ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 
๔๗๑ - ดวงตาแห่งโลก




พระพุทธเจ้าเป็นเสมือนดวงตาแห่งโลก เป็นดวงอาทิตย์ที่ทำให้เรามองเห็นสรรพสิ่งรอบตัวและและชี้แนวทางสามารถเดินทางข้ามหุบเหวแห่งสังสารวัฏได้อย่างปลอดภัย

เมื่อคืนก่อนได้ฟังพระเทศน์ในสถานีวิทยุ ท่านเปรียบพุทธเจ้าเป็นเหมือนดวงตะวันที่ส่องแสงสว่างให้กับโลก จึงนำมาขยายความต่อ เพราะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

หากพวกเราเป็นสัตว์โลกที่เดินวนเวียนอยู่กับความมืดมิดแห่งอวิชชามานานแสนนาน โดยสัตว์เหล่านั้นสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท ตามอุปนิสัยและอำนาจแห่งกรรม เช่น

สัตว์ผู้เคยชินกับความมืดแห่งอวิชชามานานแสนนาน ดวงตาที่เปรียบเหมือนปัญญาของสัตว์นั้น ก็จะไร้ประโยชน์ เมื่อไร้ประโยชน์ วิวัฒนาการมันก็จะสร้างให้ไม่ต้องใช้ตา และเราก็ไม่ต้องเห็นแสงสว่าง (คล้าย ๆ กับสัตว์ทะเลน้ำลึก ที่ไม่ต้องใช้ตาในการมอง แต่ใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่น) คราวนี้เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น สัตว์เหล่านี้แม้จะรับรู้ว่ามีแสงสว่างหรือไม่มีแสงสว่างก็ตาม ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แม้จะเกิดและอาศัยใกล้กับพระศาสดาก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากธรรมะที่เป็นดั่งแสงสว่าง (เปรียบเทียบเรื่องนายจุนทสูกริก [๑๐] ใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒)

สัตว์ที่เคยทำความดีบ้าง ชั่วบ้าง คล้าย ๆ กับคนที่ไม่ได้ตาบอด เพียงแต่หลับตาอยู่นานเพราะความมืด หรือ เพียงหนังตาปิดอยู่ แค่มีคนมาบอกแจ้งความนิดหน่อย เขาใช้ความพยายามเปิดดวงตา ก็จะสามารถมองเห็นแสงสว่างได้

สัตว์ที่ทำความดี สร้างกุศลกรรมดีมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ได้รับรู้ความร้อนจากแสงแดดนิดหน่อย เขาก็สามารถลืมตา และมองเห็นโลกตามความเป็นจริงได้ อย่างนี้เป็นต้น

สัตว์บางจำพวกมีตาดี ลืมตาเองได้ตลอดเวลา แต่เกิดในยุคที่ไม่มีแสงสว่าง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด เพราะมองไม่เห็นสิ่งรอบตัว (เพียงแต่มีโอกาสดีกว่าในการมองเห็น)

คนประเภทสุดท้ายที่ยกตัวอย่างมา คือ คนที่เกิดในภูมิประเทศที่ไม่อุดมด้วยศีลธรรม หรือ ศาสนาอันดีงาม เขาย่อมมีโอกาสทำความชั่วได้ไม่ยาก

คราวนี้ลองมาคิดดูว่าเราเป็นสัตว์ประเภทไหน อุปมาคล้าย ๆ กับดอกบัว ๓ เหล่า (บางตำราว่า ๔ เหล่า) ที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมา

การได้เกิดในร่มเงาของพุทธศาสนา นับว่าเป็นการเกิดในภูมิประเทศที่หาได้ยาก เราทั้งหลายโชคดีแล้ว แม้ว่าจะห่างจากยุคของพระพุทธเจ้าอุบัติร่วม ๒,๖๐๐ ปี แต่พระธรรม คำสอนอันดีงามก็ยังอยู่ รอการพิสูจน์ในสัจจะที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ด้วยตัวของเราเอง...

Thank you image from '//th05.deviantart.net/fs71/PRE/f/2014/105/8/7/shadows_of_the_sun_by_lapec-d7en7qj.jpg'




Create Date : 29 กันยายน 2557
Last Update : 29 กันยายน 2557 13:37:00 น. 3 comments
Counter : 838 Pageviews.

 
ตอนนี้พี่ก๋าเปลี่ยนมากอดเมียกับลูกแทนครับ 555




พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ยืนยงคงกระพันจริงๆครับ
เมื่อท่านพูดถึงความจริง
ความจริงเป็นอมตะ
ความจริงในคำสอนของพระพุทธองค์จึงไม่เคยเสื่อมเลย



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 กันยายน 2557 เวลา:14:04:29 น.  

 

แวะมาทักทายยามบ่ายค่ะ เจิมๆๆๆ 555

...
มีความสุขตามอัตภาพนะคะ คุณอัสฯ


โดย: white in the dark วันที่: 29 กันยายน 2557 เวลา:14:05:21 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 กันยายน 2557 เวลา:6:39:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.