www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Star trek (2009) , จากใจคนที่ไม่ใช่ Trekkie --> “สุดยอด - Excellent - #$$@% - สุโค่ย - il_lli”



... ผมดู Star trek ครั้งแรกในโรงใหญ่ตอนยังเด็ก นึกทบทวนโดยไม่ต้องค้นข้อมูล ก็ยังพอจำได้ว่าเป็นหนังอวกาศที่มีการย้อนเวลาและมีปลาวาฬร้องเสียงดัง ซึ่งนั่นคือ Star Trek IV: The Voyage Home จากนั้นมาก็เคยดูอีกภาคสองภาค แต่ก็นานมาแล้วจนจำไม่ได้ว่าภาคไหน (นั่นหมายถึง ภาคปลาวาฬ เป็น ภาคที่ติดตรึงในความทรงจำมากที่สุด)

จากวันนั้นถึงวันนี้ความเหมือนของผมกับ J.J. Abrams ผู้กำกับ Star Trek (2009) คือ ไม่ได้เป็นสาวก Star trek หรือ Trekkie อีกทั้งเมื่อเทียบหนังไซไฟอวกาศชื่อดัง ก็ชอบสตาร์วอส์มากกว่า

ครั้นเห็นว่า ภาคใหม่กำลังจะมาฉาย ก็คิดว่าอยากจะปูพื้นซักหน่อยเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม โดยเฉพาะในแง่ความต่อเนื่องของตัวละคร ด้วยการหยิบภาค 1 ถึง 3 กลับมาดู


... ผลปรากฎว่า

ภาคแรก Star Trek: The Motion Picture ปรัชญาดีแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ , ภาคสอง Star Trek: The Wrath of Khan หลับน้อยลงเพราะมันส์มากขึ้น , ภาคสาม Star Trek III: The Search for Spock หลับตั้งแต่ครึ่งเรื่องแรก

สามภาคที่ผมหลับแล้วหลับอีก ย้ำชัดว่า สตาร์เทร็ค ไม่ใช่ หนังในแนวทางตัวเองเป็นแน่แท้ เลยไม่คิดจะหาซีรี่ย์มาดูแล้วหลับต่อ

ซึ่งก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน คือ ถึงจะชอบ Star Wars มากกว่า แต่ผมก็ไม่ได้ชอบหนังแอคชั่นตะลุยอวกาศอะไรมากมาย มิหนำซ้ำ กลับชอบไซไฟอวกาศที่เน้นปรัชญา การวางแผน อย่าง นิยายเรื่อง สถาบันสถาปนา (The Foundation) สามเล่มแรก เอามากๆขนาดเฝ้ารอคนทำเป็นหนังอย่างใจจดใจจ่อ

แต่ไม่รู้เป็นยังไง พอดูหนังไซไฟอวกาศที่ตัวละครพูดมากทีไร กลับไม่อิน ขนาดซีรี่ย์ Battelstar Galactica ที่เคยมีคนเชียร์ ก็ดูแบบเพลินๆไม่ติด แล้วก็ค้างเติ่งอยู่กลางซีซั่น 1




... ถึงผมจะไม่ใช่แฟน สตาร์เทร็ค แต่ก็อยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ เพราะผม เป็นแฟนของ J.J. Abrams

เริ่มต้นจากซีรี่ย์ระดับเทพอย่าง Lost ที่ผมยกให้เป็นซีรี่ย์อันดับหนึ่งในดวงใจแทน Friends เพราะความทึ่งแล้วทึ่งอีกในฝีมือการสร้างและเขียนบท จากนั้นก็ทดลองตามติดไปดูงานยุคก่อนของเขา ที่เป็นซีรี่ย์สายลับสองหน้าใน Alias แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยติด เพราะดูไปเรื่อยๆรู้สึกว่ามันซ้ำจับแนวง่ายไปหน่อย

ต่อด้วย ติดตามไปดูฝีมือกำกับหนังใหญ่ Mission: Impossible III ที่ผมชอบฉากเปิดเรื่องมากๆ แต่ช่วงท้ายกลับรู้สึกว่ามันง่ายๆและ(น้ำ)เน่าๆพิกล ต่อมาก็ติดตามงานโปรดิวซ์ Cloverfield ที่ชอบมากๆ จนแทบจะลืมชื่อผู้กำกับแมตต์ รีฟ และนึกว่า JJ. กำกับเองเสียด้วยซ้ำ ล่าสุด ก็ทดลองหาซีรี่ย์เรื่องใหม่ของ JJ. ที่ผสมผสานความเป็น X-File กับ วิทยาศาสตร์ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ อย่าง Fringe แต่ดูไปสองตอนผิดหวังนิดหน่อย


