ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 
เมื่อน้องหมาและน้องแมวเป็นโรคหัวใจ

เจ้าของหลายคนคงสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าของเราเริ่มป่วยเป็น โรคหัวใจ จริงๆแล้วโรคหัวใจนั้นมีทั้งแบบที่ไม่แสดงอาการและแบบที่แสดงอาการแล้ว แต่เราจะเริ่มสังเกตเห็นอาการก็ต่อเมื่อโรคหัวใจที่เป็นนั้นส่งผลต่ออวัยวะ อื่นๆแล้วถึงจะแสดงอาการให้เราเห็น


ปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการเป็นโรคหัวใจ

อายุ - แบ่งเป็น โรคหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิด ซึ่งมักพบในสุนัขที่มีอายุน้อยกว่า 1ปี และโรคหัวใจที่เป็นภายหลัง มักพบในสุนัขที่อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป

สายพันธุ์ - มักพบว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น Doberman pinscher , Boxer มักพบว่ามีปัญหาเป็นโรคหัวใจจากการขยายขนาดของห้องหัวใจ ส่วนสุนัขพันธุ์ เล็ก เช่น Poodle, Pomeranian, Miniature schnauzers, Chihuahua, Shitzu เป็นต้น มักพบปัญหาของลิ้นหัวใจรั่วหรือปิดไม่สนิท ในแมว มักพบภาวะที่หัวใจหนาตัวมากขึ้นกว่าปกติ

เพศ - พบว่าไม่ว่าจะเป็นเพศผู้หรือเพศเมียก็มีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้ไม่ต่างกัน

อาการที่พบ -ในสุนัขและแมวจะมีอาการที่แตกต่างกัน

ในสุนัข

1.เหนื่อยง่าย

2.มีอาการไอ

3.หายใจลำบาก

4. เป็นลม หรือหมดสติ

5. ท้องมาน

6. มีภาวะบวมน้ำตามใต้ผิวหนังและอวัยวะส่วนปลาย

7. เยื่อเมือกทั่วร่างกายเป็นสีม่วง

8. การเจริญเติบโตช้าผิดปกติ

9. น้ำหนักตัวลดลง

ในแมว

1.ความอยากอาหารลดลง

2.ไม่ค่อยมีแรง

3.น้ำหนักตัวลดลง

4.หายใจลำบากหรืออ้าปากหายใจ

5.อาเจียน

6.ขาหลังเป็นอัมพาต

เมื่อพามาพบสัตวแพทย์ ก็จะทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยันว่าป่วยเป็นโรคหัวใจหรือไม่

1.การตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ดูจากลักษณะการหายใจ มีภาวะหายใจลำบาก อ้าปากหายใจ สีของเยื่อเมือก เพราะหากมีภาวะขาดออกซิเจนเยื่อเมือกก็จะซีดหรือกลายเป็นสีม่วง

2.การฟังเสียงการเต้นของหัวใจ พบลักษณะการเต้นของหัวใจด้วยเสียงที่ผิดปกติ ซึ่งเรียกว่า " Murmur " บางครั้งพบว่าการเต้นของหัวใจอาจไม่เป็นจังหวะ เช่น เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นเร็ว/ช้ากว่าปกติ หรือ เสียงเบากว่าปกติ เป็นต้น

3.การฟังเสียงของการหายใจ เช่น เสียงปอดที่มีลักษณะเสียงดังกว่าปกติ หรือเสียงเหมือนมีลักษณะน้ำคั่งหรือน้ำท่วมปอด เป็นต้น

4.การตรวจลักษณะการเต้นของชีพจร ดูว่ามีความสัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่สัมพันธ์กัน หรือชีพจรเบา/แรงกว่าปกติ แสดงถึงลักษณะความผิดปกติได้

5.การเอ็กซเรย์ เป็นการช่วยดูว่าภายในช่องอกนั้นมีความผิดปกติที่ส่วนใดบ้าง เช่น หลอดลม ขนาดของหัวใจ และลักษณะเนื้อปอด เป็นต้น

6.การตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG หรือ Electrocardiogram) เป็นการตรวจดูการนำไฟฟ้าภายในหัวใจ ว่ามีลักษณะการเต้นผิดจังหวะหรือไม่ หรือ ดูอัตราการเต้นว่าเร็ว/ช้ากว่าปกติ

7.การอัลตร้าซาวน์หัวใจ (Echocardiography) เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านผนังช่องอก ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นการวินิจฉัยที่มีความสำคัญมาก เพราะสามารถบอกความผิดปกติด้านกายภาพของหัวใจได้อย่างแม่นยำและยังช่วย ประเมินความรุนแรงของความผิดปกติในด้านการทำงานของหัวใจได้อย่างดี เช่น การตรวจดูลักษณะของลิ้นหัวใจ การตีบของหลอดเลือดต่างๆที่หัวใจ การหนาตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การขยายขนาดของห้องหัวใจ และประสิทธิภาพในการบีบและคลายตัวของหัวใจ เป็นต้น

8.การตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจเลือด การตรวจวัความดันเลือด การตรวจพยาธิหนอนหัวใจ เป็นต้น




Create Date : 17 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2557 21:44:01 น. 0 comments
Counter : 1389 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.