... มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ถูกออกแบบมาให้มีชีวิตที่ดีได้ทั้งในสภาวะ โสด หรือ มีคู่
เพราะตั้งแต่แรกเกิด เราก็เกิดมาแบบโสดแล้วอยู่รอดมาได้เกินสิบปี จนถึงช่วงวัยหนึ่งที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย ฮอร์โมน ทั้งสภาพจิตใจ ฯลฯ มันกระตุ้นให้เราพร้อมมีคู่ ถ้าเจอคนถูกใจเราก็เลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตโสดต่อหรือจะหาทางเปลี่ยนสถานภาพ
สถานะโสดหรือมีคู่ จึงบอกคุณสมบัติสำคัญของมนุษย์อีกข้อคือ เสรีภาพในการใช้ชีวิต เพราะมันเปิดโอกาสให้เราทุกคนเลือก ได้ (แต่จะสำเร็จหรือไม่ มันก็อีกเรื่องนึง :P)
มันไม่ใช่ความเป็นเพศ ไม่ใช่สัญชาติเกิด ที่ติดตัวมาโดยเราไม่มีสิทธิเลือก
มันคือธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์หรือ Human nature
**
(2)
... ในโรงแรมชีวิตคู่มีกฎตั้งไว้ว่าถ้าไม่สามารถหาคู่ได้ภายในวันที่กำหนด คนที่เป็นโสดจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสัตว์
ในป่าชีวิตโสด มีกฎตั้งไว้ว่าถ้าเริ่มมีการคบกันหรือเริ่มมีคู่จะโดนลงทัณฑ์
ทั้งสองแห่งจึงไม่ต่างกัน และมันก็เหมือนกับประเทศโอเชียเนียในนิยาย 1984 ที่มีกฎว่าคนสองคนจะใช้ชีวิตคู่ได้ก็เพื่อรับใช้พรรคไม่ใช่เพราะรักกัน หรือมีเซ็กส์ก็ห้ามมีความพึงพอใจ เพราะจะถือว่าเป็นอาชญากรรม
โรงแรมชีวิตคู่ , ป่าชีวิตโสด และ ประเทศโอเชียเนีย คือสังคมจำลองของการฝืนธรรมชาติมนุษย์
ที่ว่าฝืน เพราะวันนี้อาจจะแฮปปี้ที่โสดแต่พรุ่งนี้อาจเจอคนถูกใจแล้วอยากมีคู่มันคือ ธรรมชาติของเราที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงสถานภาพ ธรรมชาติของเราที่เรามีสิทธิที่จะเลือกใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องถูกลงทัณฑ์
การกำหนดบทลงโทษในสังคมข้างต้น นอกจากจะแสดงถึงการฝืนธรรมชาติมนุษย์ ยังเท่ากับการจำลองของรูปแบบสังคมเผด็จการที่ลิดรอนสิทธิในการเลือก ใช้ชีวิตของประชากร
**
(3)
... ดังนั้นหากวันหนึ่งที่คุณหลงเข้าไปเช็คอินในโรงแรมชีวิตคู่ ,หลงทางเข้าป่าชีวิตโสด หรือ นั่งเครื่องบินแวะไปเที่ยวโอเชียเนีย แล้วเจอคนที่ทำผิดกฎของสังคมนั้นๆอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าคนๆนั้นชั่วหรือเลว อย่าด่วนเห็นดีเห็นงามกับการลงทัณฑ์
เพราะเรามักเคยชินกับความเชื่อว่า คนทำผิดกฎ คือ คนมีปัญหาด้านการเคารพกติกาหรือมีปัญหาด้านศีลธรรม(morality)
แต่ไม่แน่เสมอไปหรอกครับ เพราะถ้าคุณเข้าอยู่ในสังคมที่สร้างกฎหรือกติกาขึ้นมาแบบฝืนธรรมชาติมนุษย์
การฝ่าฝืนกฎในสังคมเหล่านั้นไม่ใช่เพราะประชากรมีระดับศีลธรรมต่ำ แต่เพราะพวกเขาต้องการใช้ชีวิตแบบมนุษย์พึงมี ต้องการใช้ชีวิตตามคุณสมบัติที่มนุษย์มีเหนือกว่าสัตว์ป่า
นั่นคือการใช้ชีวิตแบบมีเสรีภาพทั้งในการเลือกสถานภาพหรือการแสดงออก
ปัญหาจึงไมได้อยู่ที่ศีลธรรม แต่ปัญหาอยู่ที่วิธีคิดของผู้นำและกฎที่สังคมนั้นสร้างขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ หากลองทำแบบสำรวจในสังคมแบบเผด็จการที่ตั้งกฎกติกาแบบฝืนธรรมชาติมนุษย์เราอาจพบอัตราการใช้ชีวิตแบบลักลอบ , เสแสร้ง , ปากว่าตาขยิบ ฯลฯ สูงกว่าสังคมทั่วไปเหมือนกับที่เกิดขึ้นในโรงแรมชีวิตคู่ , ป่าชีวิตโสด หรือ ประเทศโอเชียเนีย
เพราะประชากรจำนวนหนึ่งต้องเอาตัวรอดจากบทลงโทษที่ลดทอนความเป็นมนุษย์อันแสนพิลึกพิลั่น
**
(4)
... กลับมาที่เรื่องชีวิตโสดและ ชีวิตคู่
จริงอยู่ว่าคุณอาจเคยได้ยิน คนรักความโสดบอกว่า โอ้ยโสดนี่ดีจะตาย อยากทำอะไรเราก็ทำได้ มีอิสระเสรี ส่วนคนรักชีวิตคู่บอกว่าโอ้ย มีคู่ซิคะคุณขา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมีปัญหาก็มีคนคอยช่วยเหลือดูแล
สิ่งเหล่านั้นคือข้อดีซึ่งแต่ละสถานะล้วนมี เป็นข้อดีในตัวของมัน เพียงแต่ไม่ใช่ว่าอะไรดีกว่ากัน
แต่มนุษย์มักจะรู้สึกว่าสถานภาพหนึ่ง(โสด/คู่)ดีกว่าอีกสถานภาพหนึ่งเพราะ==เราเริ่มรู้สึกไม่มีความสุข== ในสถานภาพที่เราเป็นอยู่
อาจจะไม่มีสุข เพราะ
- - เราเป็น มนุษย์โสด ที่อยู่รายล้อม มนุษย์คู่ จำนวนมากจนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองผิดธรรมชาติ
- - เราเป็น มนุษย์โสดที่ถูกค่านิยมใกล้ตัวกดดันและคาดหวังให้มีคู่
- - เราเป็น มนุษย์คู่ แต่รู้สึกอึดอัดกับการใช้ชีวิตร่วมกับคนรัก
- - เราเป็น มนุษย์คู่ ที่ทุกข์กับการถูกคนรักทำให้ช้ำใจ
ฯลฯ
มันจึงไม่ใช่เรื่องว่าโสดหรือคู่ดีกว่ากันแต่มันคือเรื่องของการปล่อยให้ สังคมภายนอก มามีอิทธิพลจนทำให้เรารู้สึกผิดธรรมชาติ และมันคือเรื่องของปัญหาการใช้ชีวิตที่ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วก็พยายามหาข้อดีของอีกอย่างมาชูให้ดูเหนือกว่า
แถมบางครั้งเราดันไปเจอ มนุษย์ข่มที่ชอบหาข้ออ้างให้ตัวเองสบายใจจึงยกสถานภาพที่เป็นอยู่ว่าดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ จนเรารู้สึกแย่ที่ไม่เหมือนเขาแต่แท้จริง อาจเป็นเพราะลึกๆแล้วเจ้าตัวพยายามข่มเพราะอยากเปลี่ยนสถานภาพแต่ทำไม่สำเร็จ
**
(5)
... หนึ่งในสิ่งเสียเวลาที่สุดของมนุษยชาติ จึงเป็นการเสียเวลาไปกับการพยายามมาหาคำตอบว่า โสดหรือ คู่ ดีกว่ากัน
การพยายามอ่านบทความประเภท ข้อดี 7 ประการของความโสด, ข้อดี 12 ประการของการแต่งงาน ฯลฯ ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้นอย่างแท้จริงนอกจากจะช่วยปลอบใจบ้างเป็นครั้งคราว
เพราะถ้าเราเข้าใจว่า มนุษย์เกิดมาด้วยความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะโสด ßà คู่ได้จนช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต
อาจจะถูกกดดันจากค่านิยมสังคม ถูกกดดันจากครอบครัว ถูกกดดันจากลมหนาว ฯลฯ แต่สุดท้ายแล้วมันเป็นสิทธิของเราที่จะเลือก
โสดก็เหงาได้ คู่ก็เหงาได้
โสดก็สุขได้ คู่ก็สุขได้
ฯลฯ
ดังนั้นตราบใดที่เราไม่ได้หลงไปอยู่ในสังคมที่พยายามฝืนธรรมชาติมนุษย์ แล้วเราเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ เมื่อเรารู้ทันต้นเหตุของความสุขหรือทุกข์
เมื่อนั้นเราก็จะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสถานภาพโสดกับคู่อีกเลย
****
หมายเหตุ : บล็อกนี้ได้แรงบันดาลใจจากหนัง The Lobster (โรงแรมชีวิตคู่/ป่าชีวิตโสด) และบทสนทนาของวัยรุ่นสามคนที่เผลอได้ยินขณะเข้าห้องน้ำหลังดูหนังจบ
คนแรก: "เหี้ย ไม่รู้จะอธิบายยังไง หนังมันเรื่อยๆนะ"
คนสอง : "เออ กูก็ไม่รู้ว่าจะเขียนรีวิวยังไงเลย"
คนสาม : "กูว่ามันเกี่ยวกับความรัก แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ มันเป็นหนังที่แนะนำคนอื่นๆไม่ค่อยได้หวะ"
ตอนดูหนังตั้งใจว่ารอหนังออกเป็นแผ่นแล้วดูอีกรอบแล้วค่อยเขียนถึง แต่พอได้ยินก็คันมืออยากตอบน้องๆทั้งสามคนในห้องน้ำ เลยเขียนไว้นิดนึงก่อนละกัน เผื่อบังเอิญได้แวะมาอ่าน