บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
คิดใหม่เพื่อชีวิตใหม่...ภายใต้ฟ้าเดียวกันผูกพันกันไว้ด้วยสายใยสายสัมพันธ์






ฉันเดินไปด้วยดวงใจที่เหม่อลอย
คราบน้ำตาไหลออกมา
ในยามเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
มีประโยชน์อะไรที่จะต้องไปคิดถึงมันอีก
กับวันเวลาที่เสียไปและไม่สามารถเรียกกลับคืนได้

ชีวิตจริงอาจจะหนักยิ่งกว่านิยาย
มีหลายสิ่งที่คนไม่รู้หรอกว่า
ความจริงของชีวิตนั้นโหดร้ายเพียงใด
หากใจไม่เข้มแข็งและหนักแน่นเพียงพอ
คนเราก็ไม่สามารถผ่านวิกฤตการณ์ในชีวิตนี้ไปได้



คิดใหม่เพื่อชีวิตใหม่
เมื่อไม่มีหนทางใดให้ถอยหนี
คนเราก็มีแต่จะต้องลุกขึ้นเพื่อยืนหยัดต่อสู้ต่อไป
แม้ทางข้างหน้าจะดูมืดมนและไม่มีอนาคต
แต่ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในชีวิต
และการดำรงอยู่ในโลกใบนี้
คนเราก็ควรจะมีหลักยึด
อาจด้วยคุณธรรมหรืออุดมการณ์ในใจ
ที่จะแต่งแต้มเพื่อให้โลกนี้
แลดูสวยสดงดงาม



ชีวิตหนอชีวิต
หากข้าเลือกได้
ข้าอยากจะจากโลกอันโหดร้ายนี้ไป
และไม่อยากรับรู้ในเรื่องราวใดอีก

แต่ความเป็นจริง
เรายังดำรงอยู่
และต้องอยู่เพื่อชดใช้หนี้กรรม
ทั้งชาตินี้และกาลอดีต
หากเมื่อจิต คิดดี ทำดี พูดดี
มีใจเป็นกุศลและแผ่เมตตากับสัตว์โลก

สักวัน...วันคืนที่เรามุ่งหวังอาจเป็นของเรา

สักวันหนึ่ง...

ภายใต้ฟ้าเดียวกัน

ผูกพันกันไว้ด้วยสายใยสายสัมพันธ์

ฉันท์พี่น้องผองเพื่อนร่วมโลก
และประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา@@














บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่














Create Date : 06 กรกฎาคม 2550
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 7:17:43 น. 14 comments
Counter : 661 Pageviews.

 



เราแวะเข้ามาเยี่ยม..ครับ.
ได้อ่าน..บทความในบล็อกนี้แล้วนะครับ..
อืมมม... เป็นอีกบทความที่ดีมากเลยครับ..
อ่อ..เพลงเพราะมากครับ..ฟังแล้วอารมณ์เข้าถึงบทความในบล็อกนี้เลยครับ..

โอกาสน่าถ้าว่างก้อเข้ามาเยี่ยมอีกนะครับ..แล้วแอบคอมเม้นได้นะคร๊าบ..
www.casinotone.bloggang.com


โดย: casinotone IP: 58.8.168.198 วันที่: 6 กรกฎาคม 2550 เวลา:23:44:09 น.  

 
สวัสดี ค่ะ พี่ชายที่รัก

วันนี้วันพระ เดือนแปด แรมแปดค่ำ
พิมลุกขึ้นมาพิจารณาธรรมแต่เช้า

ไปสวดมนต์ จัดดอกไม้ ถวายพระ
อ่าน ธรรมะ ของพระพุทธองค์

อยากชสนวนพี่ไป อ่าน วงล้อกรรม ยังหมุนเคลื่อน
ที่น้องพิมเขียน
พิมเอง ช่วงนี้ งานหนักมากกว่า ปีที่แล้วเสียอีก
การ ดูแล งานเล็กๆ พิมก็ทำได้ไม่ดีหนัก
พยายาม เบิกบานแม้กระทั่งทำงานหนัก
เรียกว่ายิ้มสู้ น่ะค่ะพี่ ทั้งๆ ที่บางนาที
น้ำตาก็จะหยดลงมาเสียให้ได้ ....

ให้กำลังใจ พี่เสมอ ....ให้พี่เข้มแข็ง อย่างเบิกบาน
อ่อนโยน เสมอ ...ในทุกสถาณการร์นะคะ พี่


โดย: ประกายดาว วันที่: 7 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:36:06 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ยามเมื่ออ่อนล้า
หยุดพักริมทางเดิน
เก็บเกี่ยวกำลังใจที่รายรอบ

กำลังใจ...
จากผองเพื่อน
จากสายลมยามบ่าย
และหญ้าไหวริมรั้วนั่น

......
เย็นวันเสาร์
แวะมาส่งความคิดถึงและกำลังใจค่ะ

บล็อกสวยจังค่ะ ภาพ และสี สวยหวาน


โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 7 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:01:34 น.  