... ผมคิดว่า J.J. Abrams เป็น หนึ่งในอัจฉริยะในการทำหนังตลาดฟอร์มยักษ์โดยแท้ เพราะไม่ใช่แค่จะทำออกมาได้บันเทิงสุดขั้วแบบ ไมเคิล เบย์ แต่ เขายังทำให้ หนังตลาดๆแบบ สายลับ , สัตว์ประหลาด ให้ออกมาเหนือความคาดหมาย และ มักจะพกพาความแปลกใหม่มาด้วยเสมอ แถมยังเป็นคนไอเดียเก๋ไก๋ แอบสร้างจักรวาลของตัวเอง ด้วยการโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้มาหากันผ่านรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนดูต้องสังเกตเอง

เมื่อเขามาทำ Star trek สิ่งที่เขาพามาด้วย ก็ล้วนเด็ดๆ อาทิเช่น





J.J. Abrams พา ไซล่าร์ วายร้ายโรคจิตที่ชอบคิดเปิดกะโหลกเพื่อนๆ มาจากซีรี่ย์ Heroes และนั่นทำให้ทุกครั้งที่ สป๊อคอารมณ์เสีย ทำหน้าแบบจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ มันทำให้ผมลุ้นว่า เมื่อไหร่เฮียจะเอานิ้วกรีดรอบกะโหลกแล้วสแกนสมองเหมือนที่เคยทำ



(รูปนี้นึกว่า ลุงซูลู ข้ามเวลามาลองชิม Slusho เพราะ คุณลุงคนนี้เล่นทั้งใน Heroes และ เคยเล่นเป็น ซูลู ในสตาร์เทร็ค เวอร์ชั่นดั้งเดิม)


J.J. Abrams พา Slusho มาด้วย เครื่องดื่มเจ้าปัญหาที่โผล่ไปซะทุกเรื่องตั้งแต่ Lost , Heroes , Cloverfield ขนาดหนังอวกาศอย่างเรื่องนี้ พี่แกยังหาทางโผล่มาได้อีก เอากะเค้าซิ


J.J. Abrams พา บทหนังที่ฉลาดมาก ที่ใช้ การข้ามเวลา มาจัดการเรื่องราวใหม่ สร้างจักรวาลใหม่ Timeline ใหม่ (ลองนึกถึง โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 6 ที่ตอนจบรื้อโลกใหม่ แล้วเหลือตัวละครจากโลกเก่าเพียงตัวเดียวที่มาดำเนินชีวิตต่อใน โลกใบใหม่ ไปพร้อมๆกับตัวละครเก่าที่ถูกเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตใหม่)

ดังนั้นเมื่อ อดีตถูกเปลี่ยนแปลง นับแต่นี้ J.J. Abrams มีอิสระเต็มที่ ที่จะเล่นเรื่องราวได้ใหม่ โดยจะอิงกับโลกใบเดิม หรือ สร้างเรื่องราวใหม่โดยไม่ต้องเกรงการกระทบเส้นเรื่องที่แล้วๆมา
( เช่น การให้ อูฮูร่า รักกับ สป๊อค ก็น่าสนใจว่า อาจนำไปสู่ ความขัดแย้งในภาคต่อๆไปของสองตัวเอกแล้ว อูฮูร่า จะกลับไปรักกับ เคิร์ก ตามเส้นเรื่องเก่า หรือ จะนำไปสู่เส้นเรื่องใหม่ไปเลย)




... จุดเด่นของบทหนังสตาร์เทร็คชุดนี้ ที่เด่นกว่าเวอร์ชั่นเก่าๆ คือ อารมณ์ขันที่ถูกจัดสรรให้กับนักแสดงทุกคน ได้โปรยเสน่ห์จากเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น มุกตลกสัญชาติรัสเซียของเชคอฟ , มุกมือใหม่หัดขับของซูลู , ขนาดสป๊อกยังแอบมีมุกซุบซิบกับเคิร์กตอนท้ายเรื่องเจรจากับเนโร ฯลฯ

รวมทั้ง การสร้างคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนและโดดเด่นของทุกคน ได้รับการเกลี่ยไปอย่างลงตัว เป็น ทีมที่เราอยากพบพวกเขาซ้ำอีกในภาคถัดๆไป



ทีมแคสต์นักแสดงลูกเรือเอนเตอไพรซ์ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะแต่ละคนทำให้แฟนเก่าๆสามารถจูน หน้าเก่า กับ หน้าใหม่ ได้อย่างไม่ขัดเขิน (ยกเว้น เชคอฟ ที่รู้สึกว่า คาแรคเตอร์ เก่า-ใหม่ จะไม่ค่อยใกล้กันเหมือนตัวละครอื่นๆ) ซึ่งตัวนักแสดงแต่ละคนก็ทำการบ้านมาดีด้วย

