาก ทุกอย่างในชีวิตถูกปรับให้เอียงขึ้นทั้งหมด อาทิ โต๊ะทำงานจะต้องมีอุปกรณ์สำหรับอ่านหนังสือที่เอียงขึ้น จะได้ไม่ต้องก้มคอทำงาน และเมื่อทำงานไปได้สักพัก ต้องลุกขึ้นมายืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อยืดกล้ามเนื้อให้คลายตัวจากการเกร็งติดต่อกันนานๆ
ที่ขาดไม่ได้คือ การออกกำลังกายทุกวันตอนเช้า เพราะเมื่อกระดูกเสื่อมสภาพ ก็ต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพื่อให้กล้ามเนื้อมาแบ่งเบาภาระการทำงานของกระดูก ทำให้กระดูกไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป"
แม้ชีวิตจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว แต่คุณอ้อก็ยังคิดว่าตนเองโชคดีมาก ที่รู้ตัวเมื่อยังไม่สาย ทำให้เธอรอดพ้นจากการเป็นอัมพาต และด้วยหัวใจของความเป็นพยาบาล เธอยังได้ฝากคำเตือนถึงคนทำงานทั้งหลาย ซึ่งอาจจะยังไม่รู้ตัวว่ากำลัง ถูกโรคออฟฟิศซินโดรมกล้ำกรายอยู่
"ดิฉันอยากจะให้บทเรียนสุขภาพราคาแสนแพงบทนี้เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนให้ทุกคนหันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตนเอง หากใครกำลังมีอาการเมื่อยชาบริเวณบ่าและต้นคอ ให้รีบไปออกกำลังกาย ศึกษาการปรับท่าทางเคลื่อนไหวและดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องเสีย เพราะหากปล่อยไว้ให้โรคลุกลามถึงขั้นต้องผ่าตัด ก็คงสายเกินไปแล้วที่จะเรียกเวลาช่วงแข็งแรงดังเดิมกลับมา"
เพราะสุขภาพไม่ใช่สิ่งที่เรียกคืนมาได้ การดูแลเอาใจใส่ก่อนจะสายจึงสำคัญ บทเรียนชีวิตของคุณอ้อ สอนไว้เช่นนั้น
(ภาพและเรื่องจาก นิตยสารชีวจิต)
# น่ากลัวอ่ะ # ออฟฟิศซินโดรม # รักษาสุขภาพกันนะคะ
Create Date : 24 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 24 ตุลาคม 2556 15:07:58 น. |
|
21 comments
|
Counter : 2953 Pageviews. |
|
|
เห็นด้วยค่ะ สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญนะจ๊ะ
พรุ่งนี้มาโหวตให้ค่ะ วันนี้หมดเป๋าจ้า..
ปล.วันนี้กินไข่เผ็ดบ้านน้องเค็งไปก่อนละกันเนาะ