 




แวะมาหาเลยวันบุญ..แต่การคิดดีไม่มีวันสายเสมอใช่ไหมค่ะมิตรแสนดี
เรายังคงห่วงใยมิตรคนนี้เสมอค่ะ...
เรารู้ว่าทุกอย่างเมื่อมีการเริ่มหัวใจเกินร้อยค่ะ..
แต่เมื่อล้าจะหรือเพียงศูนย์เหรออออ
สิ่งใกล้ตัวบั่นทอนสภาพจิตใจได้ดีที่เดียวววว

แต่ทุกสิ่ง..ย่อมเกิดได้เพียงชั่ววูบค่ะ..
หากเรามีความอดทนและจิตใจแกร่งนะค่ะ
ภาพทุ่งกระเจียว..สวยมากเลยค่ะ.มองดูอ้างว้าง
แต่เราว่ามันแฝงความอดทนดีนะค่ะ...ถึงเดียวดายแต่ไม่โดดเดี่ยวนะค่ะ

เราเคยร้องไห้..แต่ไม่ใช่การแสดงความอ่อนแอนะค่ะ
แต่ได้บรรเทาความเจ็บปวดและอ่อนล้านะค่ะ..
บางจังหวะของความท้อแท้..ใช่ว่าเป็นความรู้สึกไม่ดีเสมอไปนะค่ะ

แต่เป็นบทเรียนให้เรามีการเริ่มก้าวต่อไปอย่างระวัง
และสร้างความเข้มแข็งให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิมเสมอค่ะ

หนึ่งพระที่ระลึกให้จิตนั้นสุขสงบ..
แรม 8 ค่ำเดือน 8..ในพระนี้
ขอนะโม..น้อมระลึกถึง..พระคุณ..ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระคุณบิดรมารดา...ผู้มีจิตใจประเสริฐสูงส่งในใจเราเสมอมา

ความทุกข์มักเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นซึ่งเกิดจากอวิชชา
ทำให้เกิดความโง่หรือความอยากเลยได้ทุกข์มา
อวิชชาคือ รัก โกรธ เกลียด กลัว ตื่นเต้นวิตก
อิจฉา หวง หึง เกิดได้ท้งแง่ดี และไม่ดี..หากขาดสติยั้งคิด

ดับทุกข์ที่ทุกข์ ดับไฟที่ไฟ อย่าไปไว้คนละแห่งคนละชาติ

อนุโมทนากัลยาณมิตร ที่ประเสริฐเสมอ




เรารู้นะว่าคุณคือนักสู้ที่ไม่เคยถอย..จากแดนภูธรไงละ
เรายังจำกลอนที่คุณมอบให้ได้เสมอนะ

เรารู้สึกในพลังของอักษรที่มอบให้ในบทนี้นะค่ะ

นามแฝงคนเดินดิน....เกิดจากถิ่นฐานภูธร
ชีวิตที่จากจร.....ต้องระเห็จสู่แดนไกล

บทเรียนแต่หนหลัง....ยังจำฝังอยู่ในใจ
ชีวิตที่เกิดใหม่...ขอน้อมคุณพ่อแม่มา

นามแฝงคนเดินดิน...ยังไม่สิ้นแรงศรัทธา
ทุกสิ่งยังเดินหน้า....สู่หนทางที่ยาวไกล

ครั้งหนึ่งสร้างตำนาน...ที่เล่าขานกันต่อไป
ชีวิตยังฝันใฝ่.....เห็นแผ่นดินแม่ร่มเย็น

โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.135.63 วันที่: 11 สิงหาคม 2549 เวลา:12:42:29 น.

มีความสุขกับคนที่รักสิค่ะ..แล้วคุณจะรู้สึกดี..
เอาความอ่อนเข้าหา..จะลดความล้าจากใจได้ดีนะ
อย่าแข็งเจอแข็ง..จะหมดแรงด้วยกันทั้งคู่เสมอนะค่ะ

ขอโทษนะค่ะ..ที่คุยยาวเลย
เราอาจจุ้นจ้านนะค่ะแต่หวังดีกับมิตรคนนี้เสมอ









โดย: catt.&.cattleya IP: 58.9.56.119 วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:8:36:37 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจ Bizweek

ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมาแล้ว (จริงหรือ?)

ECO-NO-MISS : ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย




“ข่าวดีๆ ทางเศรษฐกิจมีเข้ามามากขึ้น” คือเสียงรำพึงของผมในระยะนี้ ข่าวดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวความมั่นอกมั่นใจของรัฐบาลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย หรือการปรับตัวสูงขึ้นของ SET Index ที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี


แม้ว่าข่าวดีของเศรษฐกิจไทยจะเริ่มถาโถมเข้ามา แต่หลายคนก็อดห่วงใยไม่ได้ว่า ข่าวดีที่เกิดขึ้นมีมากเกินจริงหรือไม่ และจะยั่งยืนหรือเปล่า

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาครัฐบาลได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้หลายท่าน เริ่มต้นด้วยท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "เปิดบ้านพิษณุโลก" ถึงภาวะเศรษฐกิจไทยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จะขยายตัว 4.3% ตามแรงหนุนของภาคการส่งออก ขณะที่การลงทุนยังคงมีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่ไทยได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)

รวมถึงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และการที่รัฐบาลผลักดันการใช้งบประมาณในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2550 รวมถึงต้นปีงบประมาณ 2551 ที่จะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2550 ที่รัฐบาลได้ขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการประมาณ 4% หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท ก็จะช่วยสนับสนุนการบริโภคให้เกิดการขยายตัว ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ในระดับ 4.0-4.5%

ตามด้วยอาจารย์โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ "บทบาทรัฐกับการกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง" จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่า รัฐบาลมั่นใจว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตได้ในระดับไม่เกิน 4% และปีหน้าเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% โดยการลงทุนขนาดใหญ่จะเริ่มขับเคลื่อน เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้เป็นต้นไป

