|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
●● อังกฤษอเมริกัน ๒.๐๒๐๑ ●●
ควรเติม for หรือเปล่า **
อีกคำที่ชาวอินเดียมักใช้ผิดเพี้ยนจากภาษาอังกฤษมาตรฐานคือกริยา order ที่แปลว่า สั่ง Order คล้ายกับ request ที่เราเพิ่งได้ดูไปตรงที่ถ้าใช้เป็นกริยาต้องไม่ตามด้วย for เช่น Lets order some starters. = เราสั่งอาหารจานเริ่มแรกกันเถอะ (starter ในที่นี้หมายถึงอาหารซึ่งเสิร์ฟก่อน entre (ออนเทร โดยควบกล้ำเสียง ทร) = จานหลัก) แต่ถ้าเป็นนามที่มีกรรมรับต้องมี for ตามหลัง เช่น I placed an order for cold antipasto. = ฉันสั่ง antipasto แบบเย็นไป (antipasto (แอนทีพาสโต่ว) มีความหมายเหมือนกับ starter แต่ใช้กับอาหารอิตาเลียนโดยเฉพาะ) ไหนๆ เราก็คุยกันเรื่องนี้แล้ว ก็แถมอีกนิดนะครับว่าอาหารที่สั่งมาเรียกน้ำย่อยนี้ บางทีเรียกว่า hors doeuvre (ซึ่งคนไทยนิยมเรียกว่า ออเดิ๊บ และมีวิธีออกเสียงถูกต้องซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดด้วยอักษรไทยได้) ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลตรงตัวว่า นอกเหนือจากผลงานชิ้นหลัก หรือจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า appetizer (แอ๊พผะถ่ายเส่อร์) ก็ได้ มาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านก็คงจะพอมองออกว่าในภาษาอังกฤษมีหลายคำที่พอเติมบุพบทเข้าไปตรงท้ายไม่เพียงแต่บ่งถึงหน้าที่ของคำที่เปลี่ยนไป แต่ทำให้ความหมายของคำนั้นเปลี่ยนไปเลย เช่น answer (แอ๊นเส่อร์ หรือ อ๊านเส่อร์ แล้วแต่คุณจะเอาแบบอเมริกันหรืออังกฤษ) คำง่าย ๆ ซึ่งเราท่านรู้จักกันดีในความหมายว่า ตอบ เช่น answer a question = ตอบคำถาม answer the phone = รับโทรศัพท์ answer the door = ไปดูว่ามีใครกดกระดิ่งประตู เมื่อเติม for เป็น answer for ก็จะกลายเป็นสำนวน มีความหมายว่า ต้องรับผิดชอบ ต้องอธิบายให้ได้ โดยสิ่งที่ต้องรับผิดชอบหรืออธิบายมักจะเป็นสิ่งไม่ดี เช่นความผิดหรือบาป เช่น The guilty will have to answer for their crimes. = ผู้มีความผิดจะต้องรับผิดชอบสำหรับการก่อกรรมทำเข็ญ (หรือจะแปลว่า ความผิดอันอุกอาจ หรือ อาชญากรรม ก็ได้) ของตน You have a lot to answer for. = คุณมีความผิดมากมายที่จะต้องรับผิดชอบ แล้วเมื่อเป็น answer to ความหมายก็จะเปลี่ยนไปอีก เป็น รับผิดชอบต่อ เช่น A politician has to answer to the people. = นักการเมืองต้องรับผิดชอบต่อประชาชน หรือจะใช้ to be answerable to ก็ได้ครับ ความหมายเดียวกัน แต่ใช้วิเศษณ์ answerable (แอ๊นสหระบึ่ล) = พึงรับผิดชอบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติโดยตำแหน่งหน้าที่.
