Group Blog
มิถุนายน 2558

 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
ปัญหาเรื่องพ่อๆ ผู้หญิงเป็นใหญ่และความรู้สึกหลังดู Game of Thrones season 5 จบ
อดคิดไม่ได้นะคะว่าGame of Thrones นี่ดูจะมีปัญหาเรื่องพ่อๆ (Daddy Issue)กันมากเหลือเกิน

อันที่จริงนับตั้งแต่ตอนอวสานของซีซั่นที่แล้ว(Season 4) เมื่อปีกลายที่ปิดฉากด้วยการให้ทีเรียน แลนนิสเตอร์ (TyrionLannister) ยิงหน้าไม้ปลิดชีวิตของไทวิน แลนนิสเตอร์ (Tywin Lannister)นี่เรียกได้ว่าเป็นตลกร้ายรับขวัญวันพ่อได้ดีทีเดียว (วันพ่อของอเมริกาตรงกับวันที่21 มิถุนายนค่ะ) สำหรับซีซั่นนี่เองก็ไม่แตกต่างกัน นับตั้งแต่ทำร้ายจิตใจแฟนๆ (รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย) ไปกับตอนก่อน เมื่อสแตนนิส บาราธอร์น (StannisBaratheon) บูชายัญลูกในไส้ของตน เจ้าหญิงชีรีน (Princess Shireen) ให้แก่เทพแห่งแสง(The Lord of Light) หรือ ตอนนี่เองที่จัดการให้พ่อกับลูกสาวที่เพิ่งได้กลับมา “เจอกัน” อย่างจริง ๆ จังๆ ครั้งแรก ต้องจบลงด้วยลมหายใจสุดท้ายของเจ้าหญิงเมย์เซลล่า (Myrcella)ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ (Jaime Lannister)

หากลองพิจารณาดูซีรีส์และหนังสือชุด A Song of Ice and Fire หรือ Gameof Thrones นี่ ถึงแม้จะเป็นงานที่มีการอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ (อย่างหลวม ๆ )อยู่มาก แต่ในเรื่องของลัทธิผู้หญิงเป็นใหญ่ (Matriarchy) แล้วจัดได้ว่าอยู่ในระดับแนวหน้าทีเดียว เพราะต่างประกอบไปด้วยผู้หญิงที่ทรงอำนาจกันอยู่มากไม่ว่าจะเป็น เซอร์ซี แลนนิสเตอร์ (Cersei Lannister) แดเนอรีสทาร์แกเรียน (Danerys Targaryen) ท่านหญิงผมแดง เมลิซานเดอร์ (RedWoman/Melisandre) อาร์ย่า สตาร์ค (Arya Stark) มาร์เจอรี และโอเลนน่า ไทเรล (Maegary and Olenna Tyrell ) หรือตัวละครอื่น ๆ ที่ปรากฏเพียงแต่ในหนังสืออย่างเช่น เวล (Val)เจ้าหญิงคนเถื่อนในกองทัพของแมนซ์ เรยดอร์ หรือ แอรีเอเน่ มาร์เทล ArianneMartell ลูกสาวของเจ้าชายดอราน (Prince Doran)ผู้ครองแดนดอร์น

จอช อาร์. อาร์. มาร์ติน (G.R.R.M) ผู้แต่งคล้ายกับว่าจะชื่นชมตัวละครที่มีพลังและเข้มแข็งเสมอ(แน่นอน วลีเด็ดสำหรับหนังสือและซีรีส์ก็คือ Game of Thrones, You win orYou die) ดังนั้นจึงอาจไม่แปลกนัก เมื่อตัวละครที่มีความเป็นผู้หญิงในลักษณะที่อ่อนหวานเรียบร้อยสูงมักจะต้องประสบกับชะตากรรมที่ไม่น่าพิศมัยและทุกคนต่างเอาใจช่วย (หรืออย่างน้อยก็หันมาชอบมากขึ้น)เมื่อตัวละครประเภทดังกล่าว กร้านโลกมากขึ้น (Hardened)ดั่งที่ซานซ่า สตาร์ค (Sansa Stark) หรือ แดเนอรีสเป็นก่อนหน้านั้น

