Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 一》 四十六(๔๖)


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๑ - ตอนที่ ๔๖

๑๐ เมษายน ๒๕๕๑ / ปรับปรุงแก้ไข :


๔๖-๑


จิ่วเกอ พวกเราจะมั่นใจ(把握)มากนักไม่ได้หรอกนะ” จางทังเตือน

“จะวิตกไปทำไมกัน ในเมื่อจิ่วเกอก็มีพระบรมราชโองการ(诏书)อยู่ในมือไม่ใช่เหรอ แค่เราเอาออกไปประกาศอย่างเปิดเผย(宣布)ต่อหน้าสาธารณะชน ใครกล้าที่จะไม่ยอมรับ ใครกล้าที่จะไม่เชื่อล่ะ” กัวเส่อเหรินบอกจางทังไม่ให้คิดอะไรมาก

“ในเมื่ออะไรก็ปลอมได้ทั้งนั้น แล้วทำไมพระบรมราชโองการจะปลอมบ้างไม่ได้ล่ะ ถ้าไม่เป็นเพราะพระบรมราชโองการปลอม อ๋องเหลียงจะขึ้นครองราชย์ได้เหรอ”

“ของแบบนี้ ของจริงจะให้ปลอมยังไงก็ไม่เหมือน ส่วนของปลอมก็ปลอมอยู่วันยังค่ำ เอาไว้ถึงเวลานั้นก็เอาของพวกเราไปเทียบกับของเค้า เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจริงใครปลอม” ก้วนฟูเชื่อว่าไม่มีอะไรให้ต้องน่าวิตก

“เจ้าคิดว่าใครเค้าจะเอามาให้เจ้าเทียบ หวงไท่โห้วจะทรงเปิดโอกาสให้พวกเราพูดได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ” ผิงหยางกงจู่ตรัสขึ้น

“หม่อมฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะทรงอุดปากพวกเราหลายคนไว้ได้”

หลี่หลิงเอ่ยขึ้นบ้าง “อุดหลายปากไม่ใช่เรื่องง่ายๆก็จริง แต่ได้ยินท่านปู่บอกว่าทรงเรียกกองกำลังรักษาวังหลวงไว้หมื่นกว่านายแล้ว”

ไท่จื่อได้ยินแล้วถึงกับรำพึง “โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม(公道)แล้วหรืออย่างไรกัน”

จางทังเอ่ย “ความยุติธรรมเหรอ..ความยุติธรรมยังไงก็สู้อำนาจ(强权)ไม่ได้อยู่ดี ในวังหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะมีใครรู้บ้างล่ะ ถึงคนทั่วทั้งแผ่นดินจะรู้ แต่ว่าสุดท้ายคนอื่นก็ได้ขึ้นเป็นหวงตี้ไปแล้ว”

ผิงหยางกงจู่ตรัส “หรือว่าพระพินัยกรรม(遗诏)ของเสด็จพ่อจะใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว พวกเราจะมองดูความพ่ายแพ้(死局)ตั้งแต่ยังไม่เริ่มอย่างงั้นนะหรือ งั้นเฉาโซ่วของพวกเราล่ะเท่ากับตายฟรีเหรอ”

“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก..แม้ต้องตายข้าก็จะไม่ยอมแพ้” ไท่จื่อเอามือทุบโต๊ะ “เวลานี้คนๆหนึ่งที่ข้าคิดถึงมากที่สุดก็คือตงฟางซั่ว

“เค้านะเหรอ..ถึงเค้าอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี(束手无策)” จางทังปรามาส

“ใครบอกล่ะ ที่ข้าเข้ามาในเมืองฉางอันได้สำเร็จก็ล้วนเป็นเพราะถุงผ้าปักลาย(锦囊)ของเค้า ตอนนี้ถ้าหากว่าเค้าสามารถให้ถุงผ้าปักลายแก่ข้าได้อีกสักถุงก็คงจะดีทีเดียว”

ตงฟางซั่วงั้นเหรอ” หลี่หลิงดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จิ่วเกอ ตอนที่เค้าทำนายให้ข้านั้นดูเหมือนเค้าจะให้ถุงผ้าปักลายกับข้าไว้ถุงหนึ่ง”

“แล้วถุงผ้าอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ” ไท่จื่อรีบถาม

หลี่หลิงหยิบถุงผ้าปักลายที่เก็บไว้ในเสื้อออกมา “ข้ายังไม่ได้เปิดออกดูเลย”