เพราะขนาด การแสดง ทั้งกวนโอ๊ยและเกรียนแตกของ Chris Pine ก็ทำให้คิดถึง เคิร์กรุ่นเดอะได้อยู่ดี , Zachary Quinto เด่นมากๆ แต่อย่างที่บอกข้างต้น ภาพไซลาร์ฝังหัวจนคิดถึงตลอด เหมือนกับ Simon Pegg ที่ผมสลัดภาพของเขาจากหนังตลกชั้นดี Shawn of the Dead กับ Hot fuzz ไม่ออกเลย

และถ้าใครชอบ John Cho ชาวเอเชียคนเก่งบนยานต้องไม่พลาดหนังที่เขาเคยแสดงอย่าง Harold & Kumar Go to White Castle ที่ งี่เง่ากับอุบาทว์มาก บ้ามาก แต่ก็ฮามากเช่นกัน (ภาคสองออกแผ่นแล้วแต่ไม่รู้จะฮาหรือเปล่า Harold & Kumar Escape from Guantanamo Bay)

ยังมีสองนักแสดง ที่คอหนังรุ่นคุณลุงคุณน้าต้องดีใจที่เห็นเขาและเธอกลับมา แถมยังมาเป็นแพ็กเก็จแม่ลูก หนึ่งคือ สป็อคต้นตำรับ - Leonard Nimoy กับ สาวสวยที่ดวงการแสดงเหมือนดาวตก - Winona Ryder




... อีกส่วนที่ไม่ปรบมือให้ไม่ได้ คือ งานด้านเทคนิก โดยเฉพาะ CG สมศักดิ์ศรีหนังอวกาศยุคใหม่ และ ที่ดีมากๆคือ ความไฮเทคล้ำสมัยมันไม่หลอกตาเป็นการ์ตูนเหมือนกับ Star wars ที่ดูเด่น แต่เหมือนหลุดออกจากโลกที่เราอาศัยจนไม่สมจริงเมื่อมีคนอยู่ในฉาก งานด้านเสียงก็เฟี้ยวฟ้าวอลังการชนิดที่ว่า ไม่ดูในโรงถือว่า น่าเสียดายเอามากๆ



... ความสามารถในการกำกับของ J.J. Abrams โดดเด่นในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ตอกย้ำยี่ห้อ JJ ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นการที่ หนึ่ง เขาเอาหนังฟอร์มยักษ์ได้อยู่มือ เป็นผู้กำกับที่ไว้ใจได้ในการมอบเงินก้อนโตเพื่อไปถลุงสร้างหนังฟอร์มใหญ่ๆซักเรื่อง

และ สอง เขาทำหนังได้ถึงในทุกอารมณ์ที่ต้องการนำเสนอ ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นสุด ซึ้งก็ซึ้งน้ำตาซึม ขำก็ขำจริงไม่ใช่ขำเฝื่อนๆ หรือ ใช้สมองก็ต้องรีดรอยหยักเกือบหมดหัว

ดูตัวอย่างที่เห็นชัดๆมากของ Star trek คือ ฉากเปิดเรื่อง ที่เนื้อหาก็ไม่ได้ใหม่อะไร เกี่ยวกับ พ่อผู้เสียสละ แต่ เขาทำให้เราได้ลุ้นแล้วเชื่อในความเป็นไซไฟหรือลิเกอวกาศที่หลายคนเรียกได้ภายในไม่กี่นาที จากนั้นก็ทำเอาทั้งตื่นเต้นสลับน้ำตาซึมไปเลยแค่ช่วงเวลาสั้นๆ

จากนั้น หนังก็เข้าสู่รูปแบบความเป็นหนังสตาร์เทร็คเวอร์ชั่นเก่าๆก็ประมาณว่า มี ปัญหา มีสถานการณ์ที่ต้องแก้ไข และ กัปตันเคิร์ก กับ สป๊อค ก็จะเป็นเพื่อนคู่ซี้รู้ใจที่ใช้จุดเด่นของแต่ละคนเข้าแก้ไขปัญหา ทั้งความกล้าฉลาดและความช่างเหตุผลจนไร้อารมณ์

เพียงแต่ ครั้งนี้ ทั้งคู่ยังไม่ใช่เพื่อนรักผู้รู้ใจ แต่ยังเป็น คู่กัด ที่ฝั่งหนึ่งหมั่นไส้ความเจ้าเหตุผลจนเหมือคนไร้หัวใจ ส่วนอีกฝั่งก็ไม่พอใจกับความฉลาดแกมโกงนิดๆกับลีลาเกรียนได้ใจของอีกคน

หนังปูพื้นให้เห็น การเติบโตของเคิร์กตั้งแต่วัยเด็ก เห็น ความห่ามมุทะลุ และ การเติบโตของ สป็อค ที่โดนดูถูกเพราะเป็นเลือดผสม (วัลแคน+มนุษย์) ก่อนจะโคจรมาเจอกันที่ สตาร์ฟลีท โดยมีจุดร่วมที่ต้องเผชิญหน้าคือ วายร้ายที่ชื่อ นีโร ที่รับบทโดย อีริค บาน่า ซึ่งผมคิดว่าการเปล่งรัศมีโหดของแกดูเข้าที เรื่องหน้าเขาน่าจะลองหาบทร้ายเล่นอีกซักเรื่อง