สำหรับซีรีย์ซีซั่นนี้ที่เพิ่งฉายตอนอวสานไปนั้นผู้เขียนพบว่า มีจุดเปลี่ยนแปลงไปจากหนังสือหลายเรื่องทีเดียวที่ ตัวผู้เขียนเองไม่ชอบใจเท่าใดนักแน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดา หากคนเราเริ่มต้นจากการอ่านหนังสือก่อนดูฉบับดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์แล้วโดยมากก็มักจะชอบตัวหนังสือมากกว่าผู้เขียนทราบดีถึงความจำเป็นในการดัดแปลงบางส่วนของหนังสือเพื่อให้สามารถถ่ายทอดออกมาได้กระชับน่าสนใจ ชวนติดตาม (ผู้เขียนไม่มีปัญหากับเนื้อเรื่องของซานซ่าหรือของแดนี่)แต่ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตว่าสำหรับประเด็นนี่ในบางข้อดูคล้ายกับการบิดเบือนตัวละครตัวนั้น ๆไปโดยสิ้นเชิงแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม ผิดเพี้ยนกับ The Hobbit Trilogy ที่ผู้เขียนดูภาพยนตร์ทั้งหมดก่อนที่จะอ่านหนังสือแต่กระนั้นผู้เขียนก็คิดว่า สำหรับไตรภาคของปีเตอร์ แจ็คสันแล้วสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงอันใดต่อตัวละครของ เจ. อาร์.อาร์. โทลคีน (J.R.R.Tolkien)

สำหรับซีซั่นที่แล้ว ๆ มาผู้เขียนไม่ใคร่ประทับใจกับตัวละครของเซอร์ซี แลนนิสเตอร์ ฉบับซีรีส์เท่าไรนักเซอร์ซีดู…น่าชื่นชอบและน่าชื่นชมมากเกินไปในสายตาของผู้เขียน ความรักที่เซอร์ซีมีให้ลูกๆ ของนางนั้นชัดเจนตรงกับหนังสือแต่หากเซอร์ซีในฉบับจอเงินดูห่วงใยเจมี่มากกว่าฉบับหนังสือนักผู้สร้างดูจะโปรโมตความรักระหว่างสองคนนี่มากกว่าที่ปรากฏ สำหรับผู้เขียนแล้วผลนอกจากทำให้เซอร์ซีดูดีกว่าในหนังสือแล้ว ยังทำให้เจมี่และไทวินดูเลวกว่าในหนังสือเล็กน้อยแต่สำหรับเนื้อเรื่องโดยรวมแล้ว ไม่ใช่จุดใหญ่อะไรเพียงแต่รบกวนจิตใจผู้เขียนเล็กน้อยเท่านั้น

จุดเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้ที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมากเลยคืออย่างแรก โครงเรื่องของดอร์น (The Dorne Plot) หากอ่านในหนังสือจะพบว่ากลุ่มอสรพิษทะเลทราย(Sand Snakes) ลูกสาวนอกสมรสของเจ้าชายโอเบริน สมญานาม อสรพิษแดง(Prince Oberyn,The Red Viper) มีจำนวนมากกว่าในซีรีส์มาก(8 คน)และมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่เกิดแต่ อีเลียร่า แซนด์ (Ellaria Sand)ตามหนังสืออสรพิษทะเลทรายโกรธแค้นที่เจ้าชายโอเบรินตายจริงแต่ไม่มีผู้ใดคิดจะทำร้ายเจ้าหญิงเมย์เซลล่า หากแต่เจ้าหญิงแอริเอเน่กับพวกนางวางแผนจะประกาศให้เมย์เซลล่าขึ้นเป็นราชินีปกครองเจ็ดอาณาจักรแทนเจ้าชายทอมเมน( ณ ขณะนั้น) หลังจากกษัตริย์จอฟฟรีย์สิ้นพระชนม์ต่างหากความพยายามของพวกเขาถูกขัดขวางโดยเจ้าชายดอรานและองค์รักษ์ของพระองค์ แต่ในขณะนั้นสหายคนหนึ่งของเจ้าหญิงแอริเอเน่ที่ต้องการให้ตระกูลมาร์เทลประกาศสงครามกับแลนนิสเตอร์ตัดสินใจสังหารเจ้าหญิงเมย์เซลล่าเพื่อให้สงครามปะทุขึ้นจริงๆแต่ก็ถูกขัดขวาง เจ้าหญิงเมย์เซลล่ารอดชีวิตมาได้แม้จะบาดเจ็บเล็กน้อย

หลังจากควบคุมสถานการณ์ได้ เมื่อเจ้าชายดอรานเรียกตัวนางและกลุ่มอสรพิษทะเลทรายที่พระองค์ควบคุมตัวไว้เพื่อดูแลความสงบอีเรียล่า ก็แสดงความต้องการให้พวกอสรพิษทะเลทรายยุติแผนจองเวรกับพวกแลนนิสเตอร์เสียเนื่องด้วยเป็นห่วง ลูก ๆ ที่ยังเล็กนักของนาง

“Oberyn wanted vengeancefor Elia. Now the three of you want vengeance for him. I have four daughters, Iremind you. Your sisters. My Elia is fourteen, almost a woman. Obella istwelve, on the brink of maidenhood. They worship you, as Dorea and Lorezaworship them. If you should die, must El and Obella seek vengeance for you,then Dorea and Loree for them? Is that how it goes, round and round forever? Iask again, where does it end? I saw your father die. Here is his killer. Can Itake a skull to bed with me, to give me comfort in the night? Will it make melaugh, write me songs, care for me when I am old and sick?” - A Dance withDragons, Chapter 38, The Watcher.

“โอเบรินต้องการแก้แค้ยให้อีเลียคราวนี้พวกเจ้าทั้งสามต้องการแก้แค้นให้เขา ข้าขอเตือนว่าข้ามีลูกสาวอยู่ 4คนน้องๆของพวกเจ้า อีเลียของข้าอายุเพียง 14 โตเกือบเป็นสตรีแล้ว โอเบลล่าอายุเพียง 12ยังเป็นเด็กสาวอยู่ พวกนางบูชาพวกเจ้าเฉกเช่นเดียวกับที่โดเรียและโลเรซ่าบูชาพวกนาง หากพวกเจ้าตาย อีเลียกับโอเบล่าควรต้องแก้แค้นให้พวกเจ้าไหมทุกอย่างมันจะสิ้นสุดที่ใด ข้าเห็นพ่อของเจ้าตาย นี่คือคนผู้สังหารเขาข้าจะเอากระดูกมานอนด้วย เพื่อให้ข้าหลับสบายในตอนกลางคืนได้หรือไม่มันจะช่วยแหย่ให้ข้าหัวเราะ เขียนบทเพลงให้ข้า คอยเป็นห่วงเป็นใยยามข้าแก่เฒ่าหรือเจ็บป่วยได้หรือไม่”