ไท่จื่อรีบรับถุงผ้าปักลายมาเปิดออกดู แล้วหยิบกระดาษที่อยู่ข้างในออกมาเปิดอ่าน ในกระดาษได้เขียนเอาไว้ว่า หลี่กว่างจัดการ”

หลี่กว่าง..ก็ปู่ของเจ้าไม่ใช่เหรอ”



๔๖-๒


พลทหารสี่นายเดินนำถาดใส่เงินทองเข้ามายืนต่อหน้ากองทหารรักษาวังหลวง จากนั้นโต้วอิงก็ประกาศต่อหน้านายทหารที่ได้รับคำสั่งให้เข้ามารักษาความสงบในวังหลวงให้ได้ยินทั่วกันว่า

“พวกท่านทุกคนล้วนเป็นนายทหารระดับสูงของกองทหารรักษาวังหลวง ทำหน้าที่ปกป้องเมืองคุ้มกันอารักขาวังหลวง ได้รับความเหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน นี่คือรางวัลที่หวงไท่โห้วทรงประทานให้กับพวกท่านทุกคน”

นายทหารคนหนึ่งได้เอ่ยกับโต้วอิง “พวกเราไม่มีผลงานไม่อาจรับรางวัลเอาไว้ได้”

“ที่ได้รับรางวัลเพราะว่าจะต้องมีผลงาน เอาไว้หวงตี้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เมื่อไรก็จะมีการตบรางวัลตามความดีความชอบให้พวกท่านอีกด้วย”

นายทหารอีกคนได้เอ่ยถาม “ในเมื่อไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าอยากทราบว่าหวงตี้องค์ใหม่คือใคร”

“แน่นอนว่าต้องมาจากเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดที่ได้รับการคัดเลือกจากหวงไท่โห้ว ตอนนี้ยังคงเป็นความลับเฉพาะอยู่ พวกเราจะต้องหนักแน่นเข้าไว้ ใครได้ขึ้นเป็นหวงตี้ พวกเราก็จะต้องจงรักภักดีกับผู้นั้น ใครให้พวกเรามาเป็นนายทหารรักษาวังหลวงกันล่ะ ขอให้พวกท่านชักดาบออกมา(拔剑) ข้าจะกรีดเลือดสาบานกับพวกท่าน” พูดจบโต้วอิงก็ชักดาบออกมากรีดข้อมือตนเอง



๔๖-๓


“ทำไมเจ้าเพิ่งจะกลับมา” หลี่กว่างทักหลานชาย

“ท่านปู่ ท่านโดนหลอกเข้าแล้วล่ะ”

“เรา..หลิวเช่อขอคารวะท่านนายพลอาวุโส”

“ไท่จื่อ ท่านคือไท่จื่อจริงๆด้วย แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงกัน”

“สมัยที่เราเป็นเด็กถูกเสด็จพ่อส่งตัวมาเรียนและฝึกกระบี่ฝึกยิงธนูกับท่านนายพลอาวุโสที่นี่ ท่านได้พูดกับเราว่า แม้ไท่จื่อจะฝึกกระบี่ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่จะต้องเรียนวิชาที่เอาไว้ต่อกรกับศัตรูนับหมื่น ขอแค่เรียนจนเข้าใจในยุทธวิธีทางทหารและกลยุทธ์การรบ อนาคตข้างหน้าก็จะสามารถบัญชาการนำกองทัพที่เข้มแข็งได้”

“ใช่ ข้าพระองค์เคยพูดเอาไว้”

“ท่านยังบอกอีกว่า เมื่อไรก็ตามที่กำลังทหารของราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอลง จนต้องส่งกงจู่ไปแต่งงานกับซุงหนูนั้น ถือเป็นความอัปยศ(耻辱)ของลูกผู้หญิง เป็นความอัปยศของลูกผู้ชาย และก็เป็นความอัปยศของราชวงศ์ฮั่น ท่านยังได้บอกอีกว่า ถ้าหากเสด็จพ่อไม่ทรงทำศึกกับซุงหนูแล้วล่ะก็ อนาคตข้างหน้าที่เราได้ขึ้นเป็นหวงตี้เราจะต้องทำศึกนี้อย่างแน่นอน”

ได้ยินแล้วหลี่กว่างรีบคุกเข่าลง “ข้าพระองค์ หลี่กว่าง คารวะไท่จื่อ พระเจ้าค่ะ”

