ท่องเที่ยว : ภูกระดึง
ภูกระดึง 02/03/2014 – 04/03/2014


               ทริปนี้ตอนแรกเกือบได้ไปคนเดียวแล้ว เพราะชวนเพื่อนไม่มีใครไปเลย แบบเดือนนี้มีนาคม ‘โคตรร้อน’ แต่เราอยากไปมาก เปิดเว็บหาข้อมูลมันก็ไม่ค่อยมีข้อมูลของภูกระดึงเดือนมีนาคมเพราะคนไปน้อยไม่ค่อยมีคนไป พอจะไปบอกเพื่อนที่เคยไปมีแต่คนบอกว่ามันไม่มีอะไร มันไม่น่าไป มันยิ่งทำให้เราอยากไป คือเพราะคำว่ามันไม่มีอะไรเนียแหละ เราอยากรู้ว่ามันไม่มีอะไรจริงรึเปล่า อยากรู้ว่ามันจะร้อน จะเหนื่อยแค่ไหนเชียว ยิ่งคนบอกว่าไม่น่าไป อย่าไป เรายิ่งอยากไป นี่เลยเป็นจุดเริ่มต้นของเรา 
               จากนั้นเราก็คุยๆกับเพื่อนว่าจะไปภูนะ จนวันสุดท้ายก่อนจะไปก็ไปคุยกับเพื่อนอีกสองคนซึ่งคุยไปคุยมาก็ได้ไปด้วยกัน คนหนึ่งเคยไปแล้วสี่ครั้ง อีกคนครั้งแรกเหมือนเรา การเดินทางทั้งหมดเดินทางด้วยรถโดยสารค่าใช้จ่ายประหยัดสุดๆ ยกเว้นเรื่องกิน เราจะเริ่มการเดินทางเลยแล้วกัน..

สิ่งของที่จำเป็นมากๆ (สำหรับคนที่ไปช่วงมีนาคมแบบเรา)
- ไฟฉาย (ใช้เวลาเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือตอนกลับจากพระอาทิตย์ตก จำเป็นมาก เพราะระหว่างทางไม่มีไฟนะ มืดหมด)
- เงิน (ราคาอาหารข้างบนข้าวตกจานละ 60 บาท น้ำเปล่า 30, 50 บาท ทุกอย่างจะแพงขึ้น)
- เสื้อกันหนาวตัวสองตัวเพราะจะหนาวช่วงเช้ากับดึกๆ ตอนเราไปมีแค่ผ้าผันคอกับเสื้อยืดบางๆก็อยู่ได้ แต่จะหนาวหน่อย
- ครีมกันแดด (ตอนกลางวันแดดค่อนข้างแรง)
- ยาแก้ปวดเมื่อย (คนที่ไปครั้งแรกแนะนำมากๆ เพราะมันจะปวดมาก มากจนไม่อยากเดินเลย)
- รองเท้าแตะ (ใช้เวลาอาบน้ำ)
- รองเท้าผ้าใบที่ใส่แนะนำว่าอย่าคับไปเพราะเท้าจะบวมขึ้น หรือหลวมไปเพราะจะเดินยากมาก เราใส่นันยางสีขาวรองเท้าพละเนียแหละ จะบอกว่าเวิร์คมาก

หมายเหตุ
- ระยะเวลาการเดินทางอาจคลาดเคลื่อนเล็กน้อยขึ้นอยู่กับการจราจรด้วย ควรเผื่อเวลานะ
- ค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นราคาสำหรับ 1 คน 
- เส้นทางบนภูเดินลำบากมากเพราะเป็นทรายเกือบหมด เหมือนเดินบนชายหาด คือทรายมันไม่อัดกันแน่น ทำให้เดินยากสุดๆ เหนื่อยมากจริงๆ