ทั้งยังแสดงความมั่นใจว่าในไตรมาสที่ 3 รัฐบาลจะสามารถกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ การที่ ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปกล่าวในงาน Asian Development Bank forum ที่จัดขึ้นในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของวิกฤติการเงินเอเชีย โดยให้ความเห็นว่า ภายในปีหน้า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะสูงกว่า 5% และอาจสูงถึง 6% และในขณะนี้ไทยไม่มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกมาตรการควบคุมเงินทุน ซึ่งกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติที่นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ต้องกันสำรองเงิน 30% ไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นเวลา 1 ปี หรืออาจใช้วิธีทำสวอป (swap) ป้องกันความเสี่ยงไว้เพื่อควบคุมค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ

ผนวกกับคำยืนยันของเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่กล่าวว่า สศช.ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2550 จะสามารถขยายตัวได้ที่ระดับ 4-4.5% ตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจหลายตัวมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยของธปท. ที่ได้มีแถลงภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนพฤษภาคม 2550 ว่า ภาพรวมทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยภาคการผลิตยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงไม่มาก

ขณะที่การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี นอกจากนี้การนำเข้าเครื่องจักรกลับมาขยายตัวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่หดตัวลดลงในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เช่นเดียวกับการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนที่มีอัตราการขยายตัวติดลบน้อยลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้

ข่าวดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการให้สัมภาษณ์ของภาครัฐบาลในขณะนี้ แม้จะยังสวนทางกับความเห็นของภาคเอกชนบางราย เช่น ความเห็นของคุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ที่กล่าวถึงกรณีที่ภาครัฐบาลมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวขึ้นภายหลังจากมีการเลือกตั้ง และเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 4-4.5% โดยส่วนตัวเชื่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้รวมถึงเศรษฐกิจไทย จะมีอัตราการเติบโตไม่ถึง 3% ซึ่งถือเป็นการเติบโตในอัตราที่ติดลบ

ในฐานะนักธุรกิจที่ติดตามสถานการณ์กำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดแบบวันต่อวัน คุณบุณยสิทธิ์ยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ไม่ดีมากนัก จึงอยากให้รัฐบาลมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระดับบนและระดับล่างมากขึ้น โดยเฉพาะดูแลราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปัจจุบันราคาตกต่ำเป็นอย่างมาก อีกทั้งที่ผ่านมารัฐบาลออกมาพูดเพียงอย่างเดียวว่ากระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นระดับบนเป็นหลัก

ความเห็นนี้สอดคล้องกับความเห็นของภาคธุรกิจหลายรายที่ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุย ทั้งจากการสนทนาและสอบถามในห้องที่ผมเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องเศรษฐกิจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ธุรกิจคมนาคม และอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นจริงหรือไม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลายคนยังไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองของไทย

แน่นอนครับว่า สัญญาณทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่ากำลังฟื้นตัวในมุมมองของภาครัฐบาล ภาคเอกชนไทยส่วนหนึ่งยังไม่มั่นใจ และยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว

แต่ถ้าเราพิจารณาถึงการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในสัปดาห์นี้ SET Index ได้ปรับตัวสูงถึง 825 จุด (ในวันที่ปิดต้นฉบับ) ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ติดต่อกัน 2 วัน

โดยผู้ซื้อสุทธิที่สำคัญคือนักลงทุนต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งเริ่มมีความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต เนื่องจากโดยปกติ การปรับตัวของดัชนีราคาของตลาดหุ้น จะสะท้อนถึงทิศทางการปรับตัวของเศรษฐกิจในอนาคตประมาณ 6-9 เดือน แสดงว่านักลงทุนต่างประเทศมั่นใจว่าเศรษฐกิจในปลายปีนี้และต้นปีหน้าจะขยายตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ บรรดานักวิเคราะห์ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย เริ่มออกมาแสดงความมั่นใจว่าถ้าสถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง SET Index น่าจะปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 840-860 จุดในปีนี้ หรืออาจปรับตัวสูงถึงระดับ 900 จุด (ขอย้ำนะครับว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโดยเฉพาะเมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นแรงๆ อย่างนี้ ฉะนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง และตัดสินใจลงทุนโดยใช้ข้อมูลพื้นฐานอย่างรอบคอบ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจของตลาดทุนไทยว่าเริ่มกลับฟื้นคืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัดเจน

ขณะเดียวกันภาคเอกชนหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เริ่มออกมาแสดงความเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวสูงถึง 4-4.5%

สำหรับผม ความเชื่อที่ว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวในระดับ 4-4.5% มีน้ำหนักมากกว่าเดิม เนื่องจากการส่งออกที่ขยายตัวเกินคาดในระดับ 18% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น และการยืนยันของรัฐบาล (ล่าสุด) ว่าจะมีการเลือกตั้งภายในกำหนดเวลาที่ได้วางไว้ในปลายปีนี้ (ถ้าไม่ใช่เดือนพฤศจิกายนก็จะเป็นเดือนธันวาคม) ขณะที่รัฐบาลแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะใช้งบประมาณของภาครัฐบาลอย่างเต็มที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ถ้าเปรียบเป็นหนังก็ต้องบอกว่าเป็นหนังชีวิตที่ต้องดูกันยาวๆ ว่าจะจบลงอย่างไร

การใช้บรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วบอกว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วอย่างยั่งยืน คงจะเป็นการสรุปที่เร็วเกินไป เพราะการเมืองยังมีความเสี่ยงเรื่องการประท้วง การลงประชามติของร่างรัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ในปีนี้