“ท่านรีบลุกขึ้นเถิด” ไท่จื่อเข้าไปพยุงหลี่กว่าง

“ถ้าหากท่านปู่เชื่อในคำพูดของไท่จื่อ เค้าจะไม่ใช่เป็นแค่ไท่จื่อ แต่เค้าจะได้เป็นหวงตี้แล้ว” จางทังเอ่ยกับหลี่กว่าง

“ข้าเชื่อๆ เพราะคำพูดพวกนั้นข้าพูดกับไท่จื่อเพียงคนเดียวเท่านั้น การวิจารณ์ติเตียนเรื่องการเมืองในวังหลวงถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม”

จิ่วเกอ ครั้งนี้พวกเราเสาะหาต้นไม้ใหญ่ได้แล้วล่ะ” กัวเส่อเหรินเอ่ยกับไท่จื่อ แล้วหันไปขอบคุณหลี่กว่าง “ท่านนายพลอาวุโสหลี่กว่าง ครั้งนี้จิ่วเกอของพวกเราคงต้องขอร้องท่านให้ช่วยแล้วล่ะ”

“ข้านะเหรอ”

หลี่หลิงพูดสนับสนุนอีกแรง “ท่านปู่ กองทหารรักษาวังหลวงที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้นต่างเชื่อฟังท่านไม่ใช่หรือ”

“เวลานี้กับเวลานั้นเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ ปู่เคยเป็นผู้บัญชาการดูแลกองทหารรักษาวังหลวง ต่อมาก็เป็นลุงของเจ้า จนใครๆต่างพูดว่ากองทหารรักษาวังหลวงเป็นทหารของคนตระกูลหลี่ ตอนนี้ตำแหน่งนั้นก็ไม่อยู่แล้ว สำหรับเรื่องของพวกเจ้านั้นลุงของเจ้าก็ได้เข้าคุกไปแล้ว แล้วตอนนี้ใครจะกล้ามาเปรอะเปื้อนร่วมกับตระกูลหลี่อีกล่ะ”

จางทังได้ยินดังนั้นจึงบอกแผนการณ์ให้ฟัง หลี่กว่างตกใจ

“ว่าไงนะ พวกเจ้าจะให้ข้านำกำลังทหารเข้าก่อความไม่สงบ(兴兵作乱)เหรอ”

จางทังกล่อม “ท่านปู่ ชนะเป็นกษัตริย์แพ้เป็นกบฏ(胜者王侯败者贼) ขอเพียงแค่ไท่จื่อได้ขึ้นครองราชย์ นั่นไม่ใช่การก่อกบฎ แต่เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อย”

“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ข้าเข้าร่วมเป็นทหารตั้งแต่ยังเด็ก ประสบการณ์ในการทำศึกโชกโชน(南征北战) จนได้รับพระราชทานอักษรสี่ตัวนี้จากหวงตี้” หลี่กว่างผายมือชี้ไปยังป้ายที่แขวนไว้บนขื่อ อักษรสี่ตัวนั้นเขียนไว้ว่า 一门忠义(อี้เหมินจงอี้ - ภักดีซื่อสัตย์) “นี่เป็นลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้ ตราบใดที่อักษรสี่ตัวนี้ยังอยู่ ข้าหลี่กว่างจะไม่มีวันยอมทรยศราชสำนักโดยเด็ดขาด”

หลี่หลิงว่าปู่ตนเอง “ท่านปู่ ท่านนี่ช่างดื้อรั้น(死心眼儿)จริงๆเลย อ๋องเหลียงเค้าต้องการจะแย่งชิง(篡)ราชบัลลังก์นะ”

“เหลวไหล อ๋องเหลียงเป็นเชื้อพระวงศ์สกุลหลิว อีกทั้งยังเป็นพระอนุชาของอดีตหวงตี้ อดีตหวงตี้จะมอบราชบัลลังก์ให้กับเค้าก็ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม”

“ท่านปู่...”