*** Account ที่ไม่ใช้บัญชี **
คราวที่แล้วเราดูคำว่า answerable ในความหมาย พึงรับผิดชอบ ก็เลยทำให้ผมนึกถึงอีกคำซึ่งฮิตในเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อน นั่นคือ accountable (อัคเค้านถะบึ่ล) ซึ่งมักจะแปลกันว่า สามารถตรวจสอบได้ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงได้แปลอย่างนั้น เพราะจริงๆ แล้ว accountable ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบได้ หรืออาจเป็นเพราะว่า account (อัคเค่านท) = บัญชี จึงทำให้คนไทยนึกถึงการตรวจสอบ พอท้ายคำเป็น able ก็เลยแปลมันซะเลยว่า ตรวจสอบได้ จริง ๆ แล้ว accountable มีความหมายใกล้เคียงกับ responsible (เหร็สป๊อนสะบึ่ล) = รับผิดชอบ แต่ accountability (ซึ่งเป็นนาม ออกเสียงว่า อัคเคานถะบิ๊ลหละถี่ หรือถ้าแบบอเมริกันก็ อัคเคานาบิ๊ลหละดี่) ไม่ได้เป็นเพียงความรับผิดชอบธรรมดา แต่เป็นความรับผิดชอบที่สามารถอธิบายให้เป็นที่ยอมรับได้ว่าที่ทำอย่างโน้นอย่างนี้เพราะอะไร และถ้าตัดสินใจผิดพลาดก็ยอมที่จะถูกลงโทษ ถ้าเราต้องการให้มีใครรับผิดชอบสำหรับอะไรบางอย่าง เราก็อาจใช้สำนวน to hold (someone) accountable หรือถ้าเป็น passive voice ก็ to be held accountable เช่น No one was ever held accountable for squandering public money on bogus bomb detectors. = ไม่เคยมีใครถูกนำมารับผิดชอบสำหรับการผลาญเงินหลวงซื้อเครื่องตรวจระเบิดเก๊ (bogus ออกเสียงว่า โบ๊กึส แปลว่า เก๊ ครับ) โปรดสังเกตนะครับว่า account แปลว่า เรื่องเล่า ได้ด้วย เช่น The five witnesses gave different accounts of the accident. = พยานทั้งห้าต่างเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่แตกต่างกัน (คือแต่ละคนมองไม่เหมือนกันว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างไร) ถ้าเป็นกริยา account for (something) ก็แปลว่า อธิบายเหตุผล (อะไรบางอย่าง) หรือ ยืนยันรับรอง เช่น How do you account for your sudden wealth? = คุณอธิบายความร่ำรวยอย่างกะทันหันของคุณว่าอย่างไร Can you account for your whereabouts on the night of the murder? = คุณยืนยันได้ไหมว่าคุณอยู่ที่ไหนในคืนที่เกิดฆาตกรรม.
****
ไม่ต้องรับผิดชอบ ***
ความแตกต่างระหว่าง accountable กับ responsible จะเห็นชัดที่สุดก็ในรูปปฏิเสธของทั้งสองคำ นั่นคือ unaccountable (อันหนัคเค้านถะบึ่ล หรือถ้าเป็นแบบอเมริกันก็ อันหนัคเค้าหนะบึ่ล) และ irresponsible (เอียหริสป๊อนสะบึ่ล) ตามลำดับ ทั้งสองคำหลังแปลว่า ไม่รับผิดชอบ เหมือนกันครับ แต่มีนัยต่างกัน ตรงที่ unaccountable หมายถึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อใคร จะทำผิดอย่างไรก็ไม่มีใครทำอะไรได้ ในขณะที่ irresponsible หมายถึงไม่รับผิดชอบ ไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือสิ่งที่ควรทำ เช่น It was irresponsible of you to knock her up