คงต้องรอข้อมูลที่ยืนยันสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีกอย่างน้อย 1 เดือน จึงสรุปได้ว่าเป็นอย่างไร

ผมขอสรุปว่า เราเห็นแสงสว่างที่สว่างมากขึ้น (จากเดิมที่เคยเห็นรำไร) ที่ปลายอุโมงค์ของเศรษฐกิจไทยแล้วครับ

/////


"การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ถ้าเปรียบเป็นหนังก็ต้องบอกว่าเป็นหนังชีวิตที่ต้องดูกันยาวๆ ว่าจะจบลงอย่างไร การใช้บรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วบอกว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วอย่างยั่งยืน คงจะเป็นการสรุปที่เร็วเกินไป"


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:43:18 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจ-คอลัมน์กายใจ

hapiness



ศิริรัตน์ ณ พัทลุง (heartcompass@gmail.com)


ชีวิตที่มีความหมาย

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปกับพี่สาว (ฐิตินาถ ณ พัทลุง เจ้าของหนังสือ เข็มทิศชีวิต) ลงไปหาดใหญ่เพื่อไปบรรยายให้นักศึกษากว่า 1,000 คนที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ฟังในหัวข้อเรื่อง ชีวิตที่มีความหมาย ระหว่างที่พี่อ้อยบรรยายอยู่นั้น เราแอบหันกลับไปมองนักศึกษากว่าพันคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมทองจันทร์ เราเห็นแววตาของเด็กๆ ที่กำลังตั้งใจฟัง เพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเองว่า จากวันนี้ไป เขาจะทำชีวิตของเขาให้มีความหมาย มีคุณค่า และมีความสุขมากกว่าเดิมได้อย่างไร

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กๆ สลับกับเสียงอือๆ ที่ส่งสัญญาณว่า เขาเข้าใจ เพราะเขาก็เป็นอย่างที่พี่อ้อยพูด ทำให้เรารู้สึกถึงลำคอที่ตีบตัน ด้วยความเข้าใจและสงสารเด็กๆ ที่อนาคตจะต้องเผชิญความทุกข์ในชีวิต ที่หนักหนาสาหัส ดังที่ผู้ใหญ่อย่างเราได้ประสบมาแล้ว เพียงเพื่อสิ่งเดียว 'ความสุข' ความเต็มอิ่มในหัวใจ ในแววตานั้นเราเห็นว่า เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ให้ได้มาเพื่อสิ่งเดียวนี้ หากแต่ทางที่เขาจะเดินไปนั้น ได้ถูกระบบทุนนิยมกลืนกินไปเสียแล้ว ระบบนี้ใช้วิธีหลอกลวงตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของเขาว่าจะต้องหาเงินให้เพียงพอเสียก่อน จึงจะไปถึงซึ่งความสุขที่เขาต้องการ

วันนั้นพวกเขาโชคดีที่มีคนคนหนึ่งที่ได้ผ่านความทุกข์จากการโดนระบบหลอกมาก่อน ได้เรียนรู้จากมัน และกล้าหาญพอที่จะเดินออกจากระบบหายนะนั้น ได้กลับมามีความสุขที่พอเพียง และไม่คิดกลับมาเกี่ยวข้องกับระบบนั้นอีก มาบอกพวกเขาว่ามันไม่จริง ความสุขไม่ได้มีจากการได้เงินมาก่อน แต่ความสุขได้จากการที่ได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่ากับตัวเราและผู้อื่น ความสุขมีได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ไม่ต้องรอ

ในช่วงหนึ่งของการบรรยายที่เราชอบ พี่อ้อยพูดถึงการทำลายความเป็นมนุษย์ของระบบทุนนิยม วิธีทำลายล้างพวกเราที่ได้ผลที่สุดคือการ ทำลายความภูมิใจที่เรามีต่อตัวเอง ต่อสิ่งที่เราทำ ต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา ที่มีมายาวนาน เขาทำให้เราอ่อนแอโดยการให้ world bank มาบอกเราว่า รายได้ต่อหัวของประเทศของเรายังต่ำ เรายังทำงานไม่ฉลาดพอ ต้องทำให้สูงขึ้นโดยเพิ่มกำลังการผลิตในทุกส่วน เอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ บอกเราว่าจะช่วยให้เรามีมาตรฐานเท่าเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว

ในขณะที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยจน มีกิน มีเก็บ มีใช้ มีความสุขแบบพอเพียงตามอัตภาพ หากแต่สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาล่อตาล่อใจเรา ทำให้เราเชื่อว่าเราขาดจริงๆ และเชื่อว่าพวกเราต้องทำงานให้เยอะที่สุด จึงจะได้เงินมาซื้อของแพงๆ ซื้อรถหรูๆ ซื้อบ้านหลังใหญ่ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข

ในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ออกแบบให้คนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเครื่องจักร แต่ละคนมีหน้าที่ต่างกัน ทำคนละอย่าง เพื่อผลิตสินค้าประเภทเดียว เช่นคนนี้มีหน้าที่ป้อนวัตถุดิบ คนนี้กดปุ่ม คนนี้เช็คสินค้า คนนี้แพ็คของลงกล่อง เขาซอยการทำงานออกเป็นส่วนเล็กๆ เพื่อให้คนแต่ละคนถนัดกับงานแต่ละอย่างเพราะมันง่าย ไม่ต้องคิด ปริมาณสินค้าที่ได้จึงจะมากพอ คนไทยจึงเริ่มอ่อนแอลง เพราะโดนฝึกมาให้ทำสิ่งง่ายๆ เคยชินกับเทคโนโลยี เห็นภูมิปัญญาเดิมเป็นสิ่งล้าสมัยไม่ทันใจ

