Group Blog
 
<<
กันยายน 2558
 
2 กันยายน 2558
 
All Blogs
 
ชีวิตธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ ของ "เชษฐ์ สไมล์ปัฟฟาโล"

ชีวิตธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ ของ เชษฐ์ สไมล์ปัฟฟาโล
เย่ๆๆ. เกี่ยวข้าวเสร็จก่อนฝนตก..เร็วๆ นี้พบกันครับผม..สำหรับลูกค้าที่น่ารักทุกท่าน

        ไปส่งข้าวให้แล้วนะคร้าบ..ออกมาจากโรงสีใหม่ๆเลยครับ..คุณค่าอยู่ครบเป๊ะ..ของฝากที่ แสดงความห่วงใย..บอกรักด้วยข้าวหอมนิล ปลอดสารพิษ..กินข้าวเป็นยา ครับ

        กินข้าวเป็นยา..หอมนิลปลอดสารพิษ..ผมแพ็คใส่ถุงเอง..เขียนเอง..เพื่อสุขภาพที่ดี สำหรับท่านที่ทานข้าวผม..ของผมควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน..ปลอดสารพิษที่สุดครับ.ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง.อายุยืน.ผมก็มีความสุขละครับ..อยากรู้ว่าความห่วงใยผมมีแค่ไหน..นับได้จากเมล็ดข้าวในถุงครับ..ฝันดีครับทุกท่าน. ฯลฯ

        ...
        มองกันแบบเผินๆ จากถ้อยคำในประโยคดังกล่าวที่ถูกโพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เชื่อแน่ว่าส่วนใหญ่คงต้องคิดเหมือนๆ กันว่าเจ้าของข้อความที่ว่านี้คงมีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน หรือไม่ก็พ่อค้าขายข้าว ทั่วๆ ไป สักกี่คนกันที่นึกไปถึงอาชีพอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยอย่างนักดนตรี

        ที่สำคัญเป็นคนตรีในแนวร็อกอีกต่างหาก

        "ผมผันตัวมาเป็นเกษตรกรในการมาปลูกข้าว เริ่มแรกคืออยากปลูกกินเอง แล้วก็มีวิวที่สวยงามมันเป็นบรรยากาศที่คลาสิคมาก เป็นวิวธรรมชาติ ต้องการแค่นั้น..." "เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย" มือกลอง "สไมล์บัฟฟาโล" (SMILE BUFFALO) บอกถึงการผันตัวมารับบทบาทอีกบทบาทหนึ่งที่ดูไม่น่าจะเข้ากันสักเท่าไหร่กับภาพที่หลายคนคุ้นเคย

        ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อราวๆ 20 ปีที่แล้วหากคุณเป็นคนที่ชอบฟังเพลงกระแสหลักเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่รู้จักกับเพลง ดีเกินไป, ฟ้ายังฟ้าอยู่ ฯ ของวงดนตรี "ยิ้มสิไอ้ควาย" SMILE BUFFALO ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกอย่าง ดิษ ประดิษฐ์ วรสุทธิพิศิษฎ์ (ร้องนำ/เบส), เต็น ธีรภัค มณีโชติ (กีตาร์), หนึ่ง พนัส อภิชาติพงศ์บุตร (คีย์บอร์ด) และ เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย มือกลองที่ได้รับการยอมรับให้ติดอันดับต้นๆ มือกลองมีฝีมือของบ้านเรา

        "สมัยก่อนตอนที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังในปี 38 ที่สไมล์บัฟฟาโลออกมา ช่วงนั้นคือทุกอย่างเข้ามาหมด ทั้งเงินทองอะไรต่างๆ ก็เข้ามา สังคมที่เขาเชิดชูก็เข้ามา เราก็ใช้ชีวิตอย่างไม่มีสติ อะไรที่ได้มาง่ายมันก็ใช้จ่ายไปง่ายหมด ใช้ด้วยความประมาท เที่ยวเตร่ ทรัพย์สินต่างๆ บ้านรถ"

        "สมัยก่อนรถที่เปลี่ยน 5 คันได้ มีรายได้ต่ำๆ 70,000 บาทต่อวัน เหมือนว่าพอมีตังค์เยอะก็อยากได้นั้นได้นี่ มันก็ซื้อหาอะไรต่างๆ ที่ไม่จำเป็นก็ซื้อ ชีวิตใช้ไปกับแสงสีเสียง เที่ยวผับ หลังจากที่เล่นคอนเสิร์ตเสร็จสมัยก่อนผับเปิดถึงเช้า ก็ไปเที่ยวต่อที่ผับยังไม่ปิด เป็นคนที่ไม่เช้าไม่สว่างไม่เลิกประมาณนี้"

ชีวิตธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ ของ เชษฐ์ สไมล์ปัฟฟาโล
        ชีวิตเมื่อมีขึ้นก็อาจจะย่อมมีลง หลังๆ เมื่อความนิยมค่อยๆ ซา ประกอบกับปัญหาที่รุมเร้า นั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวต้องตัดสินใจหาหน้าเข้าหาทางธรรม..."คือช่วงนั้นมันเป็นจุดที่ผมเกินตัว ทำอะไรที่เกินตัวมาก สมมติเรามีเงินล้าน แต่เราทำไป 5 ล้าน ซึ่งตอนแรกก็มีอยู่หลายล้านนะ ก็ไปเปิดโรงเรียนสอนดนตรี"

        "ซึ่งมันลงทุนสูงหลายล้านมาก แล้วมันเจ๊ง ทุกอย่างขายทิ้งหมด มีเงินติดตัวอยู่ไม่กี่บาท ตอนนั้นยุคตกต่ำมากมีเงินใช้แค่ประคองชีพเองไม่ได้มีอะไรเยอะแยะเลย"

        ก่อนตัดสินใจกลับคืนสู่วิถีแห่งธรรมชาติที่พนัสนิคม ชลบุรี
        "จุดเริ่มคือมาจากที่ผมขายโรงเรียนสอนดนตรี ก็ตัดสินใจมาอยู่อย่างนี้เลย โดยที่ว่ามาจากไม่มีอะไรเลยมาจากที่นาว่างๆ ไม่มีต้นไม้สักต้น ผมก็เลยเริ่มปลูกต้นไม้เอง อะไรเองทุกอย่าง ชีวิตผมจะตั้งคำไว้อยู่อย่างหนึ่ง คำพระ คำต่างๆ อะไรก็แล้วแต่ชอบหมด แล้วคำนี้ที่ผมชอบที่สุดที่ใช้ดำเนินชีวิตก็คือธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งเหล่านี้มันให้ความรู้สึกที่เป็นตัวตนของคนจริง ชีวิตคนคือธรรมชาติทั้งนั้นเลย ธรรมดา"

        "บ้านผมจะเป็นหลังเล็กๆ แต่มีประตูล้อมรอบบ้านเอาไว้หมด สามารถเข้าได้หลายทาง ซึ่งผมอยู่คนเดียว อยู่ง่ายๆ อยู่ในมุ้งอุ่นใจ ตัวคนเดียวก็อยู่กันง่ายๆ ก็ใช้หิ้งพระสวดมนต์ มีรูปในหลวงท่าน มีรูปพระราชินี รูปพิชัยดาบ"

        "ผมเป็นคนที่อยู่บ้านช่องที่ใหญ่โตมหาศาลมาแล้ว ก็เคยซื้อหลายๆ ล้านมาแล้วก็ไม่ได้เห็นว่ามันมีความสุขเลย ถ้าใจเราไม่ได้มีความสุข เคยอยู่สัมผัสมาหมดทุกแห่ง มีตังค์ผมซื้อหมด แต่ตอนนี้เราอยู่แบบนี้มันเป็นความสุขที่แท้จริง นอนมุ้งยุ่งก็ไม่กัด เราก็ไม่ต้องตบยุง ไม่ต้องไปทำบาป สวดมนต์แป๊ปเดียวก็หลับ..."

        ผันตัวเองสู่อาชีพเกษตรกร
        "จริงๆก็ เริ่มจากทำกินเอง ทีนี้เริ่มได้ผลผลิตมากๆ ก็ต้องมีแจกจ่าย เราก็เอาไปขาย ตรงนี้ผมดูในหลวงท่านตลอด ในหลวงท่านเป็นคนแนะแนวแนะนำอะไรต่างๆ เรื่องของเกษตรพอเพียง ซึ่งท่านก็จะแนะนำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขตลอด ซึ่งผมก็ดูทุกเย็นเลยที่บางคนมาออกว่าเดินตามรอบเท้าในหลวงท่าน"

        "ข้าวที่ผมเลือกปลูกจะมีสองอย่างคือหอมนิล กับข้าวไรซ์เบอรี ทำไมถึงปลูกสองอย่างนี้คือผมเน้นคุณภาพของคนที่ซื้อไปทาน คนที่นำไปทานไม่ว่าจะซื้อหรือทานฟรีก็แล้วแต่ สุขภาพเขาจะแข็งแรง ซึ่งผมก็จะมีหลักอยู่คือผมอยู่กับธรรมชาติหรือผมจะอิงธรรมะด้วย ซึ่งในเรื่องของธรรมะ ทุกคนหนีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้"

