มีนาคม 2558

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
ฺBrugge, เวนิซแห่งยุโรปเหนือ

จริงๆแล้วทริปเต็มๆที่อันตี้ไปมาเมื่อเดือนพฤษภาคมปี2014 (ปีที่แล้ว)คือเบเนลักส์ ไปกันหลายเมือง แต่ขอเล่าด้วยเมืองน่ารักๆที่ชื่อว่า Brugge แห่งประเทศเบลเยี่ยมละกันนะคะ

เมืองBrugge เป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองบรัสเซลซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยม

เรานั่งรถไฟจากบรัสเซลไปใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น


ตั๋วรถไฟเราจองซื้อมาตั้งแต่ที่เมืองไทยที่บริษัทดีทแฮล์มที่ตึกเคี่ยนหงวนตรงถนนวิทยุใกล้ๆสถานฑูตอเมริกาโดยวางแผนไว้เลยว่าเราจะนั่งจากไหนไปไหน เที่ยวไหน เวลาไหนจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องมีหรือไม่มีตั๋วอีกที่เหลือคือไปเที่ยวตามตารางที่วางไว้คร่าวๆได้เลย ราคาไม่ได้ถูกกว่าเดาว่าซื้อที่เบลเยี่ยมน่าจะถูกกว่าด้วยซ้ำ แต่พวกเราเน้นเที่ยวสถานที่ให้คุ้มจึงไม่อยากต้องมานั่งกังวลเรื่องการเดินทางมากนักการเตรียมการซื้อมาล่วงหน้าก็จะเหมาะกว่า

ไปถึงเมืองBrugge ก็สายๆละจากสถานีรถไฟเรานั่งรถบัสเข้ามาที่ศูนย์กลางของเมือง เรียกว่า The Market ซึ่งมี Belfort ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่โรงแรมเราก็อยู่ด้านหลังของ Belfortพอดี นับว่าสะดวกมากแต่ตอนขนกระเป๋าขึ้นรถบัสก็ทุลักทุเลพอสมควรเพราะพวกเราซึ่งไปกัน 4 สาวไม่ใช่แบคแพค แต่ไปด้วยกระเป๋าเดินทางปกติ ซึ่งจัดไปสำหรับใช้ 2 สัปดาห์เต็มๆถือว่าหนักพอใช้ แต่เราก็ทีมเวิร์คกันอย่างดีช่วยกันขนขึ้นลงแบบรวดเร็วมากจนฝรั่งคงทึ่ง


THE MARKET




โรงแรมที่เราพัก



BELFORT 



น่าเสียดายที่ช่วงที่เราไปอากาศค่อนข้างขมุกขมัวเพราะฝนตั้งเค้า แต่พวกเราก็ไม่ย่อท้อเช็คอินที่โรงแรมเสร็จปุ้บก็ออกมาเดินเล่นเลยทันที

มาเวนิซแห่งยุโรปตะวันตกทั้งทีก็ต้องล่องเรือชมเมืองซะหน่อย

มีท่าเรือให้ลงได้หลายจุดพวกเราเดินมาที่บริเวณที่เป็นตลาดปลา (ซึ่งวายไปละเนื่องจากเป็นเวลาสายมากแล้ว)ซึ่งบริเวณนั้นก็มีท่าเรือให้ลง ซื้อตั๋วเสร็จก็มายืนรอเรือนั่งไปกับนักท่องเที่ยวชาวฝรั่ง มีเราเป็นชาวเอเชียกันแค่ 4 คน


ตลาดปลา

ท่าลงเรือล่องชมเมือง



2ฝั่งคลองที่ล่องผ่านไปสวยงามตามสไตล์ยุโรปมีตกแต่งรูปปั้นให้ได้ถ่ายรูปกันเป็นระยะๆแล้วอยู่ๆก็เห็นมีเจ้าหมาน้อยเกาะขอหน้าต่างเหมือนรู้งาน ให้คนถ่ายรูปดั่งเสมือนเป็นรูปปั้นตกแต่งยังไงยังงั้น แต่เป็นรูปปั้นที่อยู่ไม่นิ่งเพราะขยับหัวโยกไปมา ไม่เช่นนั้นเราคงนึกว่าเป็นรูปปั้นโชว์จริงๆ 555












หลังจากล่องเรือเสร็จแล้วเราก็ขึ้นมาเดินต่อ แต่เดินไปได้ไม่นานฝนก็เทลงมาอย่างหนักพวกเราเลยตัดสินใจแวะร้านที่อยู่ใกล้ๆทานอาหารเที่ยงกันชื่อร้าน Mozarthuys Brasserie ด้วยความบังเอิญ อาหารอร่อยใช้ได้เลยมีทั้ง Stonegrill fish ปลาย่างบนหิน (อร่อยมาก) Mussel withwhite wine (หอยจำพวกหอยแมลงภู่ แช่มากับไวน์ขาวและเราก็สั่ง ClubSandwich มาเพื่อขอให้มีแป้งสักหน่อยเพราะอากาศหนาวยิ่งบวกฝนเข้าไปละทีนี้ ปากสั่นเลย 







STONE-GRILL FISH 



THE MUSSEL IN WHITE WINE



CLUB SANDWICH



มาประเทศเบลเยี่ยมซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องเบียร์ ถ้าไม่ชิมซะหน่อยก็ถือว่ามาเสียเที่ยวนะเนียะ ก็เลยสั่งมาลองดู รสชาติดีเลยทีเดียว วิธีการสั่งง่ายมาก ดูจากโต๊ะข้างๆ แล้วบอกบริกร เอาแบบโต๊ะข้างๆ 5555