วันแรก 02/03/2014 (เริ่มต้นที่ จ.มหาสารคาม)
               เราตื่น 4.30 น.เตรียมตัวเสร็จก็นัดกับเพื่อนเจอกันที่หอเราแล้วก็นั่งแท็กซี่ไปบขส.มหาสารคาม (120 บาท) 
               ถึง บขส.มหาสารคาม 5.20 น.เราก็ซื้อตั๋วไปขอนแก่น รถสีชมพูวิ่งทางเชียงยืน (50 บาท) แนะนำว่าให้มาก่อน 5.20 น.เพราะเป็นรถรอบแรก ถ้ามาช้าจะต้องรอรอบต่อไปอีกหนึ่งชม. 
               ถึงบขส.ขอนแก่น 6.45 น. เราก็ซื้อไปซื้อตั๋วไปเลยต่อเลย ขึ้นรถรอบ 7.00น. (94 บาท)                ระหว่างรอรถถ้ายังไม่ได้ซื้ออะไรที่คิดว่าจำเป็นแนะนำวิ่งไปเลยนะเซเว่น ไปซื้อไว้เลยเพราะจะไม่เจอเซเว่นแล้ว แล้วของก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ พวกน้ำก็ซื้อติดไปขวดหนึ่งเอาไว้ขึ้นภู พวกขนมมันเบาๆ จะซื้อไปก็ได้ เราก็ซื้อ แต่ขึ้นไปข้างบนก็ซื้ออีกอยู่ดี ฮ่าๆ
               ถึงชุมแพ 8.40 น. รถจะจอดนานอยู่ไปเข้าห้องน้ำได้นะ พอออกจากชุมแพเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเราจะไปภูกระดึงเพราะเขาจะถามตอนขึ้นมาตอนแรก รถจะขับมาจอดจุดที่ให้เราขึ้นสองแถวต่อเข้าไปที่ตีนภูอีกที ถึง 9.30 น. พอถึงที่จอดสองแถวเราก็เหมารถ (200 บาท) ไปที่ภูเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีคน ถ้ารอให้คนเต็มแล้วรถค่อยออกคงไม่ได้ไป 
               เราถึงภูกระดึง 9.40 น. จากนั้นก็เข้าไปจัดการเช่าเต็นท์ (เต็นท์นอน 3 คน 225 บาท/คืน/หลัง) จ่ายค่าเข้าคนละ 40 บาท
               จากนั้นก็ไปจ้างลูกหาบที่อาคาร 4 (ของที่จะแบกขึ้นภูเอาที่จำเป็นจริงๆนะ เพราะพอได้ขึ้นสูงๆจะอยากทิ้งทุกอย่างจริงๆ) น้ำหนักคิดกิโลละ 30 บาท ที่ไม่ประทับใจเลยคือ ตาชั่งโกง คือขีดมันไม่ตรงเลขศูนย์ รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ แบบไม่ใช่ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้วจะมาเอาเปรียบนักท่องเที่ยวแบบนี้ไม่ว่าจะชาติเดียวกันหรือต่างชาติ มันควรจะสุจริต ถ้าอยากจะได้เงินเพิ่มก็คิดราคาต่อกิโลเพิ่มจาก 30 ก็เพิ่มไป ไม่ใช่มาปรับตาชั่งแบบนี้มันไม่ถูกต้อง 
               จากนั้นก็ไปอาคาร 3 ไปลงชื่อ เพราะเขาจะเก็บสถิตินักท่องเที่ยว
               พอเสร็จทุกอย่างก็พร้อมขึ้นภู (10.20 น.) แนะนำเลยว่าให้หาไม้ค้ำ ย้ำ ไม้ค้ำ จำเป็นจริงๆ หาได้ง่ายๆเพราะจะมีนักท่องเที่ยวทิ้งไว้ระหว่างทางขึ้นอยู่แล้ว เอาไม้ที่พอดีกับเราอย่าหนักไปหรือเบาไปนะ เอาที่แข็งแรงๆหน่อย 