        "ดังนั้นผมทำข้าวประเภทนี้มาเพื่อให้คนที่มีสุขภาพแข็งแรงแล้วมีอายุยืนไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเจ็บป่วย อย่างเช่นคนตาฝ้าฟางอันนี้ก็แก้ได้หมด ได้ทานข้าวผมแล้วมีสุขภาพที่ดี ร่างกายที่แข็งแรงแค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้ว โดยการที่ให้เขากินข้าวเป็นยา ไม่ใช่ให้กินยาเป็นข้าว"

        "การที่เราทำแบบเกษตรอินทรีย์ เราก็ต้องใช้มูลสัตว์มาลงให้ทั่วเลย อย่าไปใช้พวกเคมี ซึ่งปุ๋ยเคมีจะเป็นสิ่งที่ทำให้ดินตาย ของแบบนี้เราให้คนที่ทายเกิดประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการไปฆ่าเขา ไม่ใช่เขากินสารพิษกันไปแล้วเราก็กลายเป็นบาปได้ ผมมีหลักธรรมะอยู่อย่างหนึ่ง ทำไปแล้วซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์กับคนที่รับประทาน"

        "เขาเองได้ข้าวที่ดี จะได้มีสุขภาพแข็งแรง มันก็เหมือนเยียวยาชีวิตของเขาไปไม่ให้เขาเจ็บปวด"

        ถือได้ว่าเป็นชีวิตที่น่าจะลงตัวไม่น้อยเพราะเจ้าตัวได้ทำทั้งในสิ่งที่รักคือเกษตรกรและรักในสิ่งที่ทำก็คืออาชีพตีกลองเล่นดนตรี..."การใช้ชีวิตอย่างนี้มันเหมือนกับเราอยู่สวรรค์บนดินเลยนะ ผมคิดว่ามันเป็นสวรรค์บนดินสำหรับผมมากเลย ชีวิตผมไปไหนไม่ได้เลย วันไหนไม่มีงานก็จะอยู่บ้านอย่างเดียว ฟังเสียงนก อยู่แบบมีสมาธิ"

        "เขาเรียกว่ามันสงบนิ่ง ตอนกลางคืนผมก็ไม่เปิดไฟด้วยนะ จะอยู่กับกองไฟเล็กๆ จะชมหิ่งห้อยจะสวยงามมาก ได้สัมผัสกับธรรมะกับธรรมชาติ คือธรรมะให้ทำให้หัวใจเราร่มเย็นเป็นสุข แล้วเราก็ไม่ได้ไปทำชั่ว ทำกรรมอะไรเพิ่ม ไม่ไปทำเวรกรรมให้กับตัวเองอะไรต่างๆ พยายามเลี่ยงทุกอย่างที่ทำให้มันเกิดทุกข์"

        จนเป็นที่มาของบทเพลง "ฆ่ากิเลส"
        "มันเริ่มต้นจากที่ผมหลงระเริงล้มเหลวชีวิตมาทุกอย่างหมดแล้ว ผมก็เลยเขาสู่ความร่มเย็นจากธรรมะ มารู้จักการเข้าวัดเข้าวา สวดมนต์ แล้วก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมเรื่อยๆ แล้วสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจที่แท้จริงคือผมไปที่โรงพยาบาล ไปเห็นการเกิดก็เป็นทุกข์ การแก่คนแก่ก็เป็นทุกข์"

        "เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผมจะทำสิ่งที่มันไม่หดหู่จิตใจเรา ถ้าคือเรามีธรรมะในใจเราฆ่ากิเลสต่างๆ ความต้องการอะไรต่างๆ ผลัดได้ด้วยกิเลส ฆ่ากิเลสให้ตายไป เราใช้ธรรมะเป็นหลัก ใช้ธรรมะนำทางเราก็พบกับความสุขสบายให้แสงสว่างที่สดใส

        "บางคนอยากได้บ้านใหญ่ๆ ที่ใหญ่โต แต่พอเวลาเรานอนไปก็ไม่เห็นนอนตรงกลางบ้านใหญ่ๆ ก็เห็นไปนอนห้องเล็กๆ มันเป็นกิเลสที่จะโชว์พาวเวอร์ว่าตัวเองร่ำรวย มันไม่ใช่ ความสุขมันอยู่ในใจ มันไม่ได้อยู่ด้วยการแสดงออกด้วยวัตถุใดๆ ต่างๆ ดังนั้นธรรมะสำคัญที่สุด คือถ้ามีธรรมะในใจกิเลสเราจะน้อยลงมาก"

        (เนื้อหาเรียบเรียงจากรายการ "รายการทางนำชีวิต" ช่องไทยพีบีเอส/ภาพจากเฟซบุ๊ค วรเชษฐ์ เอมเปีย)



Create Date : 02 กันยายน 2558
Last Update : 2 กันยายน 2558 1:03:57 น. 0 comments
Counter : 1478 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.