... ตัวละครหลักทั้งสามคน (เคิร์ก , สป็อค , นีโร ) ถูกออกแบบ โครงสร้างทางจิตใจที่มีจุดเหมือนและแตกต่างได้น่าขบคิด โดยเฉพาะตัวร้ายที่ไม่ได้เป็นผู้นำมาจากไหน เป็นเพียงคนใช้แรงงานธรรมดาๆ และ เป้าหมายก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อยากครองจักรวาล หากแต่มาจาก การสูญเสีย

ชายหนุ่มทั้งสามคน มีปมของความแค้นหลังการสูญเสียเหมือนๆกัน คนหนึ่งสูญเสียภรรยา อีกคนสูญเสียพ่อ และ อีกคนสูญเสียแม่

จากความสูญเสีย นำไปสู่ ห่วงโซ่ของความแค้น

แต่เพราะความหมกมุ่นกับความแค้นจนชีวิตไม่เหลือเนื้อที่ให้สิ่งอื่น คอยใช้อารมณ์นำทางทำทุกอย่างแม้จะเห็นว่ามันอาจนำมาซึ่งความวายป่วงของตัวเอง(ยิงยานที่บรรจุสสารแดง) จึงชักนำให้ นีโร กลายเป็นวายร้าย

ตรงข้ามกับ ชายที่ใช้ชีวิตโดยใช้สัญชาติญาณนำหน้าอยู่บ่อยๆ ที่มี ชายอีกคนที่ใช้ความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าความรู้สึก มาคบเป็นเพื่อน และ มองเห็นแสงสว่างของชีวิตมากกว่าจมปลักอยู่กับความมืดในความแค้น

ดังนั้น ถึงในใจของตัวละครทั้งสามจะอัดแน่นด้วยความแค้น แต่เมื่อ ฝั่งหนึ่งมีมิตรภาพกับความไว้ใจ ในขณะที่อีกฝ่ายมีแต่ความโดดเดี่ยว ก็คงไม่ต้องเดาว่าบั้นปลายจะเป็นเช่นไร



... ข้อดีมากมายในหนังเรื่องนี้ ส่งให้ Star Trek เป็นหนังตลาดในแง่ของการเข้าถึงคนหมู่มากที่มีคุณภาพสูง ชนิดที่เรียกว่า ถ้าให้มองหาข้อเสียแบบน่าติในหนังเรื่องนี้ ผมแทบจะหาไม่เจอ แต่ยังพอมองเห็น จุดที่น่าเสียดายที่ถ้าทำดีกว่านี้อีกสักนิด ภาคดราม่าของหนังน่าจะทำให้หนังติดตรึงใจคนดูมากขึ้น นั่นคือ พัฒนาการของตัวละครเคิร์ก ที่ดูก้าวกระโดด ขาดช่วง ไม่เหมือน สป๊อค

สป๊อค วัยเด็กโดนดูถูก รักแม่ แค้นใจ โตขึ้นตอบโต้สภาว่า ฉันเก่งแค่ไหน ก็ไม่ไปอยู่ด้วยหรอก และ ทุกครั้งที่เห็นหน้าสป๊อคทำให้เราเข้าใจชีวิตเขาแบบเข้าถึง

ส่วน

เคิร์ก วัยเด็กโตมาแบบไม่มีพ่อ --> ก่อเรื่อง --> เข้าสตาร์ฟลีต แต่ละช่วงเราเห็นแต่พฤติกรรมกวนๆเกรียนๆไม่รู้ความคิดของตัวละครแล้วจู่ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเลย

ถ้าหนังบอกความรู้สึกนึกคิดก่อนเข้าสตาร์ฟลีตให้เราเห็นบาดแผลในวัยเด็กสักนิด เพิ่มน้ำหนักในการกระทำ น่าจะดีกว่านี้ เช่น ความกดดันที่ต้องตามรอยพ่อผู้ยิ่งใหญ่ หรือ ความคิดว่า ฉันจะทำดีไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายตายไปลูกก็เดือดร้อน จนกลายเป็นคนเลือดร้อนก่อเรื่องไปทั่วในตอนแรก

ต่างกับ สป๊อค ที่เราเข้าใจว่า เขาโตมากับความรู้สึกนึกคิดอย่างไร แต่ เคิร์ก เราเห็นแต่ด้านพฤติกรรมอย่างเดียว

เช่นเดียวกับตอนท้ายที่รู้สึกว่า ถึงจะมีวีรกรรมที่น่ายกย่อง แต่ วัยแค่นี้ เพิ่งมาเรียนแค่นี้ จะไม่มีคนที่เก่งกว่าเชียวหรือที่จะรับช่วงต่อเป็นกัปตันยาน