เราลืมไปว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรานั้น เน้นให้เราทำสิ่งของด้วยตัวเอง จากเริ่มต้นจนจบ ได้เห็นผลงาน ได้รับรู้ถึงความภูมิใจในตัวเอง และได้ความสุขเรียบง่ายแบบไม่ต้องซื้อ

ยกตัวอย่างสาวทอผ้าในสมัยก่อนเคยทำงานกันเป็นกลุ่ม ทอผ้าไป ร้องเพลงไป ใช้ชีวิตอยู่กับบ้านไม่ต้องเดินทาง อยู่บ้านทำงานไป เลี้ยงลูกไป มีเสียงหัวเราะสลับกับเสียงกึงๆ ของเครื่องทอผ้ากระทบกัน มีความรักความเข้าใจกันในหมู่เพื่อนฝูง พองานเสร็จก็ได้เอามาอวดกัน มีความภูมิใจในสิ่งที่ตนทำ เพราะทำด้วยความรักในงานของตน คนเหล่านี้ได้ความสุขตั้งแต่ก่อนเริ่มทำ ขณะทำ และหลังการทำ ต่างกับสาวโรงงานปัจจุบัน ที่รู้จักแค่การทำเป็นขั้นตอน มีเครื่องมือช่วยผลิตให้ออกมาเป็นร้อยเป็นพันชิ้นในเวลาไม่นาน ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไม่มีธรรมชาติเพราะต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ แทน ไม่มีความภูมิใจกับชิ้นงานที่ออกมา เพราะไม่ได้ทำเอง ลูกก็ต้องอยู่บ้านนอกกับตายาย ได้เจอหน้าพ่อแม่ปีละหน ปีใหม่กับสงกรานต์ จิตใจแห้งเหี่ยว แต่ละวันกลับบ้านไปพร้อมกับความขาด ความโหวงๆ ในใจ

มันน่ากลัวถ้าเรายอมเป็นทาสของเงิน ยอมให้เงินมากำหนดวิถีทางเดินชีวิตของเรา ยอมให้เราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแรงงานราคาถูก เราจะอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้น เพราะเราถูกหล่อหลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของการผลิต มีชีวิตอยู่เพื่อเศษกระดาษ ยอมให้เงินเป็นตัวบ่งบอกถึงความสุขที่เราจะได้ เมื่อเราตั้งเข็มทิศผิด หลุมในใจของเราก็ใหญ่ขึ้น เงินที่ได้มาก็หมดไปกับการจับจ่ายซื้อของที่ไม่จำเป็นเพียงเพื่อหวังว่า มันจะมาถมหลุมที่ว่างๆ โหวงๆ ในใจของเราได้ แต่มันก็ไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอ เพราะเงินไม่ใช่คำตอบของความสุข

พวกเราหลายคนก็ไม่ต่างจากสาวโรงงานทอผ้า ที่หลุดเข้าไปในสู่วงจรหายนะนั้น มีพวกเรากี่คนที่รู้ว่าทำงานไปเพื่ออะไร คุณค่าของงานเราอยู่ที่ไหน อะไรเป็นตัวบ่งบอกความสำเร็จในชีวิตของเรา

ทางรอดของเรามีทางเดียว คือ การเข้ามาเรียนรู้กายรู้ใจของเราอยู่เสมอ รู้ในแต่ละขณะที่เราอยาก เราหิว เราขาด รู้ให้ทันสิ่งกระตุ้นเร้าเดิมๆ ที่คอยผลักเราให้เข้าไปสู่วงจรหายนะนั้นตลอดเวลา เมื่อเราได้หยุดอยู่กับตัวเองได้เรียนรู้ความต้องการส่วนลึกของเรา เราจะดิ้นรนน้อยลง เราจะมีสติในการทำงาน การตัดสินใจทำในแต่ละเรื่อง เราทำด้วยความรู้สึกที่ดีที่สุด เพื่อตนเองและผู้อื่น ไปพร้อมๆ กัน ได้เลือกทำในสิ่งที่เรารักอย่างกล้าหาญ เมื่อได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราจะตั้งใจ สิ่งที่เราทำก็จะมีความหมายกับผู้รับมากขึ้น ความสุขที่เรามี จะช่วยให้เราเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าเราต้องการสิ่งใดอย่างแท้จริง เมื่อเรามีความสุข เราจะเห็นความจริงว่า เงินเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ในชีวิตของเราเท่านั้นเอง

ความเหนื่อยล้าจากการวิ่งไล่ล่าหาความสุขทั้งชีวิตของเรา จะค่อยๆ ลดน้อยลง เราจะรู้สึกถึงความสุขที่ประณีตกว่า โดยไม่ต้องพึ่งใครหรืออะไร มันเต็มอิ่มอยู่ในตัวของมันเอง ความสุขเช่นนี้หาไม่ยาก แค่ระวังอย่าให้ใครมาหลอกเราว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข เท่านั้นละค่ะ


หาความหมายให้ชีวิต

1. มีทัศนคติใหม่กับชีวิตที่มีความสุขว่า เราสร้างมันเองได้ด้วยความรักและเข้าใจในสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เพราะเงิน

2. ลองพิจารณาทุกครั้งที่จะรูดบัตรเครดิตว่า เราอยากได้มันเพราะอะไร ซื้อมาใช้หรือซื้อมาเติมใจที่ว่างเปล่า

3. มีสติระวังใจของเราในการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิต เตือนตัวเองเสมอว่า สิ่งนี้จะทำให้เราหลุดไปในวงจรหายนะหรือไม่


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:06:26 น.  

