เมื่อบีบี้อยากกินอาหารเวียดนามที่ ... Winner House

สถานที่เกิดเหตุ: Winner House
ที่ตั้ง: สิริอุสพลาซ่า
หมายเลขติดต่อ: 02-539-4209
ข้อมูลเพิ่มเติม: -
วันที่เกิดเหตุ: วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 18:00 น.
ส่วนลดค่าเสียหาย: คนที่ 4 จ่ายเพียง 50 บาท




ขอแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนว่า Blog นี้ไม่ได้เป็นการ review ร้านอาหาร แต่เป็นเพียงการจดบันทึกข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ (Memory Diary Blog) ของบีบี้ที่มีต่อร้านอาหารที่เคยไปกินมา ข้อมูลดังกล่าวทั้งหมดจึงเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของบีบี้ที่เกิดขึ้นในวันที่เกิดเหตุเท่านั้น




อารัมภบท
อันที่จริงแล้ว บีบี้อยากกินอาหารเวียดนามมานานแล้ว (ครั้งล่าสุดก็ประมาณต้นเดือนสิงหาคม) แต่ไม่ค่อยมีแนวร่วมในการกินเลย จนกระทั่งสัปดาห์นี้ คุณน้องชายกลับมาจากปราจีนบุรีเพื่อตรวจตาที่โรงพยาบาล เลยชวน (กึ่งบังคับ) ให้ไปกินอาหารเวียดนามกันกับคุณพี่สาวและคุณหม่ามี้ โดยครั้งนี้บีบี้เลือกไปที่ Winner House สาขาสิริอุสพลาซ่า เพราะใกล้ที่พักของบีบี้และใกล้ที่ทำงานของคุณพี่สาวด้วย




นั่งรถร่วมครึ่งชั่วโมงกว่ากว่าจะมาถึงที่ร้านเพราะฝนตกโปรยปรายตลอดทาง (แวะรับคุณพี่สาวระหว่างทางด้วย - ทางเดียวกันไปด้วยกัน) เป็นอันได้ร้องเพลงชาติในร้านเป็นบทสวดก่อนเริ่มมื้ออาหาร





ทันทีที่ได้ที่นั่ง ทุกคนก็สั่งน้ำดื่มซึ่งก็เหมือนครั้งที่ผ่านมาคือ น้ำตะไคร้แบบ Re-fill (บีบี้ลืมถ่ายรูปมาจ้า) จากนั้นบริกรก็ส่งรายการอาหารมาให้พร้อมกับจัดน้ำจิ้มและผักเครื่องเคียง บีบี้เลยทำการปรุงน้ำจิ้มก่อนมองหาอาหารใส่ท้อง (น้ำจิ้มของบีบี้ดูเหมือนของเด็กเพราะบีบี้ไม่กินเผ็ด)





จากนั้นก็อ่านรายการอาหารเพื่อเริ่มการสั่งอาหารมื้อนี้ (จริงๆ แล้ว พวกเราได้คิดรายการอาหารชุดแรกกันแล้ว นั่นคืออาหารที่จำกัดจำนวนชุดก่อน ซึ่งวันนี้พวกเราจะได้กันทั้งหมดอย่างละ 2 ชุด) สำหรับหน้าสุดท้ายซึ่งเป็นเครื่องดื่มและของหวานไม่ได้รวมอยู่ในบุฟเฟต์ (ทุกคนเลยมองผ่านไป)




และแล้วจานแรกก็มา นั่นคือต้นหอมม้วนทรงเครื่อง




จานถัดมาเป็นกุ้งมะนาวซึ่งรสชาติไม่เผ็ดมาก (ถูกใจบีบี้)




แต่ที่จริงแล้ว บีบี้ชอบปลามะนาวมากกว่าเพราะเนื้อปลานุ่มและไม่คาว (อันที่จริงแล้วบีบี้ชอบกินปลามากกว่ากุ้ง)




ต่อมาก็เป็นกุ้งพันอ้อย (บีบี้กินแต่กุ้ง ไม่ได้ลองเคี้ยวอ้อยหรอกนะ)