สรุป ... ในแง่ของการเป็นหนังไซไฟตะลุยอวกาศ Star trek ฝีมือ J.J. Abrams คือ หนังที่ออกมาแทบจะไร้ที่ติ เยี่ยมในแง่มอบความบันเทิง เยี่ยมทั้งในแง่ของคุณภาพ เยี่ยมทั้งในแง่ทำให้หน้าใหม่ๆที่ไม่รู้จักสตาร์เทร็คสามารถสนุกติดใจ และ เยี่ยมที่สุดในแง่ของการทำให้แฟนเก่าๆสามารถสนุกและรู้สึกจูนไปกับเวอร์ชั่นใหม่ได้อย่างเพลิดเพลิน

นี่เป็นกระบวนการนำ ของเก่า มาทำใหม่ ได้อย่างสุดเจ๋งประมาณเดียวกับที่ The Dark knight เคยทำได้ เป็นตัวอย่างที่ดีที่ว่า ไม่ว่าจะ remake , reboot , redux หรือ rebok อะไรก็ตาม ถ้าสามารถสร้างแฟนใหม่ๆไปพร้อมชนะใจแฟนเก่าได้ โอกาสประสบความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม

เชียร์ว่าให้ตีตั๋วไปดูในโรงหนัง เพราะถ้าดูเป็นแผ่น คิดว่า อรรถรสความตื่นตาอลังการทั้งภาพและเสียงจะลดลงไปพอสมควร

สำหรับแฟนสตาร์วอร์สอย่างผม เชื่อว่า ใครก็ตามที่ได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นหนังไซไฟอวกาศในโรงครั้งแรก น่าจะเกิดความรู้สึกเดียวกับตอนที่ผมได้รู้จัก สตาร์วอร์ส นั่นคือ ตื่นตาตื่นใจ และ จะขอสมัครเป็นเทร็กกี้คนใหม่ในบัดดล

"Live Long And Prosper" (il_lli)



ป.ล. รอบที่ไปดูมีฝรั่งแต่งชุดลูกเรือเอนเตอไพรซ์ไปด้วย ไม่รู้พี่แกมาโปรโมทหรือเป็นเทร็กกี้ตัวยง เท่ระเบิด

ป.ล. 2 ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ตามข่าวที่ว่า Lost กำลังจะจบเรื่องราวในสองปีข้างหน้า ช่วงเวลาไล่เลี่ยกับ Star trek ภาคสองกำลังจะสร้างต่อ ทำให้ผมจินตนาการถึง Star trek ภาคถัดไปว่า J.J. Abrams น่าจะผูกเรื่องมาด้วยกันเสียให้สิ้นความสงสัยของผู้คนซะที



ถัดจากนี้ Spoil ซีรี่ย์ Lost เล็กน้อย


ในเมื่อ Lost ก็มีเรื่องราวของการเดินทางข้ามเวลา

เป็นไปได้ว่า สตาร์เทร็ค ภาคหน้า ยานเอนเตอร์ไพรส์อาจประสบอุบัติเหตุ ทำให้ข้ามเวลาตกลงไปในเกาะร้าง พบกับ ล็อคและพรรคพวก แล้วจากนั้น หนังก็ค่อยๆย้อนอดีตที่มาของผู้รอดชีวิตแต่ละคน ซึ่งล็อกแอบเห็นใต้ท้องยานว่า รหัสของยานเอนเตอร์ไพรซ์คือ 4 8 15 16 23 42


ไม่ใช่แค่นั้นระหว่างข้ามเวลามา สัตว์ประหลาดจากดาวหิมะที่พระเอกไปเจอที่ถูกจับมาไว้บนยาน ก็ตามมาด้วย แต่ ดันเกิดความผิดพลาดหลุดไปอยู่ในยุค Cloverfield

... ปริศนาทุกอย่างไขกระจ่างแล้ว




Link บทความที่เกี่ยวข้อง

36 ข้อของ Cloverfield กับผมฯ ( โอ้ มายก๊อด โอ้ มายก๊อด โอ้ มายก๊อด โอ้ มายยยยย แอวะ)

Mission: Impossible III , ภารกิจสุดมันส์ที่ขาดเสน่ห์





"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขอฝากหนังสือเล่ม 4 ที่ชวนเพื่อนผู้อ่าน ออกเดินทางสำรวจจิตใจมนุษย์ และ ทำความรู้จัก'คน' ให้มากขึ้น ผ่านโลกภาพยนตร์ ในหนังสือชื่อ มากกว่าที่ตาเห็น - LifeScan วางขายในร้านสือทั่วไป พฤษภาคมนี้จ้า






พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 และ เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป สั่งได้จากในเว็บหรือหน้าร้านซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 11 พฤษภาคม 2552
Last Update : 11 พฤษภาคม 2552 22:20:32 น. 26 comments
Counter : 6736 Pageviews.