ก้วนฟูไม่พอใจ หลี่หลิง เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอว่า เรื่องนี้มาหาปู่เจ้าก็ไม่มีประโยชน์”

“ดี งั้นก็เชิญไปหาผู้ทรงปัญญาคนอื่นเถอะ อย่าให้ธุระที่คิดว่าเหมาะว่าควรของพวกเจ้าต้องเสียเวลาไปล่ะ”

“ท่านปู่ พวกเราค่อยๆเจรจาปรึกษากันดีกว่าไหม” กัวเส่อเหรินประนีประนอม

“ไม่มีอะไรให้ต้องปรึกษาอีกแล้ว ขอไท่จื่อประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วย”

“ท่านนายพลอาวุโสหลี่ บนป้ายที่แขวนไว้บนขื่อนั้น เป็นลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้จริงหรือ” ไท่จื่อถาม

“จริงสิ พระเจ้าค่ะ”

“งั้น ถ้าหากว่าอักษรสี่ตัวของอดีตหวงตี้ไม่ได้อยู่บนป้ายนั้น ท่านยังจะจำลายพระหัตถ์ได้อีกไหม”

“ข้าพระองค์จำได้ดีไม่ผิดเพี้ยน”

“งั้นเชิญท่านลองดูนี่ทีสิ” ไท่จื่อหยิบพระพินัยกรรมออกมายื่นให้

หลี่กว่างหยิบมาเปิดออกอ่าน “พระพินัยกรรมของอดีตหวงตี้นี่ พระเจ้าค่ะ”

“เป็นของปลอมหรือเปล่า”

“ของจริง..เป็นของจริง พระเจ้าค่ะ”

“เมื่อครั้งที่อดีตหวงตี้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงเคยตรัสกับเราไว้ว่า ท่านเคลื่อนพลลาดตระเวนไปทางกำแพงเมืองจีน ได้พบกับพวกซุงหนูดักซุ่มโจมตี(偷袭) แต่เป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากท่านนายพลอาวุโสหลี่ พวกซุงหนูมากมายทั้งคนทั้งม้าวิ่งไล่ต้อนไม่หยุด(穷追不舍) มีท่านนายพลอาวุโสหลี่เพียงคนเดียวที่อยู่รั้งท้าย ยิงธนูสามดอกไปโดนสามนายพลใหญ่ของซุงหนู หนึ่งในคนที่ตายจนตกจากหลังม้านั้นคืออ๋องโย่วเสียน(右贤王)ของซุงหนู

“ไม่นึกว่าอดีตหวงตี้จะยังทรงจำข้าพระองค์ได้ นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว”

“เสด็จพ่อยังตรัสอีกว่า เมื่อราชสำนักเกิดเรื่องหากยังไม่ถึงเวลาที่อับจนหนทางจริงๆก็อย่ารบกวนท่านนายพลอาวุโส แต่ว่าตอนนี้..เราอับจนหนทางแล้วจริงๆ แถมยังไร้สิ้นซึ่งความหวัง(山穷水尽)อีกด้วย ขอให้ท่านนายพลอาวุโสได้โปรดเห็นแก่ความรู้สำนึกในบุญคุณ(知遇之恩)ของอดีตหวงตี้ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา โปรดเห็นแก่เราหลิวเช่อที่โดดเดี่ยวไร้ซึ่งอำนาจ และโปรดเห็นแก่การเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินฮั่น เป็นผู้นำในการแสดงพลังอำนาจสักครั้งเถิด” พูดจบไท่จื่อก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้นเพื่อเป็นการขอร้องหลี่กว่างให้ยื่นมือช่วยเหลือ ส่วนคนอื่นๆก็ทำแบบเดียวกันเป็นการกดดันหลี่กว่างอีกแรง

“ไท่จื่อ..จะทรงทำอย่างนี้ไม่ได้นะ” หลี่กว่างลังเลแล้วตัดสินใจคุกเข่าลง “ทรงบอกหม่อมฉันมาก็แล้วกันว่าจะให้หม่อมฉันทำอะไร”



๔๖-๔


บรรดาเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางต่างทยอยเดินเข้าไปคุกเข่าคำนับต่อหน้าโลงพระศพของอดีตหวงตี้ที่ตั้งอยู่กลางท้องพระโรง

อ๋องหวยหนาน(淮南王)คุกเข่าแล้วร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด เมื่อคารวะพระศพเสร็จแล้วหลิวหลิง(刘陵)พระธิดาของอ๋องฮว๋ายหนานก็พยุงบิดาของตนเองให้ลุกขึ้น

“หวงไท่โห้วเรียนเชิญอ๋องหวยหนานไปสนทนากันที่ห้องโถงด้านใน พระเจ้าค่ะ” ขันทีพูดจบก็เดินนำไป