จะเห็นได้ว่าอีเลียร่าในฉบับหนังสือและฉบับบนจอแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในหนังสืออีเลียร่าเป็น “แม่” อย่างแท้จริงนางยอมปล่อยวางความแค้นและความเจ็บปวดในอดีตเพื่ออนาคตของตนและลูก ๆ ของนางในขณะที่บนจอ อีเลียร่าเป็นผู้หญิงเจ้าคิดเจ้าแค้นที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อทำลายคนที่พรากชีวิตคนรักของนางยอมแม้แต่ขัดคำสั่งของเจ้าเหนือหัวตนอย่าง เจ้าชายดอรานผู้เขียนชอบตัวละครจากดอร์นมาก โดยเฉพาะ เจ้าชายดอราน อีเลียร่า และเจ้าชายโอเบรินทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ “ทำลาย”ตัวละครของอีเลียร่าโดยสิ้นเชิงและทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกว่าสำหรับ HBOหรือผู้สร้างแล้วแนวคิดที่ว่า พวกเขาคงไม่คิดว่าสตรีธรรมดาที่เป็นแม่คนนั้นก็แข็งแกร่งได้เหมือนกันเท่าใดนักหรืออย่างน้อย ๆก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าสำหรับฉบับซีรีส์ตัวละครที่คงความเป็นตนเองไม่สามารถมีตัวตนอยู่ได้ (ซึ่งๆ หากพูดแบบตลกร้าย นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องจริง)

จุดเปลี่ยนใหญ่หลวงอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนไม่ปลื้มด้วยมากๆคือสแตนนิส บาราธอร์นกับเชียร์รีน หากพูดกันตามตรงในบรรดาพี่น้องบาราธอร์นทั้งสามสแตนนิสเป็นคนที่ผู้เขียนเอาใจช่วยมากที่สุดตั้งแต่แรก อาจจะเป็นเพราะว่าผู้เขียนมีพี่น้อง 3 คนก็เลยเข้าใจความรู้สึกของการเป็นลูกคนกลางกระมังหรืออาจจะเป็นเพราะผู้เขียนรู้สึกเอาเองว่าความรู้สึกยึดมั่นในกฎของ สแตนนิสกับตัวผู้เขียนมีความคล้ายคลึงกันแน่นอนว่าเมื่ออ่านหนังสือไปนาน ๆ ผู้เขียนก็เริ่มหมดความสนใจในตัวสแตนนิส (เช่นเดียวกับที่หมดความสนใจในตัวจอนสโนว์และแดนี่ สารภาพตามจริง หนังสือเล่ม 4-5 ดำเนินเรื่องอืดอาดกว่าฉบับซีรีส์นักและเมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ผู้เขียนก็เริ่มหมดศรัทธาในการเอาใจช่วยตัวละครใดเนื่องจากรู้สึกว่าเอาใจช่วยไปก็เท่านั้น เดี๋ยวทุกคนก็ตายอยู่ดี)อุปนิสัยของสแตนนิสฉบับซีรีส์มิได้ผิดแปลกไปจากหนังสือเท่าไรนักแน่นอนว่าจนกระทั่งถึงซีซั่น

เมื่อตอนที่ 4 ฉาย ผู้เขียนมั่นใจว่าทุกคนในตอนนั้นอยู่ทีมสแตนนิสกันทันที(รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย) ผู้เขียนมองว่านอกจากฉากระหว่างสแตนนิสกับชีรีนจะเป็นฉากที่แสดงความรักแบบแข็งๆตามฉบับสแตนนิสได้อย่างน่ารักแล้วคนเขียนบทยังจับความเป็นสแตนนิสได้อย่างสวยงามอีกด้วย นี่คือชายที่ตัดนิ้วท่อนแรกของดาวอสซีเวิร์ธทิ้งเพราะทำความผิดข้อหาลักลอบนำสเบียงมาให้พระองค์ที่ถูกโอบล้อม ณขณะนั้นตามกฎหมาย ก่อนแต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินเพราะความดีที่ทำลงไป ในตอนแรกสแตนนิสคล้ายกับจะยอมให้เผารูปบูชาและคนที่ไม่ใช่พวกพระองค์เพียงเพื่อให้หวาดกลัวเท่านั้นไม่ได้ยึดถือเชื่อมั่นอะไรตามเมลิซานเดอร์หรือเทพแห่งแสงอย่างจริงจัง อันที่จริงในความคิดของผู้เขียนสแตนนิสมิใช่คนเคร่งครัดศาสนาอย่างมืดเมาด้วยซ้ำความคิดหรือมโนธรรมเรื่องความยุติธรรมของพระองค์รุนแรงเกินว่าจะถูกชักจูงได้เพียงความเชื่อราชินีเซลีสต่างหากที่สามารถเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ในลัทธินี้