และปูตะไคร้ที่ตอนแรกที่บีบี้เห็นแล้วนึกว่าเป็นกุ่งพันอ้อย




ปลาทอดตะไคร้




และปลาผัดตะไคร้ซึ่งอร่อยทั้งสองจานเลย (เป็นเพราะบีบี้ชอบกินปลา) ส่วนปลาหมึกยัดไส้ทรงเครื่องหมด ทุกคนเลยอดกิน พอหมดอาหารชุดนี้ ทั้งแครอทและผักเครื่องเคียงก็ถูกเติมไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งโดยไม่รู้ตัวเลย (แบบว่าคงกินผักจนตัวเขียวกันไปเลย)




และเริ่มอาหารแบบไม่อั้นด้วยข้าวเกรียบปากหม้อซึ่งจริงๆ แล้วบีบี้สั่งข้าวเกรียบแป้งบริสุทธิ์ต่างหาก




หมูยอหนังไม่ยำที่ต้องสั่งทุกครั้งที่มา (บีบี้ชอบหมูยอหนังเพราะหมูยอจะนุ่มๆ เพราะหนังหมูแถมยังมี collagen อีกด้วย)




และหมูย่างใบชะพลูที่หอมใบชะพลูย่าง (เห็นเป็นสีดำแต่ไม่ได้ไหม้นะ) หุ้มห่อหมูที่นุ่มอยู่ภายใน




ในที่สุดข้าวเกรียบแป้งบริสุทธิ์ก็มาวางบนโต๊ะ ซึ่งเนื้อแป้งเหนียวหนึบกว่าข้าวเกรียบปากหม้อ และด้วยเหตุผลนี้ทำให้จานนี้มันกว่าข้าวเกรียบปากหม้อด้วย (สังเกตน้ำมันที่นองอยู่รอบข้าวเกรียบ)




เมื่อพูดถึงอาหารเวียดนาม ก็ต้องนึกถึงอาหารจานนี้ นั่นคือแหนมเนือง (เราสามารถสั่งแต่หมูที่เรียกว่าแหนมไม้อย่างเดียวก็ได้)




ส่วนจานนี้ ปาท่องโก๋ยัดไส้ที่ไม่มันเยิ้มเนื้อแน่นกว่าปาท่องโก๋บ้านเรา ส่วนไส้ก็เป็นหมูสับผัดใส่ผงกะหรี่ด้วย (บีบี้เอามากินคู่กับหอยลายอบเนยด้วย)




และจานนี้ หอยลายอบเนย ที่พวกเราสั่งมาหลายจานด้วยความหอมของเนยและใบโหระพาสับ (ขนาดบีบี้ไม่ค่อยชอบหอย ยังกินไปหลายชิ้น) แต่รู้สึกว่าหอยจะตัวเล็กไปหน่อย (พวกเราไม่ได้สั่งขนมปังมาด้วยเพราะจะลองกินกับขนมปังแบบอื่นๆ บ้าง)




ไก่อบสมุนไพรที่หอมผัดสมุนไพรที่หมักและมาในจายที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้กินได้พอดีคน




สำหรับขนมปังหน้ากุ่งจานนี้ พวกเราสั่งมาเพื่อจะกินพร้อมกับหอยลายอบเนย ขนมปังเป็นแบบขนมปังฝรังเศสคือกรอบนอกและนุ่มใน และได้กุ้งทั้งตัว (แต่ไม่ได้กินพร้อมกับขนมปัง)




จานต่อมาก็เป็นไข่กระทะที่เสิร์ฟอยู่ในกระทะ บีบี้เลยปรุงรสและจัดการทั้งที่อยู่ในกระทะซะเลย




และไส้กรอกเวียดนามที่เหมือนไส้อั่วมากกว่า




สำหรับจานนี้ กุ้งกระเบื้องจะต้องกินตั้งแต่ยังร้อนเพราะแป้งจะยังกรอบอร่อยอยู่และไม่มันมากเกินไป (แต่มองไม่เห็นไส้กุ้ง) บีบี้สั่งไป 2 จานเพราะจะมาลองกินกับหอยลายอบเนยด้วยซึ่งก็อร่อยแบบกรุบกรอบไปอีกแบบ