and abandon her like that. = คุณช่างไม่รับผิดชอบเลยที่ทำให้เธอท้องแล้วทิ้งเธออย่างนั้น ในกรณีอย่างนี้ ความไม่รับผิดชอบทำให้เกิดความเสียหายซึ่งไม่มีใครแก้ไข แต่ไม่ถือว่าเป็น unaccountable เพราะสังคมยังประณามได้อยู่ว่าไม่ทำในสิ่งที่ควรทำและอาจจะลงโทษทางสังคมได้ ถ้าเป็น unaccountable หมายความว่าผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง สังคมอาจจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีกลไกอะไรที่จะบังคับให้เขาต้องรับผิดชอบ ดังนั้นคำที่มักจะควบคู่หรือแอบแฝงไปกับ unaccountability (อันหนะเคานถะบิ้ลหละถี่ หรือถ้าเป็นแบบอเมริกันก็ อันหนะเคานาบิ๊ลหละดี่) คือ impunity ถ้าดูดี ๆ ก็จะเห็นว่า impunity มีพยางค์ pun- คล้ายกับคำว่า punish (พั้นหนิช) = ลงโทษ ดังนั้นสามารถเดาได้ว่าเกี่ยวกับการลงโทษ และเมื่อสังเกตว่ามี im- เป็นพยางค์แรก ก็อาจเดาต่อได้ว่าเกี่ยวกับการไม่ลงโทษ เพราะ im- มักจะเป็นพยางค์แรกของคำที่แปลว่า ไม่ (อะไรบางอย่าง) เช่น impolite = ไม่สุภาพ impossible = เป็นไปไม่ได้ immature = วุฒิภาวะยังไม่ถึง แต่ impunity ต่างจากคำพวกนี้ตรงที่ภาษาอังกฤษไม่มีคำว่า punity ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจเราควรเปิดดิกดู และถ้าดิกของคุณเชื่อถือได้ ก็จะพบว่า impunity แปลว่า ความสามารถที่จะลอยนวล ความที่ไม่มีใครลงโทษ เช่น He was so powerful that he could kill anyone with impunity. = เขามีอำนาจมากจนสามารถสังหารใครก็ได้โดยไม่กลัวถูกลงโทษ ในสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมายจะไม่มี impunity เพราะผู้กระทำผิดจะต้องรับผิด แต่ถ้าเป็นสังคมที่ปกครองด้วยอำนาจตามอำเภอใจเราก็จะเห็นทั้ง unaccountability และ impunity ควบคู่กันไปครับ
****
พิการ (1)****
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตัวแทนคนพิการจากทั่วโลกหลายร้อยคนพากันไปรวมตัวที่อาคารสหประชาชาติที่นิวยอร์กเพื่อร่วมการประชุมรัฐภา คีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนที่มีความพิการ โปรดสังเกตนะครับว่าเขาเรียกว่า persons with disabilities = บุคคลที่มีความพิการ ไม่ใช่ disabled persons = บุคคลพิการ เพราะ disabled ส่อนัยว่าพิการจนไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่มีความพิการต่าง ๆ ไม่ว่าจะพิการทางแขนขา ประสาทต่างๆ หรือแม้แต่สมอง ก็ยังสามารถทำอะไรได้มากมาย ถ้าสังคมให้สิทธิและโอกาสเขา ในภาษาอังกฤษมีหลายคำที่ใช้เรียกความพิการและคนที่มีความพิการ ในอดีตคำที่ใช้มักจะกลายเป็นคำดูถูก เช่น dumb (ดัม) = เป็นใบ้ กลายเป็นคำที่มีอีกความหมายหนึ่งว่า โง่ เช่นในหนัง Dumb and Dumber = โง่และโง่กว่า แล้วก็ยังมีคำที่มีรากเดียวกันอย่าง dummy = ไอ้โง่ หรือ หุ่นที่เป็นรูปร่างคน (เช่น crash test dummy = หุ่นที่ใช้ในการทดลองรถชน ventriloquists dummy = หุ่นกระบอกที่ใช้ในการแสดงการ โยนเสียง เช่นของ Terry Fator ซึ่งหาดูใน You Tube ได้) หรือ สิ่งที่ไม่ใช่ของจริงแต่ใช้แก้ขัดไปก่อน (เช่น dummy lyrics = เนื้อเพลงที่ใส่ลงไปก่อนระหว่างที่ยังไม่ได้เนื้อเพลงของจริง อย่าง The Beatles ใช้ dummy lyrics ว่า Scrambled Eggs ก่อนที่จะเจอเนื้อเพลงจริงที่ ใช่ นั่นคือ Yesterday) คำว่า dumb จึงเป็นอันว่าเลิกใช้กันในความหมาย ใบ้ มีการหาคำอื่นมาใช้แทน นั่นคือคำว่า mute (มียูท ออกเสียงเร็วตามปกติก็จะฟังเป็น มิ่วท) ซึ่งเป็นได้ทั้งวิเศษณ์และนามใช้เรียกคนใบ้ คนใบ้ที่มีความหูหนวกควบคู่ไปด้วยก็เรียกว่า deaf-mute (เด็ฟ มิ่วท) แต่โปรดสังเกตนะครับว่า deaf ใช้เป็นนามเรียกคนหูหนวกไม่ได้ เปล่าครับ ไม่ได้เป็นเพราะว่าเรียกไปเขาก็ไม่ได้ยิน แต่เป็นเพราะ deaf ทำหน้าที่เป็นวิเศษณ์ได้อย่างเดียว ถ้าจะเรียกคนหูหนวกก็ต้องเรียกเขาว่าเป็น deaf person ถ้าคุณเป็นคนที่มีโสตประสาทปกติ แต่ชอบฟังดนตรีร็อกเสียงดัง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ชอบเร่งความดังของ iPod ให้ดังเข้าไว้ พออายุมากขึ้นหน่อยหูก็จะหนวกขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนั้นเรียกว่า to go deaf = กลายเป็นคนหูหนวก แต่ถ้าคุณแค่หูตึงก็เรียกว่าคุณเข้าข่าย hard of hearing (ฮาร์ดัฟเฮี้ยหริ่ง) ครับ.
****
พิการ (2)
ความพิการทางประสาทต่าง ๆ ไม่ว่าจะ blindness (บล๊ายนหนึส) = ความตาบอด deafness (เด๊ฟหนึส) = ความหูหนวก หรือ muteness (มิ้วทหนึส) = ความใบ้ ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารกับสังคมทั่วไป แต่ไม่ได้ลดความสามารถของคนที่มีความพิการเหล่านี้ที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคม คนตาบอดก็มีอักษร Braille (เบรล) ซึ่งเป็นจุดนูน ๆ อ่านโดยใช้ปลายนิ้วมือสัมผัส (แต่ถ้าคุณทั้งตาบอดและนิ้วด้วนด้วยก็อาจต้องหาวิธีอื่นนะครับ) และ audio books (อ๊อดิโหย่ บุคส) = หนังสือที่อัดเสียงคนอ่าน นอกจากนั้น เวลาเดินไปไหนก็มี white cane (ไวท เค่น) = ไม้เท้าสีขาว หรือ guide dog (ก๊ายด ดอก) = สุนัขนำทาง หรือที่มักจะเรียกว่า Seeing Eye dog (ซี้ยิงหง่ายดอก) = สุนัขที่ทำหน้าที่เป็นตาให้ (เรียกตาม The Seeing Eye โรงเรียนฝึกสุนัขที่เก่าแก่ที่สุดสำหรับช่วยคนตาบอด) คนหูหนวกและ/หรือใบ้ก็มี sign language (ซ้ายน แหล่งเกว็จ) = ภาษาใบ้ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์แล้วยังช่วยให้มนุษย์สามารถสื่อสารกับวานรเช่นกอริลล่าได้ด้วย แล้วถ้าคุณมีความพิการทางประสาทครบถ้วน ทั้งหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอด จะทำอย่างไร ถ้าเป็นในละครเพลง (ซึ่งสร้างเป็นหนังภายหลัง) เรื่อง Tommy คุณก็อาจเป็น that deaf, dumb and blind kid = ไอ้เด็กหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอด ที่ Elton John ร้องถึงในเพลง Pinball Wizard = พ่อมดเกมพินบอล (เพลงนี้มาจากสมัยที่คำว่า dumb