“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก...พ่อค้าชาวดอร์นล่องเรือมายังดราก้อนสโตนสินค้าส่วนใหญ่ไม่มีค่าอะไรนอกจาก...ตุ๊กตาไม้ เขาแม้แต่ตัดเย็บชุดสีตระกูลเราให้ตุ๊กตาใส่ แน่นอนว่าได้ยินข่าวคราวเจ้าและคิดว่าพ่อมือใหม่เป็นเป้าหมายง่าย ข้ายังจำได้ดีว่าเจ้ายิ้มกว้างเพียงใดยามที่ข้าวางมันลงในเปล เจ้ารับมันไปแนบแก้ม กว่าเราจะเผาตุ๊กตานั่นทิ้ง มันก็สายไปเสียแล้วทุกคนบอกข้าว่าเจ้าจะไม่รอดหรือแย่ยิ่งกว่านั้น...ว่าโรคเกล็ดเทาจะค่อยลุกลาม ว่าเจ้าจะโตมากพอที่จะรู้จักโลก ก่อนที่มันจะพรากชีวิตเจ้าไป ทุกคนแนะนำให้ข้าส่งเจ้าไปที่ซากวาริเลีย ให้ไปใช้ชีวิตอันแสนสั้นกับพวกคนหิน ก่อนที่โรคนี้จะแพร่ไปทั่วปราสาท

ข้าบอกทุกคนให้ไปลงนรกเสีย ข้าเรียกหาเมยสโตรทุกคนที่ซีกโลกใบนี้ ผู้เยียวยา... ผู้รักษา.... พวกเขาหยุดไม่ให้มันลามและช่วยชีวิตเจ้าไว้เพราะที่ของเจ้าไม่ใช่อยู่ห่างไปครึ่งโลกอาศัยกับพวกคนหินนั่น เจ้าคือเจ้าหญิงชีรีนแห่งตระกูลบาราธอร์นและเจ้าเป็นลูกสาวข้า” (Gameof Thrones season 5 Episode 4 Sons of the Harpy)

ในหนังสือช่างตีเหล็กมือเดียวที่อยู่หน่วยไนท์วอทช์กับจอนสโนว์กล่าวสรุปถึงนิสัย 3 พี่น้องบาราธอร์นไว้ได้ดีมากดังนี้

"Robert was the true steel. Stannis is pure iron, black and hard and strong, yes, butbrittle, the way iron gets. He'll break before he bends. And Renly, that one,he's copper, bright and shiny, pretty to look at but not worth all that much atthe end of the day."

“โรเบิร์ตน่ะเป็นเหล็กกล้าสแตนนิสนี่ก็เหล็กแท้ๆดำทะมึน แข็งกร้าว ใช่ แต่เปราะนะ ไม่ต่างอะไรกับเหล็กแท้ๆหรอกเขายอมหักดีกว่ายอมงอ ส่วนเรนลีย์ เจ้านั่นน่ะเป็นทองแดง สีสันสดใส ชวนมองแต่พอสุดท้ายแล้วก็ไม่มีค่างวดอันใดเท่าไร”