               เราถึงซำแฮก 11.00 น. แทบจะคลาน เหนื่อยมาก มากสุดๆ ราคาน้ำเปล่า 1.5 ลิตร 30 บาท ข้าวส่วนใหญ่จานละ 45 บาท เรากินข้าวเที่ยงที่ซำนี้ ร้านอาหารร้านแรกขวามือ ที่ร้านใช้ข้าวหอมมะลิคือข้าวนิ่มมาก อร่อยดีนะ
               จากนั้นเราก็เดินๆๆๆ ใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงถึงเต็นท์ 15.50 น. คือเดินแบบเหนื่อยก็พัก พักนานด้วย 55555  ก่อนจะเข้าเต็นท์เราก็ไปเช่าถุงนอน (30 บาท/คืน), แผ่นรองนอน (20 บาท/คืน), หมอน (10 บาท/คืน) แล้วก็เอาไปไว้ที่เต็นท์ จากนั้นก็รอฟังประกาศให้ไปรับสัมภาระ แล้วก็จ่ายตังค์ พอเอาสัมภาระอะไรเสร็จเราก็ไปเช่าจักรยานเพื่อนขี่ไปผาหมากดูก ดูพระอาทิตย์ตก คันละ 60 บาท จักรยานที่ได้จะเป็นจักรยานเสือภูเขา ทางที่ไปก็ขี่ได้ง่ายบางช่วง บางช่วงต้องเข็นเพราะทรายมันเยอะขี่ไม่ไป เหนื่อยมากตรงเข็นจักรยานเนียแหละ ถ้าดินมันแข็งให้ใช้เกียร์สี่เกียร์ห้าไปเลยจะได้เร็ว แต่ถ้าทรายมันเยอะให้ใช้เกียร์ต่ำๆเกียร์หนึ่งก็ได้ คือระหว่างทางเปลี่ยนเกียร์บ่อยมาก 
               พอถึงผาหมากดูกก็จอดจักรยานรอถ่ายรูป ของเราไปไม่เห็นพระอาทิตย์ตกเลยคือเมฆมันเยอะเลยทำให้บังพระอาทิตย์ไม่เห็นเป็นกลมๆ แอบเซง พอดูพระอาทิตย์ตกเสร็จ ก็กลับไปทานข้าวเย็น
- ราคาน้ำอยู่ที่ ขวดใหญ่ (1.5 ลิตร) 50 บาท, กลาง 40 บาท, เล็ก 30 บาท
- ราคาอาหาร(ราดข้าว) ส่วนใหญ่จานละ 60 บาท
- ช่วงทานข้าวระหว่างรอแนะนำให้ขอทางร้านชาร์ตแบตเพราะจะชาร์ตฟรี ช่วงที่เราไปไฟจะมาตอนหกโมงถึงสามทุ่ม ถ้าจะชาร์ตก็ต้องรอช่วงนั้น แต่จะมีบางร้านที่มีไฟตลอด เช่น ร้านเจ้กิม 
- เรื่องห้องน้ำก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีไฟตลอดทั้งคืน แต่ระหว่างทางจากเต็นท์ไปห้องน้ำไม่มีไฟนะ ควรถือไฟฉายติดไปด้วย
- สัญญาณโทรศัพท์ก็มีคะ ใช้ได้ปกติ มี 3G ใช้เกือบหมดทุกที่ ไม่โดนตัดขาดจากโลกภายนอกแน่นอน :)
- ตอนดึกๆหน่อยจะมีเจ้าหน้าที่ประกาศนัดแนะสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ ที่ผานกแอ่นเพราะเจ้าหน้าที่จะเป็นคนนำทางไป นัดที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตอนตีห้า
               พอทานข้าวเสร็จเราก็กลับเต็นท์อาบน้ำนอนเลย เพราะเหนื่อยมาก 