หลังจากกินอิ่มกันแล้วก็ฝนซาพอดี เราจึงเดินเที่ยวชมเมืองกันต่อ ระหว่างเดินไปตามตรอกซอกซอย ก็เจอเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่ถือลูกโป่ง สีฟ้าๆเหลืองๆเต็มไปหมด ไอ้เราก็สงสัยเลยเดินไปถามนักเรียนกลุ่มนึง ได้ความว่าเป็นพิธีการ บายเนียร์ ของเขา น้องๆก็จะถือลูกโป่งยืนโบกให้รุ่นพี่ที่จบปีนี้ซึ่งจะเดินขบวนผ่านมีวงดุริยางค์นำหน้า เดินแห่ไปตามท้องถนน เป็นประเพณีที่น่ารักมาก พวดเราโชคดีได้มีโอกาสสัมผัสพอดี  


เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ไปเจอ exhibition ที่จัดเป็นพิเศษช่วงที่เราไปพอดีคือนิทรรศการผลงานของ Picasso และ Warhol กลุ่มเราเป็นประเภทชอเข้ามพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว จึงแวะเข้าชมเลยทันที ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ได้ชมผลงานเด็ดๆของศิลปินระดับโลกพร้อมกันทีเดียว 2 คนในที่เดียวกันเลย












หลังจากนั้น ก็เดินชมเมืองต่อ ในเมือง Brugge มีโรงแรมเก๋ๆอยู่หลายแห่ง เห็นป้ายชี้ทางไปโรงแรมก็พอจะมองภาพออก


การชมเมืองของที่นี่สามารถทำได้หลายแบบ ล่องเรือ เดินเท้า หรือการนั่งรถ City Tour



เพื่อความคุ้มค่า เราทั้ง 4 ชมทั้ง 3 แบบเลย ล่องเรือไปแล้วเมื่อตอนเช้า คราวนี้มานั่งรถบ้าง
รถก็จะพาขับผ่านสถานที่สำคัญๆ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ได้ดูเมืองครบ แล้วเราค่อยตัดสินใจว่าจะเจาะลึกจุดไหน ค่อยลงเดินทีหลัง

สถานที่สำคัญที่พลาดไม่ได้คือ Church of Our Lady เวลาไปตามเมืองต่างๆในประเทศเบลเยี่ยม จะพบว่าชื่อโบสถ์ จะเรียกว่า Church of Our Lady กันหลายแห่งเลยทีเดียว สำหรับที่เมือง Brugge นี้ ความน่าสนใจอยู่ที่รูปปั้นพระแม่มารีย์และพระกุมารเยซูปั้นโดย Michael Angelo แต่เนื่องจากเรามีเวลาไม่มากก็เลยไม่ได้ต่อคิวเข้าไปชม



กระจกสีซึ่งเป็นของคุ้นตาในทุกๆโบสถ์ที่เข้าไปเยือน




นอกจากนี้เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ Brewery แหล่งผลืตเบียร์ ก็เลยแวะเข้าไปดูซะหน่อย
แต่ก็ไม่ได้เห็นตัวโรงงานนอกจากเป็นหน้าร้านให้ลองชิม



การเดินเท้าชมเมืองทำให้เราได้เห็นความน่ารักของเมืองในหลายๆมิติ 
เช่น ร้านขายของกินน่ารักๆ รวมทั้งมีร้าน 4711 ซึ่งเป็นร้านเดียวที่เปิดนอกประเทศเยอรมนี (ประเทศต้นกำเนิด) 






ของที่ระลึกเก๋ๆ เกี่ยวกับเบียร์




ขนมและช็อกโกแลตทำเป็นทรง The Market



การเช่าจักรยานขี่ก็เป็นอีกวิธีนึงในการชมเมืองได้ทั่วถึงโดยที่ไม่เมื่อยขาเท่าการเดิน ร้านให้เช่าก็พอมีให้เห็นประปราย



แล้วเราก็เดินผ่านมาทางสถานที่ เขาเรียกว่าสำนักชี 

Beguinage - Begijnhof

เป็นสถานที่ที่เหล่าแม่ีบำเพ็ญสวด จึงเป็นที่ๆสงบเงียบมา ห้ามส่งเสียงดัง 






เดินเรื่อยๆออกมาจากบ้านแม่ชี เราก็พบกับ Minne Water Park หรือ Lake of Love ค่อนข้างสงบเงียบ พวกเราเดินถ่ายรูปแป้บนึง แล้วก็ไปต่อ





เดินไปเดินมา ท้องฟ้าเริ่มจะใกล้มืด เราเลยเดินไปที่จุด hilight สุดท้ายใกล้ทางเดินกลับโรงแรมเรา คือ Town Hall และ Basilica of The Holy Blood

TOWN HALL



เห็นด้านหลังสูงๆคือ Belfort


รูปปั้นสีทองสวยงามด้านหน้า Basillica of the Holy Blood




ด้านใน 




จริงๆถ่ายรูปไว้เยอะมากแต่ไม่สามารถนำมาให้ชมกันได้หมด ทุกๆมุมที่เดินไปสวยงามมาก เป็นเมืองที่น่ารัก และแนะนำให้ไปเที่ยวชมสักครั้งค่ะ







Create Date : 15 มีนาคม 2558
Last Update : 15 มีนาคม 2558 16:51:49 น.
Counter : 988 Pageviews.

1 comments
  
สวยมากค่ะ อยากท่องยุโรปบ้างไรบ้าง อิ อิ
โดย: mariabamboo วันที่: 19 มีนาคม 2558 เวลา:12:54:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อันตี้
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]