ยังสามารถใช้ในความหมาย ใบ้ ได้อยู่โดยไม่มีใครว่าอะไร) แต่ในชีวิตจริงก็มีคนที่พิการทั้งสามอย่างกลายจากเด็กหูหนวกตาบอดเป็นใบ้ที่อารมณ์ร้ายมาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้ นั่นคือ Helen Keller เธอเขียนหนังสือ เป็นนักบรรยาย และรณรงค์เรียกร้องสิทธิสตรีและผู้ใช้แรงงาน จนได้รับรางวัล Presidential Medal of Freedom อันเป็นรางวัลสูงสุดที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะพึงมอบให้กับพลเรือน เรื่องราวชีวิตของเธอได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครและภาพยนตร์หลายครั้ง รวมทั้งภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลตุ๊กตาทองเมื่อปี ค.ศ. 1962 เรื่อง The Miracle Worker = ผู้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ ถ้าสนใจอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเขียนถึงในคอลัมน์ก็ติดตามผมได้ทาง Twitter ที่ @boonhod นะครับ.
*****
พิการ (3 )
นอกจากความพิการที่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร ได้แก่ใบ้ บอด หนวก ก็ยังมีความพิการอื่น ๆ ที่จำกัดความสามารถในการใช้ชีวิตปกติเช่นคนทั่วไป เช่นความทุพพลภาพ สมัยโบราณภาษาอังกฤษเรียกคนทุพพลภาพว่า cripple (คริพผึ่ล) แต่ปัจจุบันคำนี้ถือว่าไม่สุภาพ ไม่ให้เกียรติคนทุพพลภาพ คำอื่น ๆ ที่ถือว่าไม่สุภาพและห้ามใช้เรียกคนทุพพลภาพก็มีเช่น crip (ย่อจาก cripple) หรือ gimp (กิ้มพ) ถ้าคุณต้องการจะพูดถึงคนที่เดินกะเผลก ก็อาจใช้คำว่า limp (ลิ่มพ) แทน เช่น He walks with a limp. = เขาเดินด้วยอาการกะเผลก หรือจะสั้นๆ เป็น He limps. ก็ได้ สามารถใช้กับอาการกะเผลกชั่วคราวก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะที่เกิดจากการทุพพลภาพ ทีนี้ถ้าคุณเจอประโยคว่า Hes dragging his feet. ล่ะ จะสันนิษฐานได้ไหมว่าเขาเดินกะเผลกถึงต้องเดินลากเท้า ไม่ได้ครับ เพราะสำนวนนี้ใช้ว่า to drag (ones) feet คือลากเท้าทั้งสองข้าง ไม่ใช่ to drag (ones) foot ซึ่งลากข้างเดียวโดยอีกข้างยังใช้ได้ตามปกติ การลากเท้าทั้งสองข้างก็หมายความว่า เตะถ่วง คือ ทำอะไรช้า ๆ โดยจงใจ เช่นสมมุติว่าคุณเป็นผู้เสียหายในคดีซึ่งไม่ไปไหนสักที คุณก็อาจกล่าวว่า The investigators are dragging their feet on the case because the truth would implicate some powerful people. = พนักงานสอบสวนกำลังเตะถ่วงในคดีเพราะว่าความจริงย่อมจะโยงใยถึงผู้มีอิทธิพลบางคน (โปรดสังเกตนะครับว่า would เป็น conditional โดยมี condition = เงื่อนไข ซึ่งไม่ระบุชัดแจ้งว่าหากความจริงถูกเปิดเผยก็ย่อมจะโยงใย ฯลฯ) และถ้าคุณเจอประโยคว่า He doesnt have a foot to stand on. ก็อย่าเพิ่งสันนิษฐานว่าผู้ที่ถูกกล่าวถึงนั้นขาหรือเท้าด้วนไป ข้างหนึ่งนะครับ เพราะการไม่มี a foot หรือ a leg to stand on เป็นสำนวน หมายความว่า ไม่มีเหตุผลดีที่จะอ้างได้ในการโต้เถียง.