เก็บภาพมาฝาก


บขส.ขอนแก่น


ที่ขายตั๋วไปจ.เลย


เพื่อนร่วมเดินทาง


ซื้อตั๋วขี้นภูกันเถอะ


ไปจ้างลูกหาบเถอะของเยอะขนาดนี้


ไหว้พระก่อนก็ดีนะ




ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ


มันไม่มีซ้ายหรือขวา มีแค่ตรงไป


ลุย!


ถ้าบอกว่าหนาวคงโกหก 


ร้านนี้อยู่ซำแฮก ถึงปุ๊บกินเลย


45 บาท




ยิ่งสูงใบไม้ยิ่งเยอะ ยิ่งสวย ยิ่งเหนื่อย


ปิดเกือบหมดละ


ในที่สุดก็ถึงจนได้


สูงเชียว


ทองฟ้ารูปหัวใจ :)


ธงชาติไทย


น้องกวางมาต้อนรับ


ผาหมากดูก

วันที่สอง 03/03/2014
               เราก็ตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำแปรงฟัน เตรียมไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เจ้าหน้าที่จะนัดตอนตีห้า แต่กว่าจะเดินทางจริงๆก็เกือบตีห้าครึ่งแล้ว ระหว่างทางก็มืดมากต้องเอาไฟฉายไปด้วย จะบอกว่าชอบที่สุดคือผานกแอ่นนี้แหละลมแรงมาก อากาศดี สวย ประทับใจคะ อาจจะรอนานไปหน่อยกว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์แต่คุ้มจริงๆ
               พอดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจากนั้นเราก็เดินกลับเพื่อไปทานอาหารเช้า ระหว่างทางก็แวะไว้พระที่ลานวัดพระแก้ว
               จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ทานข้าวเรียบร้อย (แนะนำว่าถ้าจะกลับมากินข้าวเย็นให้บอกทางร้านไว้ก่อนให้เปิดรอเพราะกว่าเราจะมาถึงจะดึกมากเขาจะปิดร้านหมดแล้ว) ก็ออกเดินเพื่อไปผาหล่มสักดูพระอาทิตย์ตก เราโชคไม่ดีตรงวันที่เราไปมีช้างป่ามาที่น้ำตกทำให้เจ้าหน้าที่ประกาศห้ามไม่ให้ใช้เส้นทางน้ำตก แต่ร้อนขนาดนี้น้ำก็คงไม่เยอะเท่าไหร่ เราเลยเดินไปทางผา จะมีผ่าน
- พระพุทธเมตตา 
- สระแก้ว 
- ผานาน้อย
- ผาเหยียบเมฆ
- ผาแดง
- ผาหล่มสัก
               ที่หนักสุดคือเดินจากพระพุทธเมตตาไปผานาน้อยคือเหนื่อยมาก ต้นไม้ไม่มีใบมีแต่ลำต้น คือแดดร้อนมาก แล้วระหว่างทางคือจะผ่านสระแก้ว มันไม่มีป้ายบอกนะ เป็นน้ำแอ่งเล็กๆ คือสภาพแย่มาก ฮ่าๆ เรากับเพื่อนนั่งเปิดดูรูปในกูเกิ้ลเลยนะ คือแบบหน้าร้อนเป็นอะไรที่ไม่สมควรมามากๆ ไม่มีอะไรเลย = = 
               ระหว่างทางผ่านผาอะไรก็พักผานั้น เราพักนานนะบางผาพักครึ่งชั่วโมงเลย คือเหนื่อยสุด ไรสุด เราบ่นตลอดทางเลย คือมันเหนื่อยสุดชีวิตจริงๆ ยังไม่ทันหายเมื่อยจากเมื่อวานก็มาเดินต่อเหมือนเดินแบบบุฟเฟ่อ้ะ แดดก็ร้อน ดีที่ยังมีลม 
               พอถึงผาหล่มสักคือวิ่งเข้าร้านแรกเลย ร้านกาแฟมะเหมี่ยว ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร พอเจ้าของร้านมาก็สั่งชามะนาว คืออร่อยมาก พอเห็นที่แก้วชื่อร้านมันคุ้นๆเหมือนเจอในเน็ต ก็อ๋อออออร้านกาแฟร้านแรก เจ้าของร้านชื่อพี่นก ใจดีมาก แบบให้เรายืมเลนส์ลองถ่ายรูปด้วย ที่ร้านมีโปสการ์ดให้เลือกด้วยทุกใบพี่นกถ่ายเองหมด พี่แกถ่ายรูปสวยมาก แล้วถ้ากินน้ำหมดแล้วเอาแก้วมาแลกกับโปสการ์ดได้ใบหนึ่งด้วย เราถึงหล่มสักตอนบ่ายโมงครึ่ง แล้วก็อยู่ร้านพี่แกจนเย็นรอดูพระอาทิตย์ตกเลย คือไม่มีปัญญาเดินไปไหนแล้ว กินชามะนาวไปสองแก้ว (อร่อยจริงๆ คอนเฟิร์ม) แล้วที่ร้านก็มีบราวนี่ด้วยนะ คือเราชอบเพราะช๊อคโกแลตเยอะดี เนื้อแน่นๆ อร่อยคะ พี่นกบอกว่าช่วงเทศกาลจะทำไม่ทันเลย ถ้ามาช้าก็อดกิน ดีนะเรามาช่วงไม่ค่อยมีคน 