นี่คือ สแตนนิสค่ะเพราะฉะนั้นผู้เขียนเลยไม่มีวันเข้าใจหรือไม่มีวันคิดถึงได้เลยว่าทำไมในตอนที่เก้าสแตนนิสถึงเป็นตัวตั้งตัวตียอมให้บูชาเผาเจ้าหญิงชีรีน ในขณะที่เซลีสทัดทานด้วยซ้ำผู้เขียนเข้าใจถึงความพยายามในการเขียนให้เซลีสดูเป็นแม่ที่ใส่ใจลูกมากขึ้น (ทั้ง ๆที่ความจริง นางในหนังสือก็ไม่แตกต่างจากบนจอด้วยซ้ำ นางอยู่เบื้องหลังแผนยุยงให้เผาทุกคนลหากดูจากการที่นางไม่ค่อยรักลูกตัวเองเท่าไร ก็ไม่แปลกหากนางคิดจะสังเวยชีรีนที่ไม่ค่อย‘สมบูรณ์เท่าใดนัก’) แต่การกระทำเช่นนี้ของคนเขียนบทกลับทำร้ายตัวละครสแตนนิสโดยสิ้นเชิงผู้เขียนปฏิเสธที่จะเชื่อว่าผู้ชายคนที่คัดค้านไม่ฟังคำกล่าวของใครทั้งปวงยามที่ชีรีนเกิดจะยอมส่งลูกสาวตนขึ้นตะแลงแกงเพื่อให้โดนเผาทั้งเป็นเพียงเพราะ “คำทำนาย” หรือ “เทพแห่งแสง”บอกไว้เช่นนั้น มิหนำซ้ำเหตุการณ์ในหนังสือเล่มต่อไป (The Winds of Winter)ที่การปะทะระหว่างบอลตันกับทัพของสแตนนิสยังไม่มาถึงสแตนนิสได้สั่งเสียกับลูกน้องของตนว่าหากตนเสียชีวิตในสนามรบให้ทุกคนต่อสู้เพื่อให้ชีรีนได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เหล็กอีกด้วยดังนั้นพฤติกรรมของสแตนนิสจึงไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย [แม้ว่าผู้สร้างจะออกมากล่าวว่าG.R.R.Martin ผู้เขียนเป็นคนสั่งมาเช่นนี้ก็ตาม]

เหตุการณ์ชวนฉงน (หรือช็อค) ใน Game of Thrones ไม่ว่าจะเป็นฉบับซีรีส์หรือหนังสือนั้นโดยมากก็ไม่ค่อยทำให้ผู้เขียนประหลาดใจเท่าใดนัก(อาจจะเรียกได้ว่าสร้างภูมิคุ้มกันสำเร็จหลังจากเน็ด สตาร์คที่รักยิ่งถูกปั่นหัว) Red Wedding หรือ งานสมรสเลือด สำหรับตัวผู้เขียนแล้ว ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักเพราะมองว่า ร็อบบ์วอนหาเรื่องเองตั้งแต่เลิอกผิดสัญญากับตระกูลเฟรย์หรือการที่ทีเรียนสังหารไทวินเองก็เช่นกัน ก็เหลือเวลาอีก 1 ปีกว่าจะถึงซีซั่นต่อไปที่อย่างน้อยทุกคนก็ไม่ได้ตกอยู่ในเงามืด ไม่รู้สิ่งใดเหมือนจอน สโนว์อีกแล้วเพราะตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า หน้าหนาวได้มาเยือนแล้วจริงๆ ส่วนที่เหลือ นี่คือ Gameof Thrones สิ่งใดก็เกิดขึ้นได้ ก็ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์ต่างๆในซีซั่นหน้าจะสมเหตุสมผลมากขึ้นไม่ใช่เหมือนซีซั่นนี้ที่พอดูๆไป คลับคล้ายคลับคล้ายเหมือนผู้รับผิดชอบกำลังพยายามมากเกินไปในการหักมุมให้คนดูรู้สึกเหวอหรือโยนเหตุการณ์สำคัญๆจากหนังสือมายัดๆลงในตัวซีรีส์




Create Date : 15 มิถุนายน 2558
Last Update : 15 มิถุนายน 2558 22:56:47 น.
Counter : 2965 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

What I want I cannot have
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]