หนังสือ ฟอไฟฟุดฟิดอังกฤษอเมริกัน เล่ม 1-6 รวมซีดี ลดจาก 600 เหลือ 550 บาท หรือถ้าไม่เอาซีดีก็เพียง 480 บาท ส่ง EMS ฟรี ส่งธนาณัติสั่งจ่ายนายเสาวพจน์ ศรีวลี 20/1 ซอยอินทามระ 7 ป.ณ. สามเสนใน กท. 10400 หรือเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ หมายเลข 111-4-02764-0 แฟกซ์ใบสั่งจ่ายไปที่ 0-2616-8215 อย่าลืมเขียนชื่อ-ที่อยู่นะครับ เว็บไซต์ผม //boonhod.com อีเมลผม boonhod@hotmail.com
credit : //www.dailynews.co.th/ ● อังกฤษอินเดีย (1 - 2 )
credit : //www.dailynews.co.th/
Background : ยายกุ๊กไ่ก่00
Create Date : 16 กันยายน 2554 |
Last Update : 6 ตุลาคม 2554 1:41:08 น. |
|
2 comments
|
Counter : 5945 Pageviews. |
|
|
|
โดย: -แม่มดน้อยจอมยุ่งโดเรมี- (เตยจ๋า ) วันที่: 23 กันยายน 2554 เวลา:0:27:33 น. |
|
|
|
โดย: -แม่มดน้อยจอมยุ่งโดเรมี- (เตยจ๋า ) วันที่: 6 ตุลาคม 2554 เวลา:1:31:08 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
- ❀จันทร์ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑✼ภาพหมู่พระธรรมยาตราที่วัดสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
- ❀ภาพ ณ วัดโบสถ์(บน) บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
- ❀ชมภาพ วัดโบสถ์(บน) ,วัดไผ่หูช้าง ,วัดนครอินทร์ ,วัดคลองขวาง จังหวัด นครปฐม - นนทบุรี
- ❃วันที่๒๒มีนาร่วมพัฒนาชุมชน วัดบ่อทอง ,วัดตาก้อง ,วัดรางกำหยาด ,วัดบัวแก้วเกษร ,วัดบ่อทอง จ.นครปฐม
- ✿ภาพชุดชุมชนร่วมพัฒนา วัดบัวแก้วเกษร ,วัดนาราภิรมย์ ,วัดบ่อทอง จ.นครปฐม, ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑
- BlogGang.com
|
|
|
|
สมัยก่อนเวลาเรานึกถึงโรคภัยไข้เจ็บที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้ทีละเป็นหมื่นเป็นแสนล้วนเป็นโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรค กาฬโรค ไข้หวัดนก
แต่ปัจจุบันโรคที่คร่าชีวิตมนุษย์จำนวนมากที่สุดคือโรคประเภทที่เรียกว่า non-communicable disease (นอน คัมมยู้วหนิขะบึ่ล ดิซีส) = โรคที่ติดต่อกันไม่ได้ หรือพูดง่าย ๆ คือโรคอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่โรคติดต่อ เรียกย่อเพื่อความสะดวกได้ว่า NCDs
ตัวอย่างก็เช่นโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน เส้นเลือดในสมองแตก โรคปอดเรื้อรัง เป็นต้น ซึ่งถ้าเราพิจารณาก็จะเห็นว่าเป็นโรคที่ป้องกันได้ เพราะมีที่มาจากสิ่งแวดล้อมและวิธีการดำรงชีวิต
เช่นถ้าคุณเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ต้องสูดอากาศธรรมชาติของกรุงอันอุดมไปด้วยกำมะถัน คาร์บอน และโลหะหนักต่าง ๆ คุณก็มีสิทธิที่จะเป็นโรคปอดมากกว่าคนที่อยู่บ้านนอกท่ามกลางทุ่งนาป่าเขา เว้นแต่ว่าคนที่อยู่ท่ามกลางทุ่งนาป่าเขาดันสูบบุหรี่จัด