ส่วนที่ด้านนอกเขตพระราชฐานนั้น หลี่กว่างแต่งกายในชุดทหารเต็มยศกำลังเดินนำไท่จื่อกับพรรคพวกที่แต่งกายในชุดพลทหารเดินทางเข้ามาคารวะพระศพ



๔๖-๕


“ลูกหลิง รีบมาคารวะหวงไท่โห้วเร็วๆเข้า” อ๋องหวยหนานเรียกบุตรสาว

หลิวหลิงเดินไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ “ถวายบังคมหวงไท่โห้ว ขอทรงพระเจริญพันปี พันๆปี เพคะ”

เนื่องจากหลิวหลิงแต่งกายไว้ทุกข์รวบผมคล้ายชาย จึงทำให้ไท่โห้วโต้วไม่ค่อยแน่พระทัยนัก “นี่เป็นลูกคนโตหรือคนที่สองกันล่ะ เราก็ตาฝ้าฟางจนจำได้ไม่แม่นแล้ว” ไท่โห้วโต้วหันมาตรัสถามอ๋องหวยหนาน

หลิวหลิงทูลตอบแทนบิดา “กราบทูลหวงไท่โห้ว หม่อมฉันเป็นบุตรคนที่สามของอ๋องหวยหนาน เพคะ”

“คนที่สามหรอกหรือ” ไท่โห้วโต้วแปลกพระทัยหันมาตรัสถามอ๋องหวยหนาน “ท่านมีลูกชายอยู่แค่สองคนไม่ใช่รึ”

“เอ่อ..เค้าคือ..เอ่อ..”

“กราบทูลหวงไท่โห้ว หม่อมฉันเป็นธิดาของอ๋องหวยหนาน เพคะ”

“เราก็นึกอยู่แล้วเชียว ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้มีหน้าตางดงามนัก รีบลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัย เพคะ”

“มา..มานี่..มานั่งลงข้างๆเรา”

“หม่อมฉันไม่บังอาจ เพคะ”

“เราเรียกให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งเถิด มีอะไรให้ไม่บังอาจอีกล่ะ”

หลิวหลิงแอบดีใจอยู่ลึกๆที่หวงไท่โห้วให้การเอ็นดูตนเอง “แต่ว่าบิดาของหม่อมฉันยังยืนอยู่เลยนะ เพคะ”

“ดูสิ เรานี่แกจนเลอะเลือน(老胡涂)แล้ว ท่านอ๋อง ท่านก็นั่งลงด้วยสิ ลูกสาวคนนี้ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ”

“ดื้อมากๆ และยังกระโดกกระเดกอีกด้วย”

ไท่โห้วโต้วทรงพระสรวล “เราชอบเด็กลักษณะนี้แหละ มานี่..มา พบหน้ากันครั้งแรก เราจะให้ของขวัญแก่เจ้า” ไท่โห้วทรงเรียกหลิวหลิงให้เข้าไปหา แล้วถอดพระธัมรงค์จากนิ้วสวมให้แก่หลิวหลิง

“ขอบพระทัย เพคะ”

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันก็หลายปีมาแล้วสินะ”

“หม่อมฉัน ไปปกครองอยู่ที่หวยนานก็นานโข อยู่ก็ไกล เรื่องจุกจิกก็มาก หากไม่ทรงมีพระบรมราชโองการก็คงไม่กล้าที่จะออกจากแคว้น เลยไม่ค่อยได้มาถวายพระพรหวงไท่โห้ว หม่อมฉัน ผิดไปแล้ว พระเจ้าค่ะ” พูดจบอ๋องหวยหนานก็ลุกขึ้นยืนสำนึกผิด ไท่โห้วโต้วมีรับสั่งให้นั่งลง

“จะว่าไป ท่านกับอดีตหวงตี้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก่อนจะจากกันไปสองพี่น้องก็ยังไม่ได้พบหน้ากันสักครั้ง ตอนที่อดีตหวงตี้ประชวรหนักใกล้สิ้นพระชนม์ยังได้เอ่ยถึงท่านอยู่เลย”