 
ชีวิตคนจริง ๆ
เราไม่อาจขีดเขียนได้ด้วยดินสอหรือปากกา

เกิดมาแล้ว ก็ต้องเดินต่อไป
ทำทุกวันให้ดีขึ้น ๆ ในทุก ๆ วันที่ก้าวเดิน

....
เพลงเพราะและความหมายดีเหลือเกินค่ะ

แวะมาทักทายครั้งแรกนะคะ


โดย: Kankawee วันที่: 9 กรกฎาคม 2550 เวลา:6:35:05 น.  

 

สวัสดีตอนเช้าค่าคุณคนเดินดิน
ขอบคุณมากค่าที่แวะไปเยี่ยมทักทายกัน
ก็พยายามดูแลสุขภาพอยู่ค่ะ
ไม่อยากต้องไปตัดๆ ผ่าๆ

เจ้าของบล็อคคงสบายดีนะคะ
ไม่ค่อยได้แวะมาทักทาย
แต่ยังคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เสมอๆ ค่ะ^^


...



โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:7:15:35 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจรายวัน



มหาสมุทรแห่งปัญญา



สรยุทธ รัตนพจนารถ asia@sorrayut.com

บันไดสู่วิสัยทัศน์


ยังจำบันไดสู่ทีมที่มีประสิทธิภาพที่นำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อสัปดาห์ก่อนได้ไหมครับ แต่ละขั้นของบันไดต่างมีคำถามสะท้อนสู่แนวคิดหลักสำหรับแต่ละช่วงพัฒนาการของทีม

เมื่อก้าวขึ้นสู่ขั้นแรก เราจะพบกับคำถาม 'ฉันคือใคร?' เพื่อมั่นใจได้ว่าเรามีความปลอดภัย (Safety) และได้รับการยอมรับ ขั้นที่สองคือคำถาม 'คุณคือใคร?' ให้ได้ไว้วางใจ (Trust) ในกันและกัน บันไดขั้นต่อมาว่าด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม (Intimacy) ในทีม ความรู้สึกร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน จากคำถาม 'พวกเราคือใคร?' นำไปสู่ขั้นที่สี่ 'โจทย์คืออะไร?' ถึงคราวนี้เราทั้งทีมมีภารกิจและมีเป้าหมาย (Goal) ร่วมกันอย่างชัดเจนแล้วครับ

ทิ้งท้ายไว้ว่าขั้นสุดท้ายของบันไดสู่ทีมที่มีประสิทธิภาพคือ 'วิสัยทัศน์' (Vision) และจะมาเล่าสู่กันวันนี้ ผมมั่นใจว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่าวิสัยทัศน์ดี บางครั้งเรายังเปรียบเปรยว่าเป็นเหมือนฝั่งผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่เราใฝ่ฝัน ทำให้เราต้องออกแรงพายเรือฝ่าคลื่นลมไปให้ถึง

วิสัยทัศน์จึงทั้งกระจ่างชัดและพร่าเลือนในเวลาเดียวกัน คำถาม ณ บันไดขั้นสุดท้ายที่ผมจะเฉลยคือ 'เรากำลังจะไปไหน?' นั่นเองครับ

สิ่งที่ได้ชื่อว่ามีคุณลักษณะเป็นวิสัยทัศน์ มันจะมีพลัง สามารถกระตุ้นทุกคนในทีม จูงใจและดึงดูดให้ทุกๆ คนให้ความสนใจและตั้งใจมุ่งไปยังทิศทางนั้น การมีวิสัยทัศน์เท่ากับการได้ร่วมกันสร้างฝันให้คนในทีม เป็นการมองโลกในแง่ดีต่ออนาคตของกลุ่มหรือองค์กร

วิธีการทำวิสัยทัศน์โดยทั่วๆ ไป ที่คนเขาใช้กัน เกือบทั้งหมดล้วนมีภาคทฤษฎีให้คำแนะนำ หรือวางแนวทางเอาไว้ว่า วิสัยทัศน์ที่ดีต้องสั้น ไม่ยืดยาว มีความกระชับและชัดเจน เนื้อหาในวิสัยทัศน์ต้องพูดถึงคุณค่า แสดงออกถึงแรงมุ่งมาดปรารถนา (passion) และเห็นความใฝ่ฝันขององค์กร

ถ้าพวกเราเป็นนักกีฬาแข่งเรือยาวที่ต่างรู้ความถนัดของตัวเอง ได้รับมอบหมายหน้าที่สมควรแก่ฝีมือของตนแล้ว ยอมรับความรู้ทักษะของกัน ได้รู้จักคุ้นเคยสนิทสนมกัน เรือลำนี้ก็มีลูกเรือที่ต่างคนล้วนรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจในเพื่อน เห็นภารกิจเป้าหมายระยะสั้นชัดเจนว่าจะต้องร่วมกันออกแรงพายเรือลำนี้ไปเข้าเส้นชัย แต่อนิจจาไม่มีฝันร่วมกันว่าอยากจะไปแข่งระดับนานาชาติ หรือสร้างสถิติขึ้นมาใหม่ เรือยาวลำนี้ก็คงยังเคลื่อนออกไปได้ แต่ไร้ชีวิตชีวา และน่าเสียดายศักยภาพที่ลูกเรือแต่ละคนมียิ่งนัก หรือหากแม้ว่ามีบางคนที่ฝันอยากไปแข่งขันชิงแชมป์โลก แต่คงยากที่จะประสบผลสำเร็จหากเพื่อนๆ ทั้งทีมไม่เอาด้วย