วิธีง่าย ๆ ที่จะป้องกันโรคปอดก็คือเอาตัวเองออกมาจากสภาพอากาศที่เป็นพิษ เช่นย้ายออกจากเมืองใหญ่ ใส่หน้ากากกรองมลพิษ หรือรณรงค์ให้มีการออกและบังคับกฎหมายควบคุมคุณภาพอากาศที่เข้มงวดแบบที่ประเทศเจริญแล้วทำกัน
ในภาษาอังกฤษมีสำนวนอุปมาอุปมัยว่า like a breath of fresh air (ไลขะ เบร็ธ อัฟ เฟรชแชร์) แปลตรงตัวว่า เหมือนการสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดหนึ่งเฮือก
สำนวนนี้ใช้ได้ในโอกาสที่เราได้เจออะไรบางอย่างที่โดดเด่นออกมา ท่ามกลางความซ้ำซากจำเจ
เช่นสมมุติว่าคุณอยู่ในสังคมที่บังคับให้ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ถ้าคุณไปเจอคนที่กล้าคิดต่าง คุณก็อาจกล่าวว่า His willingness to speak frankly on the record about sensitive issues was like a breath of fresh air. = การที่เขาพร้อมที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างเป็นทางการเหมือนกับเป็นอากาศบริสุทธิ์หนึ่งลมหายใจ
โปรดสังเกตนะครับว่า breath = ลมหายใจ ออกเสียงว่า เบร็ธ (เสียง th แข็ง) แต่ breathe = หายใจ อ่านว่า บรี้ธ (เสียง th อ่อน)
On the record (ออน เดอะ เร็คเขิร์ด) เป็นสำนวนนะครับ หมายความว่า อย่างเป็นทางการ คือโดยมีการบันทึกไว้ ถ้า off the record ก็หมายความว่า อย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ หรือถ้ามี เจ้าตัวก็อาจปฏิเสธว่าไม่ได้พูดอย่างนั้น.
===========
โรคไม่ติดต่อ (2) ●●
โรคไม่ติดต่อ (ที่เรียกว่า non-communicable diseases หรือ NCDs) ที่สหประชาชาติกำลังเป็นห่วงเป็นใยในขณะนี้ เจาะจงเฉพาะโรคที่นำไปสู่ความตายได้ เพราะมีสถิติว่าโรคประเภทนี้เป็น ตัวฆ่า ประชากรมากมายในแต่ละปี
ไม่รวมถึงโรคที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ดังนั้นถ้าคุณเป็นโรคที่ไม่ถึงตาย อย่าง halitosis (แฮลลีโท้สิส) หรือที่เรียกทั่วไปว่า bad breath (แบด เบร็ธ) = โรคปากเหม็น ก็ไม่ต้องไปหวังนะครับว่าสหประชาชาติจะให้ความเห็นใจ ดีไม่ดีอาจจะเห็นใจคนที่อยู่ในรัศมีของปากคุณมากกว่า
โดยที่ NCDs จำนวนมากเกิดจากสิ่งแวดล้อมหรืออุปนิสัยของคนไข้เอง การป้องกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นิสัยอะไรที่นำไปสู่โรคนั้นก็ให้เลิกเสีย
แต่นั่นเป็นเรื่องที่ easier said than done (อีซีเยอร์ เซ็ด แธน ดัน โดย ธ.ธง ในที่นี้ใช้แทนเสียง th อ่อน) = พูดได้ง่ายกว่าทำ เพราะ NCDs หลายอย่างเกิดจาก addiction (อัดดิ๊คฉึ่น) = การเสพติด