“อดีตหวงตี้ทรงมีพระกรุณาธิคุณต่อหม่อมฉันดุจขุนเขา” พูดจบอ๋องหวยหนานก็ร่ำไห้

“บางทีที่หวยหนานถึงมีความสามารถก็ไม่เป็นที่โดดเด่น เอาไว้หลังจากพิธีศพผ่านไปแล้ว ท่านกลับมาอยู่ที่ฉางอันเถิดนะ ดูแลงานราชการ รับภาระที่ไม่ต้องหนักมาก คนรุ่นราวคราวเดียวเช่นท่านที่จะสามารถปรึกษาได้ก็มีไม่มากนัก”

“คนด้อยความสามารถความรู้น้อย(才疏学浅)อย่างหม่อมฉัน เกรงว่าจะทำให้หวงไท่โห้วต้องทรงผิดหวัง”

“ท่านอ๋อง ที่เราเรียกท่านมาในวันนี้ก็เพื่อจะปรึกษาท่านเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เรื่องของไท่จื่อท่านคงทราบดีแล้วใช่ไหม”

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆเลย”

“แผ่นดินไม่อาจขาดหวงตี้ หวงตี้องค์ใหม่ควรจะเป็นใครดีนะ ทุกคนต่างพูดว่าควรจะเลือกคนหนุ่มแต่ดูเป็นผู้ใหญ่(少年老成)จึงจะเหมาะสม” ไท่โห้วโต้วโยนก้อนหินถามทาง

“แล้วคนที่ทรงตรัสถึงนั้น เป็นใครกันพระเจ้าค่ะ”

“แน่นอนต้องเป็นอ๋องที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์คนแซ่หลิว ถ้าไม่ใช่พระเชษฐาของอดีตหวงตี้ก็ต้องเป็นพระอนุชา”

“ไม่ทราบว่าทรงเลือกคนเอาไว้แล้วหรือยัง เพคะ” หลิวหลิงทูลถาม



๔๖-๖


“เจ้า เจ้า และก็พวกเจ้าออกเวรได้” หลี่กว่างสั่งนายทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูพระตำหนักที่ใช้สำหรับตั้งวางพระศพของอดีตหวงตี้

“ส่วนพวกเจ้าไปเข้าเวรแทน” หลี่กว่างสั่งไท่จื่อกับพรรคพวกให้ไปยืนประจำที่แทน



๔๖-๗


อ๋องเหลียงหรือ เพคะ” หลิวหลิงทูลถามเพื่อความแน่ใจเมื่อได้ทราบว่าคนที่ไท่โห้วโต้วทรงเลือกไว้คืออ๋องเหลียง

“ใช่ อ๋องเหลียง พระอนุชาของอดีตหวงตี้ อายุเพิ่งจะสามสิบพอดี ยังหนุ่มยังแน่นกระฉับกระเฉง” ไท่โห้วโต้วหันไปทางอ๋องหวยหนาน

“ท่านอ๋อง ในใจของท่านคิดว่ายังมีผู้ที่เหมาะสมกว่านี้อีกหรือไม่”

หลิวหลิงทำท่าจะกราบทูล แต่ถูกอ๋องหวยหนานส่งสายตาห้ามเอาไว้

“ไม่มี พระเจ้าค่ะ ในเมื่อทรงเลือกอ๋องเหลียง ก็ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว”

ไท่โห้วโต้วเห็นท่าทางอาการของอ๋องหวยหนานแล้วก็เกรงว่าจะดูเป็นการสนับสนุนลูกชายตนเองออกหน้าออกตาเกินไปจึงตรัส “ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่เป็นอ๋องทั้งหลาย ท่านอ๋องดูจะเป็นผู้สูงศักดิ์และมีบารมีที่สุด(德高望重) มังกรที่เปี่ยมด้วยคุณความดีเยี่ยงนี้ ตำแหน่งหวงตี้คงจะหนีไม่พ้นเป็นของท่านอ๋องแล้วล่ะ”

“หม่อมฉัน ขอขอบพระทัยหวงไท่โห้วที่ทรงหยิบยื่นโอกาสให้กับหม่อมฉัน”

หลิวหลิงที่ยืนฟังอยู่รู้สึกงงปนแปลกใจกับคำพูดของไท่โห้วโต้วที่จู่ๆก็พูดเหมือนให้ความหวังกับพ่อของตน





Create Date : 07 ธันวาคม 2550
Last Update : 29 เมษายน 2551 21:11:43 น. 1 comments
Counter : 1852 Pageviews.

 
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ


โดย: เสี่ยวฉิน IP: 58.64.82.57 วันที่: 13 เมษายน 2551 เวลา:15:50:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.