คงจำกันได้นะครับ เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันบ้านเราประสบภัยสึนามิ ชาวไทยเราทั่วทุกหัวระแหงหลั่งไหลกันลงไปในพื้นที่ทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือค้นหาศพและกู้ภัยกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ศูนย์ย่านยาวซึ่งเป็นสถานที่ให้ความช่วยเหลือและจัดการศพนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ต้องจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ซ้ำเรื่องในทุกวัน ที่นั่น ผมเห็นป้ายขนาดใหญ่อันหนึ่งติดไว้เด่นชัด เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “We Will Take Them Home” (เราจะพาพวกเขากลับบ้าน) ผมรู้สึกประทับใจและทราบมาว่าอาสาสมัครที่ได้เห็นประโยคนี้ต่างมีกำลังใจในการทำงานขึ้นอีกมาก สำหรับผมแล้ว แผ่นป้ายนี้ช่างมีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ประกาศสื่อสารวิสัยทัศน์ไปยังทีมที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนคนทุกวัน (แม้ในกรณีนี้ค่อนไปทางพันธกิจมากหน่อย) และสามารถสัมผัสถึงใจทุกคนที่กำลังทำภารกิจอันหนักหนาสาหัสนี้อยู่

ขนาดองค์กรที่มีพลวัตสูงทั้งคนและงานอย่างกลุ่มอาสาสมัครย่านยาวยังมีวิสัยทัศน์เลย และดีมากเสียด้วยครับ คือ สามารถพาให้คนก้าวข้ามข้อจำกัดของอัตตาอันคับแคบของตน ไปร่วมกันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เชื่อมโยงกับคุณค่าที่ทุกคนถือร่วมกัน

พวกเราในภาคธุรกิจ มีลักษณะจัดตั้งองค์กรบริษัทห้างร้านเอกชน เรามักจะมีวิสัยทัศน์ที่ละม้ายคล้ายกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันมากมายนัก โดยมากต่างกันในรายละเอียดตามประเภทกิจการ คนที่เคยย้ายงานมาหลายบริษัทคงนึกออก ความท้าทายของการค้นหาวิสัยทัศน์สำหรับทีมในวงการธุรกิจก็จะอยู่ตรงที่จะมีวิสัยทัศน์อะไรที่จูงใจ และไม่ซ้ำไม่เฝือ อ่านไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้สึกว่าผิดแผกอะไรจากองค์กรอื่น

ส่วนพวกเราในอีกบทบาทหน้าที่หนึ่งซึ่งอยู่ในภาคสังคม เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน อาจเป็นเครือข่าย หรือมูลนิธินั้น ก็ควรต้องมีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกัน และมีความท้าทายไปอีกแบบหนึ่งที่ต่างไปจากเพื่อนๆ ในภาคธุรกิจ เพราะภาคสังคมมีทุนจำกัดบ้าง มีภารกิจต้องทำในระดับประเทศ แต่มีจำนวนคนไม่ถึงสิบ อีกทั้งผลที่เกิดจากการลงแรงทำงานไปส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นชัดเจนออกมาเป็นยอดขาย หรือส่วนแบ่งทางการตลาดเหมือนอย่างบริษัทเขา

ประการสำคัญที่ไม่ควรละเลยก่อนจะทำวิสัยทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นทีมในบริบทสภาพแวดล้อม หรือในแวดวงไหน คือ เราควรต้องถามตัวเองให้ชัดว่า “ทำไมต้องทำวิสัยทัศน์?” ไม่ควรสักแต่ว่าทำให้มีวิสัยทัศน์ขึ้นมา เพราะใครๆ เขาว่าดี หรือเพราะมาตรฐาน ISO กำหนดให้ต้องมี

เราควรได้ทำวิสัยทัศน์โดยทีมของเราทุกคนเห็นความสำคัญและเห็นดีเห็นงามด้วย

เมื่อถึงขั้นตอนการทำ ในปัจจุบันมีเครื่องมือหรือวิธีการที่พวกเราในหลายแวดวงอาจนำมาใช้ในการประชุม หรือจัดเวิร์คชอปทำวิสัยทัศน์หลายอย่าง เช่น AIC (Appreciation, Influence and Control) และ SWOT Analysis ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก Strength, Weakness, Opportunity และ Threat อันเป็นการหาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของเรานั่นเอง

โดยเฉพาะวิธี SWOT ซึ่งแพร่หลายมากในวงธุรกิจ บางแห่งจัดกระบวนการศึกษาแบบ SWOT ก่อน เพื่อได้รู้จักเข้าใจตัวเอง ได้วิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์กรให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วจึงเขียนวิสัยทัศน์ขึ้นมา บางแห่งก็กลับกัน ตั้งต้นด้วยการร่างวิสัยทัศน์ขึ้นมาก่อนแล้วจึงใช้ SWOT เพื่อตรวจทานและปรับแก้วิสัยทัศน์อีกครั้ง

ไม่ว่าเราจะสร้างวิสัยทัศน์ขึ้นมาใหม่ หรือปรับพัฒนาวิสัยทัศน์เดิมด้วยวิธีไหนเครื่องมืออะไร สิ่งสำคัญที่น่าจะให้เกิดขึ้นคือ การเอื้อเฟื้อและเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนที่มีส่วนร่วมในทีมของเรา ในองค์กรของเรา ได้รับฟังกัน ได้รับรู้ฝันของทุกๆ คน