               จริงๆ ถ้าเราถึกกว่านี้เราคงเดินไปดูกุหลาบป่าแถวๆน้ำตกสอเหนือ แต่คือไปกลับถ้าเราเดินคงหกชั่วโมง ไม่มีปัญญา แล้วก็จะอดดูพระอาทิตย์ตกอีก เลยนั่งอ้วนอยู่ในร้านนี่แหละ ว่างๆก็เลยนั่งอ่านสมุด คือที่ร้านเค้ามีสมุดให้ลูกค้าเขียนความรู้สึกด้วย เราก็นั่งอ่านเพลินๆ คือซึ้งมาก บางคนแบบอ่านแล้วน้ำตาคลอเลย บางคนก็บ่นว่าเหนื่อยบ้าง จะไม่มาอีกบ้าง คือเราเข้าใจอารมณ์จริงๆ แต่นอกจากเหนื่อยเราว่ามันได้มากกว่านั้น ยิ่งถ้ามากับเพื่อนคือมันได้มิตรภาพจริงๆ เราจะบ่นมากแค่ไหน เพื่อนก็ฟัง เดินไม่ไหวเพื่อนก็บอกหยุดไหม พักเถอะ พร้อมเมื่อไหร่ก็เดินไปด้วยกัน ไม่ทิ้งกัน มันเป็นอะไรที่หายากนะ แล้วกับเราเพื่อนที่ไปด้วยไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่สุดท้ายถ้าใช้คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ทิ้งกันจริงๆ เราขอบคุณมากๆที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับเราในครั้งนี้ ทั้งมนและชมพู่เลยนะ
               อ๋อ แล้วเราก็เจอกลุ่มพี่ๆที่มาถ่ายรูปทางช้างเผือกกันด้วย พวกพี่แกตั้งชื่อกลุ่มว่า กลุ่มคนล่าช้าง ตอนแรกนึกว่าช้างป่า ฮ่าๆ พี่ๆไม่ได้เป็นช่างภาพ แต่ชอบการถ่ายรูป แล้วก็ถ่ายสวยด้วย เราดูรูปทางช้างเผือกที่พี่ๆเขาถ่ายคือแบบสวยมากจริงๆ 
               พอพระอาทิตย์ใกล้ตกเราก็ไปรอถ่ายรูป รอดูที่ผา ขอบอกว่าสวยจริงๆ แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหม เราคงตอบว่ามันแล้วแต่ความคิดว่าในแง่ไหน อย่างเราถ้าให้เทียบกับเหนื่อยมาทั้งวันรวมเมื่อวานด้วยกับภาพตรงหน้าเราว่ามันไม่ค่อยคุ้ม แต่ถ้าเทียบกับสิ่งต่างๆระหว่างทางทั้งเพื่อนร่วมเดินทาง ทั้งมิตรภาพ ทั้งความอดทน ทั้งการเอาชนะ เราว่าคุ้มมาก
               หลังจากพระอาทิตย์ตก เราก็เจอกับเพื่อนร่วมเดินทางอีกสองคน คือเขามาถ่ายรูปกับป้ายผาแค่นั้น เขาเรียนที่ม.เชียงใหม่ถ้าจำไม่ผิดอยู่คณะศึกษาศาสตร์นะ เป็นแฟนกัน เพิ่งขึ้นภูมาวันนี้แล้วตรงมาที่นี่เลยแล้วจะกลับพรุ่งนี้เช้า คือเก่งมากสุดๆ ที่ตกใจคือผู้หญิงใจสู้มาก เราคิดว่าหลายๆคนคงทำไม่ได้จริงๆเราคนหนึ่งละ แล้วแฟนที่เป็นผู้ชายก็ดูแลดีมาก คือผู้หญิงปวดขาไรงี้ก็เทคแคร์สุดๆ ขอให้รักกันนานๆนะคะ
               ตอนกลับก็มืดแล้วประมาณทุ่มนึงได้ กลับกันก็สิบคนได้เดินมืดๆถือไฟฉายส่องกลับ ดีที่พี่กลุ่มคนล่าช้างเขามากันหลายครั้งแล้วเลยช่วยนำทาง ขากลับก็เดินอย่างเดียวมีพักตามผา ดูดาว ดาวสวยมากหาไม่ได้ที่กรุงเทพฯแน่นอน 
               ถึงที่พักก็สี่ทุ่มแล้วเราก็แวะไปร้านอาหารที่เมื่อเช้าไปกิน มีเปิดอยู่ร้านเดียว เพราะเราบอกเขาไว้ (จริงๆกินจากที่ผามาก็ได้นะ) พอกินข้าวเสร็จก็อาบน้ำนอนเลยไม่ไหว เหนื่อยมาทั้งวัน พรุ่งนี้ก็ต้องลงแล้วต้องเก็บแรงไว้