 
55+ เรื่องนี้ผมรอแผ่นนะครับ พอดีจะใกล้เปิดเทอมแล้ว


โดย: McMurphy วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:05:22 น.  

 
ขอบคุณมากครับสำหรับบทวิจารณ์ ผมไม่พลาดแน่นอน


โดย: Moviemania IP: 118.174.133.219 วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:17:07 น.  

 
ผมก็ชอบ สถาบันสถาปนามากๆ
อาจเพลินเลย
อยากเห็นเป็นหนังแต่คงทำยากน่าดู

ยังไม่ได้ดู star trek เลย
ไม่ได้เป็น trekki ด้วย
แต่ตั้งใจจะไปดูเหมือนกัน


โดย: Dinar IP: 210.48.222.5 วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:16:26 น.  

 
เป็นเหมือนพี่หมอเลยครับ ไม่ได้เป็นเทร็กกี้ (แต่ชอบสตาร์ วอร์ส)

พอไปดูแล้วกลับชอบครับ จะรอดูภาคต่อต่อไปน่อ

ปล.แล้วพี่JJแกจะกลับมาทำCloverfield 2ต่อมั้ยนี่?


โดย: Apple101 IP: 124.121.108.245 วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:50:39 น.  

 
คุณแฟนอยากดูมากมาย
สงสัยได้เสียตังให้เรื่องนี้แน่ๆ


โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:48:10 น.  

 
ไม่ได้เป็นเทร็คกี้ แต่หนังสนุกมากๆๆ
ดูจบแล้ว อยากวิ่งไปซื้อตั๋วดูอีกรอบเลยครับ อิอิ
ยังไงก็มีอีกรอบแน่นอน และที่ไม่พลาดคือตอนลงแผ่น


โดย: I'm Markuss (I'm Markuss ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:13:35 น.  

 
เห็นด้วยในหลายเรื่องครับ โดยเฉพาะที่ว่า Zachary ยังไม่สลัดภาพ ไซล่าห์ ไปได้หมดนัก ^^
แต่ถ้ามองโดยรวมผมว่านักแสดงทุกคนถือว่าเหมาะทุกบทจริงๆ ส่วนคนที่น่าชมก็คือพี่ J.J. (ไม่ใช่ยี่ห้อกางเกงนะ) ผู้กำกับนี่แหละ "ปลุกผี" หนังอวกาศครั้งใหญ่จริงๆงานนี้ นอกจากภาคต่อที่คิดว่าน่าจะมีในอนาคตแล้ว ก็คงเป็นกระแสหนังอวกาศที่น่าจะกลับมาเป็นที่นิยมวงกว้างอีกครับ

ถือเป็น The Dark Knight แห่งปี 2009 ด้วยความ “ยอดเยี่ยม” ในทุกด้านจริงๆสำหรับ Star Trek ภาคนี้

ปล.มีใครฮาฉาก "โบนส์" เดินไล่ฉีดยาให้ "เคิร์ก" เหมือนผมไหมเนี่ย ^^


โดย: negima_xx วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:25:09 น.  

 
โห โยงได้สุดยอดมากครับ


ผมเพิ่งติดตามผลงานของผู้กำกับคนนี้

ตอน Cloverfield


ส่วนเรื่องนี้ ดูแล้วครับ แต่อยากดูอีก


โดย: atom IP: 124.121.113.174 วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:38:06 น.  

 
Lost ss 5 ใช่เรื่องเวลาในการเล่าได้เทพสุดๆครับ


โดย: Ghoeby วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:54:56 น.  

 
+ เขียนซะอ่านเพลินอีกแล้วอ่ะครับ ... ผมก็ไม่เคยดู Star trek ซักภาคมาก่อนเหมือนกัน (แอบคิดว่ามันดูเชยๆ สู้ Star wars ไม่ได้ ... ทั้งๆ ที่หลายๆ เทคโนโลยีในเรื่องนี้ก็มาก่อนเวลาที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ) ... ก็ขนาดแค่อ่านสกู๊ปในนิตยสารหนัง ยังคิดเลยครับว่าทีมแคสติ้งเก่งจริงๆ ที่สามารถหาคนที่ทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงนักแสดงคนเก่าในภาควัยดึกได้ขนาดนี้ ผกก.เจเจ ก็ยังคงเจ๋งได้ใจเช่นเคยอ่ะครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:58:40 น.  

 
ใบปิดหนัง เห็นหน้าพระเอกแล้วน่ากลัวกว่าแฮะ
นึกว่าไอ้โรคจิตเหนือมนุษย์ 55


โดย: โปงลางคุง IP: 124.122.135.9 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:21:54 น.  

 
ดู star trek เวอร์ชั่นหนังใหญ่จาก vdo
ชอบทุกภาคเลย
แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้เลย - -"
ภาคนี้จึงตั้งใจจะไปดู
และยิ่งพอได้เห็นคุณหมอเชียร์ขนาดนี้
ยิ่งทำให้รู้สึกว่าพลาดไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณที่รีวิวให้อ่านครับ ^O^


โดย: gonz IP: 118.173.54.122 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:14:06 น.  