บันดาทรงเครื่องที่เหมือนข้าวเกรียบงา แต่มีเส้นก๋วยเตี๋ยววางบนข้าวเกรียบอีกชั้นหนึ่ง จานนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะข้าวเกรียบงานที่โนความชื้นของเส้นก๋วยเตี๋ยวทำให้ข้าวเกรียบนิ่มและเหนียว




จานถัดไปเป็นหมูตะไคร้ที่เนื้อหมูนุ่มเหมือนหมูย่างใบชะพลู




และไม่คิดว่าขนมปังกระเทียมคือขนมปังแบบเดียวกับที่กินกับหอยลายอบเนย แถมมาซะชิ้นใหญ่ด้วย ขนมปังถูกบั้งเป็นริ้วๆ และปาดซอสกระเทียมอยู่ข้างใน (ซอสมีสีเขียว บีบี้เลยสันนิษบานว่าน่าจะผสมในโหระพาลงในในซอสด้วย) แล้วอบให้ร้อน กินคู่กับหอยงายอบเนย




จานนี้ ปอเปี๊ยะกุ้งสดถูกสั่งมาเพราะคุณน้องชายอยากกินปอเปี๊ยะ ซึ่งกุ้งตัวอ้วนแต่สั้น ทำให้ชิ้นท้ายๆ มีแต่ผัก ไม่มีกุ้ง




และจานนี้ ขนมถ้วยก็เป็น order ของคุณพี่สาวที่อยากกินของแปลกๆ ซึ่งคล้ายขนมจุ๋ยก้วยแต่สิ่งที่วางบนแป้งรูปถ้วยเป็นหมูหยอง (ไม่ใช่หัวไชโป๊สับผัดเค็ม) และกินพร้อมกับหมูย่างที่วางอยู่ข้างๆ กัน




อาหารเวียดนามที่เป็นที่รู้จักและต้องลองชิมคือเฝอ คุณน้องชายเลยสั่งเฝอรวมมิตรซึ่งใส่กุ้ง หมูยอหนัง และเนื้อหมู (นุ่มอีกแล้ว) แต่แปลกตรงที่เส้นเฝอกลับเหมือนเส้นเล็กบ้านเรา (พอแอบไปค้นข้อมูลเลยรู้ว่าเฝอมีทั้งที่เป็นเส้นกลมคล้ายเส้นขนมจีนและเส้นสี่เหลี่ยมที่คล้ายเส้นเล็ก)




ส่วนบีบี้กับคุณพี่สาวไม่กินเส้น เลยสั่งเกาเหลารวมมิตรที่เหมือนกับเฝอรวมมิตรแต่ไม่มีเส้นเฝอ (จริงๆ แล้วบีบี้อยากกินข้าวผัดกุ้ง แต่ข้าวหมดเสียก่อน)




ถึงตอนนี้ทุกคนก็เกือบจะอิ่มกันแล้ว แต่บีบี้อยากกินของเปรี้ยวๆ คุณน้องชายเลยแนะนำ (จริงๆ แล้วตัวเองอยากกินเองมากกว่า) หมูมะนาว ซึ่งก็ไม่ได้เปรี้ยวมากแต่ก็ไม่เผ็ด แต่ที่สำคัญคือหมูนุ่มมาก (อีกแล้ว)




บีบี้ก็เลยสั่งส้มตำผลไม้ปิดท้าย (ตอนแรกอยากจะสั่งส้มตำไทยแต่กลัวไม่มีแนวร่วม) ปรากฏว่าก็ไม่ได้เปรี้ยวอย่างที่คิด (แต่ว่าคนอื่นบอกว่าเปรี้ยวแล้ว) แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือส้มตำเผ็ดมาก ประมาณว่ากินไปได้เกือบหมดจาน รสเผ็ดก็เริ่มแผลงฤทธิ์ (อาจเป็นเพราะความหวานของผลไม้ทำให้บีบี้ไม่รู้สึกเผ็ดในช่วงแรกๆ) ทำเอาบีบี้แสบลิ้นและน้ำตาไหลไม่หยุดเลย จึงเป็นอันสิ้นสุดในมื้อนี้