เก็บภาพมาฝาก


แหกขี้ตาตื่นมารอดูนาง พระอาทิตย์ :)


มากับแฟนคงฟินไปอีกแบบ (แอบถ่ายมาฮ่าาาา)


ลานวัดพระแก้ว สวย


พระพุทธเมตตา


สระแก้ว น้ำเยอะเชียว TT


ระหว่างทางที่แสนยาวไกล


เหมือนอยู่ชายทะเล


เหมือนสวรรค์ ถึงแล้ว!
(ร้านชมพู่มะเหมี่ยว)


ยื้มเลนส์พี่นกถ่าย คิคิ


อร่อยจริง


สวยๆทั้งนั้น


พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว


แสงสุดท้าย รึเปล่านะ


ท้องฟ้า


ขอบคุณภาพจากพี่นกคะ 

วันที่สาม 04/03/2014
               เราตื่นมาอาบน้ำทานข้าวแล้วก็ลงภูเลย อ๋อ อย่าลืมเอาเครื่องนอนไปคืนเขาด้วยนะ แล้วก็เอากระเป๋าไปให้ลูกหาบแบกลงเลย ตอนขาลงเราไม่ได้ใช้ไม้ค้ำเรารู้สึกว่ามันเกะกะ ใช้แล้วหน้าจะทิ่มหลายรอบเลยทิ้งดีกว่า ตอนลงก็มีเพื่อนที่มาด้วยกันสองคนแล้วก็พี่ที่เจอเมื่อวานอีกคนลงมาด้วย ไม่มีปัญหาอะไรระวังอย่างเดียวคือลื่นเพราะใบไม้เยอะมาก ลื่นได้ง่ายๆ พยายามหาต้นไม้หรืออะไรจับช่วยพยุงเวลาลง (แนะนำให้ใช้มือเราเนียแหละจับต้นไม้ไปเลยแข็งแรงกว่าไม้ค้ำเยอะ ลงไปค่อยไปล้างมือก็ได้) พอลงไปถึงก็อย่าลืมไปเอาสัมภาระละ 


ภาพสุดท้ายก่อนลงจากภูกระดึง บ๊ายบาย

-ปิดทริป-







Create Date : 15 เมษายน 2557
Last Update : 15 เมษายน 2557 17:42:01 น.
Counter : 1742 Pageviews.

1 comments
  
thx u crab
โดย: Kavanich96 วันที่: 16 เมษายน 2557 เวลา:4:58:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

bfeung
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เมษายน 2557

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30