 
ชอบมากๆเหมือนกันค่ะ โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยดู สตาร์ เทรค เลย แต่เป็นแฟนสตาร์ วอร์ส
ตามดูผลงาน JJ เหมือนคุณหมอเลย เพราะเราชอบ Lost มากกกๆๆๆๆ

จะตามอ่านรีวิวต่อๆไปนะคะ
โดยเฉพาะรีวิว Lost SS5 ที่กำลังจะจบแล้ว ^^

ปล.เราก็ว่าแล้ว ทำไมฉากสป๊อคบีบคอมันถึงได้ดูคุ้นๆ+น่ากลัวเป็นพิเศษ
ที่แท้ก็เหมือนใน Heroes นี่เอง


โดย: pHH IP: 124.122.10.140 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:58:24 น.  

 
หนังฉลาดในการเล่าเรื่อง แล้วก็ emotional สูงมากๆ มีซีนอารมณ์ที่ทำได้ดี แต่หนังไม่มันส์ครับ ค่อนข้างน่าเบื่อบางช่วงด้วย แต่ถือว่าแนะนำตัวละครและปูเรื่องได้ดี สงสัยคาดหวังไปหน่อยเพราะคะแนนมันสูงเหลือเกิน


โดย: joblovenuk วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:28:55 น.  

 
ผม เองก็ไม่ได้ดู ผลงานกำกับของ J.J. Abrams คือ ซักที มารู้จักก็ตอนดู Cloverfield แล้วชอบเลยดูเรื่องนี้
ดูเรื่องนี้แล้วคุ้มมาก สนุก ไม่หลับ (เพราะโรงมันดัง)
แต่ ผมก็ยังง่วง อยู่ดี ไม่รู้เป็นอะไร ดู Star War ก็เป็น



โดย: Nu IP: 192.168.4.2, 119.42.65.129 วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:32:25 น.  

 
หง่า ... เริ่มด้วย Trekky ไหงมาจบที่ Lost's Code อะครับ

อย่างนี้ต้องไปดู Lost ต่อให้หายอยากครับ ... Review Treky สนุกมากครับ ผมยังไม่ได้ดูเลย


โดย: baddpigg IP: 203.130.134.132 วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:30:55 น.  

 
น้องสาวผมกรี๊ดสป๊อคมาก บอกว่าพี่แกนิ่งๆ ดูโรคจิตดี (แสดงว่า trend หนุ่มหน้าโรคจิตกำลังมาแรง)

ส่วนเคิร์ก น้องสาวผมบอกว่า เท่แต่เกรียนไปหน่อย


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:06:34 น.  

 

โอ้ว อ่านแล้วอยากดูเลยค่ะ


โดย: iSIs_OsiRis วันที่: 16 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:21:42 น.  

 
ผมเป็นแฟน star trekมาตลอดอะ แต่มาเสียความรู้สึกกับภาคnemesisมาก แบบว่าห่วยแต่กสุดๆตอนภาคนี้เข้าฉายเลยลังเลนิดหน่อย แต่พอเพื่อนๆในเฉลิมไทยเชียร์บอกว่ามันส์ ผมก็เลยไปดูและก็ไม่ผิดหวังจิงๆ เสียอย่างเดียวพอดีดู ตจว เลยเป็นพากษ์เสียงไทย แถมโรงหนังคุณภาพไม่ค่อยดูเท่าไหรภาพไม่ค่อยคม ถ้าได้ดูที่ กทม คงมันส์กว่านี้55


โดย: benz IP: 192.168.1.31, 117.47.85.201 วันที่: 16 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:04:20 น.  

 
พูดได้คำเดียว หลังจากดู Star Trek จบ

ตาเจเจเอาอีกแล้ว

ทั้งเรื่องเครื่องดื่ม บริษัทผลิตน้ำสลัดโชว์ (Slusho) แล้วยังมีเรื่อง TIMELINE อีกแน่ะ หรือกี้ฝังหัวกะตาเจเจมากไปเองเนี่ย...

ตาไซลาร์เนี่ย ไม่รู้เขาแสดงดีเกินไปรึเปล่าเนี่ย ดูยังไงก็สมลัดภาพมนุษย์ที่กรีดสมองไม่ออก จับคนบีบคอทีล่ะลุ้น จะโดนกรีดหัวไหมว๊า?

ดนตรีประกอบ ดูแล้วนึกถึง lost ยังไงไม่รู้ค่ะ หรือมัวแต่นึกชื่อ เจเจ เลยนึกถึงแต่ lost แถมยังเพิ่งดู season 5 ตอนจบก่อนเข้าโรงอีกต่างหาก

ป.ล. อยากเห็นคุณหมอรีวิว Lost บ้างอ่ะ


โดย: Vicky IP: 58.9.77.24 วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:17:27 น.  