ด้วยความเผ็ดมากของส้มตำ ทำให้บีบี้ไม่อยากจะกินต่อ ประจวบเหมาะที่ทุกคนก็อิ่มกันหมดแล้ว ก็เลยเรียกบริกรคิดเงินซึ่งค่าเสียหายทั้งหมดในมื้อนี้เท่ากับ 759 บาท เฉลี่ยแล้วคนละ 189.75 บาทเท่านั้น (รู้สึกคุ้มจังเลย)




อาหารที่พลาด
1. ปลาหมึกยัดไส้ทรงเครื่องและ ข้าวผัดกุ้ง ที่หมดแล้ว
2. ขนมเบื้องญวน ส้มตำไทย หมูจ้อและไก่จ้อ ที่ทุกคนไม่อยากกินเพราะเป็นอาหารธรรมดาที่กินจากข้างนอกได้ (แต่บีบี้แค่อยากชิมว่าของที่นี่อร่อยหรือปล่าว)
3. ขนมจีนทรงเครื่อง ซึ่งบีบี้ไม่ค่อยอยากกินเส้นเท่าไรนัก (เอาไว้ลองชิมวันหลัง)




รู้ไว้นะว่า ...
1. พยายามหาคนมากินให้ลองเป็นเลขคู่ จะได้กินอาหารที่จำกัดจำนวนชุดได้ เพราะอาหารพวกนี้จะเสิร์ฟ 2 คนต่อ 1 ชุด
2. มาถึงต้องสั่งอาหารที่จำกัดจำนวนชุดก่อนเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งจำว่าจานไหนที่ยังไม่ได้สั่ง
3. บริการแบบสั่งแล้วเสิร์ฟเป็นแบบที่บีบี้ไม่ชอบ แต่ในครั้งนี้เรียกได้ว่าผิดพลาดน้อยและเสิร์ฟได้ค่อนข้างเร็วกว่าครั้งก่อนๆ (อาจจะเป็นเพราะคนน้อยหรือปล่าว)
4. หมูที่นี่มีเนื้อนิ่มเกือบทุกรายการอาหาร (ต้องลองสั่งรายการอาหารที่เป็นหมูอย่างอื่นดูบ้าง)
5. ลองเปลี่ยนจากบันดาทรงเครื่องเป็นข้าวเกรียบงา เผื่อว่าจะได้กินข้าวเกรียบที่ไม่นิ่มและไม่เหนียว



Smiley บีบี้ Smiley




Create Date : 04 ตุลาคม 2552
Last Update : 4 ตุลาคม 2552 23:14:50 น. 2 comments
Counter : 1862 Pageviews.

 
เห็นแล้วน้ำลายไหลเลยนะเนี่ย คออาหารเวียดนามเหมือนกัน แต่จะหนักไปทางแหนมเนืองซะมากกว่า


โดย: jeen_cute วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:11:34:54 น.  

 
เคยไปกินนะ
แต่เจอ "กาจั๊ว" วิ่งเล่นอยู่ระหว่างโต๊ะ

ก็เลยว่าจะเปลี่ยนสาขา


โดย: น่าจะดี IP: 58.8.85.95 วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:18:57:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

bee4ever
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]









บีบี้รู้สึกว่าบีบี้ชอบทำอาหารเอามากๆ หลังจากที่บีบี้ทดลองอบขนมหลายๆ อย่าง หลังจากทำเสร็จก็จะมีขนมหลายแบบหลายรสชาติทั้งแบบที่แทบจะกินไม่ได้จนถึงกระทั่งแบบที่อร่อยจนหมดหลังจากอบเสร็จ แต่ขนมทุกอย่างก็ต้องผ่านการชิมจากบีบี้ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ น้ำหนักตัวและสัดส่วนของบีบี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้บีบี้ต้องกลับไปเล่นโยคะร้อนอีกครั้ง ซึ่งภายใน 3 สัปดาห์นี้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก บีบี้กำลังรอลุ้นว่าโยคะร้อนคราวนี้จะทำให้สิวขึ้นเขรอะอีกหรือเปล่า

Smiley บีบี้ Smiley



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add bee4ever's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.