ไม่ว่าจะเป็นเสียงเล็กเสียงน้อย แต่ละเสียง แต่ละฝันล้วนมีความหมายมาประกอบสร้างเป็นแรงมุ่งมั่นและความปรารถนาของทีมทั้งสิ้น

ในกระบวนทัศน์แบบวิทยาศาสตร์ใหม่นั้นบอกว่า เราควรจะลืมตรรกะแบบหยาบๆ ของมนุษย์ไปเสีย พวกเราคุ้นเคยในการคิดและทำเป็นเหตุผลเชิงเส้นโดยไม่รู้ตัว การทำวิสัยทัศน์ก็เช่นกัน อย่าไปคาดหวังว่าถ้าเราควบคุมทีละขั้นตอน ทำ 1 2 และ 3 แล้วจะได้ผลออกมาเหมือนดังที่คาดไว้ทุกครั้ง

หากเรารับฟังกันอย่างเปิดจิตเปิดใจที่จะรับรู้ เรียนรู้ เข้าใจ และชื่นชมทั้งหมดของความเชื่อความฝันของเพื่อนในทีม เราก็อาจได้วิสัยทัศน์มาง่ายๆ แม้ออกมาเป็นคำสั้นๆ ไม่สละสลวย สวยงามและครอบคลุม แต่จะเปี่ยมด้วยพลังและมีความมุ่งมั่นของทุกคนในวิสัยทัศน์นั้น โดยอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องไปใช้เวลากับการจัดกระบวนการตามรูปแบบที่ใช้กันอยู่ทั่วไป

ไม่ว่าการทำวิสัยทัศน์รูปแบบวิธีไหน ถ้าให้ความสำคัญแก่การรับฟังอย่างลึกซึ้งตามรายทางของกระบวนการ เราจะได้รู้จักตนเอง ได้รู้จักกันและกันอย่างเปิดเผยและทั่วถึง เราได้สร้างความใกล้ชิดสนิทสนมให้เกิดขึ้นในทีม สร้างความกลมเกลียวขึ้นในองค์กร บางครั้งมันกลับสำคัญยิ่งกว่าการได้วิสัยทัศน์ออกมาเป็นคำๆ เสียอีก

ที่สำคัญวิสัยทัศน์ขององค์กรอาจไม่ได้มีแค่มิติด้านนอก คือ สิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่รับรู้ได้จากภายนอก เช่น ผ่านการเห็น ได้ยิน หรือทำ แต่ยังมีมิติของการรับรู้และพัฒนาด้านใน รวมถึงอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก หรือจิตวิญญาณด้วย

และบางทีวิสัยทัศน์ที่อยากได้อาจไม่ออกมาในวันนี้ แต่จะปรากฏออกมาในวันหลังก็ได้ เมื่อทุกคนในทีมพร้อม และได้เป็นเจ้าของวิสัยทัศน์ร่วมกันอย่างแท้จริง :-)


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:20:49 น.  

 
เพลงเพราะมากค่ะ บีชอบคุณพงษ์เทพจริงๆ ตรงเส้นขอบฟ้า รุ่งเรือง เมืองที่เราใฝ่ฝัน เข้ากับสภาพจิตใจคนไทยตอนนี้เลยนะคะ

ชอบเนื้อหาและเรื่องราวใน blog นี้มากค่ะ บีขอ add นะคะ

ปล. ตามคุณประกายดาวมาค่ะ


โดย: rendezvous (be-oct4 ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:11:30 น.  

 
พี่ชายขา

ฝนตกหนักทุกๆ วัน
เข้มแข็ง ทุกๆ วัน นะคะ
น้องพิม เข้มแข็ง หนึ่งวัน สลับกับ จ๋องๆ หนึ่งวัน
ในรระยะนี้ ความเหนื่อยเกินบรรยาย


โดย: ประกายดาว วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:01:23 น.  

 
บางทีชีวิตมันต้องผ่านไปนะคะ ไม่ว่าจะร้ายจะดี

พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก้ขึ้นอีกแล้ว แล้วเดี๋ยวมันก็ตกอีก ถ้าเราจะให้พระอาทิตย์ขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำได้นะคะ ซื้อตั๋วเครื่องบิน บินไปโน่นนี่ตามพระอาทิตย์ไป แต่มันจะเหนื่อยเราหรือเปล่าคะ เปลืองด้วย

เพราะงั้น ปล่อยให้มันเป็นไปค่ะ


จุแวะมาเยี่ยมค่ะ


โดย: กระจ้อน วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:10:41:18 น.  

 
สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ
นำความคิดถึงมาส่ง

หวังว่าวันนี้..
จะเป็นอีกวันที่มีความสุขสำหรับ คนเดินดินฯ นะคะ


โดย: นกแสงตะวัน IP: 125.25.174.78 วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:8:13:58 น.  

 
อ่านแล้วทำให้ตัวเองคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงกับอดีตที่ผ่านไปโดยความเจ็บ ทำให้คิดได้ว่าชีวิตคนเราไม่ควรยึดติดกับวัตถุหรือสิ่งที่เข้ามาในชีวิต เพราะฉนั้นตัวกะผมจึงเลือกคติซึ่งยึดถือสอนใจคือ มัชฌิมาปฏิปทา


โดย: alvin IP: 124.120.126.201 วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:10:58:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.