 
ดูเพลินๆ จนหลับเลย สะงั้น ^ ^


โดย: pupjang IP: 58.8.106.115 วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:21:51 น.  

 
ชอบสถาบันสถาปณา 3 เล่มแรกมากๆ เหมือนกันครับ เอิ๊กกก


review ตอนท้ายนี่เขียนได้โดนใจมากเลยครับ
ผมรู้สึกเหมือนกันเลยครับว่า
พระเอกได้เป็นกัปตันง่ายๆ ไปหน่อย
ไม่มีคนอื่นเลยเหรอ และก็การพัฒนา
ของพระเอกมันกระโดดๆ ไปนิด

แต่โดยรวมชอบมากครับดูสนุกดี

ปล.ไม่ได้เป็นแฟน star trekk เหมือนกันครับ


โดย: lkunl IP: 146.23.250.105 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:54:39 น.  

 
เพิ่งไปดูมาวันนี้เอง หนุกๆ


โดย: concept IP: 125.25.85.184 วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:48:12 น.  

 
First officer ก็ต้องขึ้นเป็นกัปตันแทน ถ้ากัปตันตัวจริงปฏิบัติงานไม่ได้ ถูกแล้วครับ

ส่วนตอนจบที่ได้เป็นจริงๆ นั่นเพราะว่า ยานอื่นๆ พังไปหมดแล้วแต่ตอนต้นเรื่อง อีกอย่างคนที่ได้รับเลือกให้อยู่บน Enterprise ก็จะเป็นคนที่เป็นสุดยอดอยู่แล้วครับ จึงไม่แปลกอะไร

ป.ล. กัปตันไม่ได้มีตำแหน่งสูงๆ นะครับ พวกตำแหน่งสูงๆ นั่นทำงานนั่งโต๊ะครับ


โดย: cwt IP: 125.24.177.181 วันที่: 7 มิถุนายน 2552 เวลา:12:26:43 น.  

 
ผมเฉยๆครับ สนุปานกลาง ไม่ประทับใจอะไร ทั้งที่ชอบ Star Wars(4,5,6) มาก

แต่ก็ชอบหลายอย่างเหมือนกัน เช่น บรรยากาศหนัง ที่ทั้งเชยและทันสมัย + การเลือกดาราที่ลงล็อกมาก อดคิดถึงหน้า โจนาธาน ไพรซ์ ไม่ได้ทุกที และอีกอย่างที่ชอบคือการสร้างโลกส่วนตัวของ เจเจ ครับ น้ำดื่มสลัชโช่ก็มี หรือสัตว์ประหลาดตัวแดงๆนั้น แว่บแรก ผมนึกถึงก็อตซิลล่าใน Cloverfield ทันที แถมไอ้หมีขาวใน Lost อีก

แต่ที่ไม่ประทับใจ ก็เพราะรู้สึกว่า หนังเจ๋ง แต่ไม่สนุกครับ แต่ละฉากไปแบบรีบๆมาก ฉากแอ็คชั่นเจ๋ง แต่สั้นและไม่มันส์นัก

หรือผมอาจไม่ถูกจริตกับ เจเจ บนจอใหญ่มั้ง MI3 ก็สนุกปานกลานค่อนไปทางเฉยๆ ส่วนหนังในดวงใจอย่าง Cloverfield...ไอเดียมาจากเจเจ แต่แม็ตต์ รีฟส์ กำกับครับ


โดย: tHe cH@mp IP: 110.169.34.54 วันที่: 21 มิถุนายน 2552 เวลา:3:11:43 น.  

 
ไม่ชอบหนังสงครามอวกาศ ยิ่งstarwar นี่เกลียดมาก เฟค ไม่อินเลยครับดูแล้วง่วง หนังอวกาศที่น่าเชื่อถือคงเปน space odessey มั้งครับที่ติดตาติดใจ
แต่กับเรื่องนี้ ใช้ได้เลยน่ะ เรื่องบท ความสนุก ดราม่า ก้อคละๆๆกับแอคชั่น น่าเสียดายที่ไม่เคยรดูเรื่องตัวละครแต่ละตัวมาก่อน ไม่งั้นนน่าจะรู้ปม การปูเรื่องของตัวละครปัจจุบัน แบบ batman begin แบบนี้อ่ะ เจ๋ง ทำไมหลังๆๆดูหนังแอคชั่นไม่สนุกเลยครับ หรือเพราะแก่ไปหมดความตื่นเต้นกับมุขยิงกันเดิมเดิม อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจังแฮ่ะ แบบดูหนังจีนยิงกันมันส์มาก ผสมดราม่ายิ่งเจ๋งแบบ เจาะเหลี่ยมกะโหลก แบบนี้


โดย: tan812@hotmail.com IP: 192.168.50.231, 58.9.145.191 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:19:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.