เวลาเราพูดถึงเรื่องเสพติดเรามักจะนึกถึงยาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ในกรณีของ NCDs สารเสพติดไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะยาเสพติดร้ายแรง แต่รวมถึงสารที่ถูกกฎหมาย และคนจำนวนมากไม่คิดว่าเป็นสารเสพติด เช่นบุหรี่ เหล้า และแม้แต่น้ำตาล
เราคุ้นกับการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่อยู่แล้ว เพราะบนซองบุหรี่มีภาพสยอง เช่นเหงือกที่ฟันหลุดเนื่องจาก tar = ยางในยาสูบ หรือรูที่เจาะตรงคอเพื่อช่วยหายใจ แต่ยังดีที่ทางร้านช่วยปิดการรับรู้ของเราโดยใช้กระดาษสีน้ำตาลปิดทับภาพสยองเหล่านั้น ไม่งั้นเราคงอยากจะ quit cold turkey (ควิท โคลด์ เท้อร์ขี่) = เลิกเสพทันทีทันใด ตรงนั้น
ในขณะที่บุหรี่ฆ่าผู้เสพอย่างช้า ๆ เหล้า ซึ่งไม่ถูกสังคมต่อต้านเท่ากับบุหรี่ กลับสามารถทำหน้าที่ลดประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า เพราะคนเมาสามารถฆ่าทั้งตัวเองและผู้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้ถ้าเมาแล้วขับยานพาหนะ
หลายประเทศมีการรณรงค์ต่อต้าน drunk driving = การขับรถขณะเมา และในสหรัฐเคยถึงกับออกกฎหมายทำให้เหล้าผิดกฎหมาย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้คนเลิกลดละ
มิหนำซ้ำยังทำให้เหล้าเถื่อนเฟื่องฟูระบาดภายใต้การควบคุมของแก๊งอาชญากรรมที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดอีก.
========
โรคไม่ติดต่อ (3) ※※
นอกจากบุหรี่และเหล้าแล้ว ต้นตอของ NCDs อีกอย่างคืออาหาร
ครับ อาหารที่เรากินเข้าไปนี่แหละมีสิทธิทำให้เราไม่สบายและถึงตายได้
ภาษาอังกฤษมีคำกล่าวว่า You are what you eat. = คุณเป็นสิ่งที่คุณกิน ถ้าคุณกินแต่อาหารดี ๆ คุณก็จะมีสุขภาพดี แต่ถ้าคุณกินอาหารแย่ ๆ สุขภาพคุณก็จะแย่ตามไปด้วย
คำถามคือว่าอะไรเป็นอาหารดี อะไรเป็นอาหารเลว ดูเหมือนเป็นคำถามง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้วไม่ง่ายเลย ดังเห็นได้จาก diets (ระบบการกินซึ่งเน้นกินอาหารบางชนิดและหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด) ต่าง ๆ ที่ฝรั่งเห่อกันเป็นพัก ๆ
แต่การแพทย์สมัยใหม่ทำให้เราทราบคร่าว ๆ ว่า ตัวร้าย ในอาหารมีอะไรบ้างที่ทำให้คนเป็นโรคเช่น diabetes (ดายหยะบี๊ถิส) = โรคเบาหวาน obesity (โอบี๊สสิถี่) = โรคอ้วน และ heart disease (ฮ้าร์ท ดิสีส) = โรคหัวใจ กันมากขึ้น
ที่อันตรายเป็นพิเศษก็คือไขมัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า trans fat) และน้ำตาล
ปกติไขมัน หรือแม้แต่ cholesterol (คัลเล็สตะหร่อล) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ถึงแม้จะอันตรายบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรหากไม่บริโภคเกินประมาณ
แต่ trans fat นี่สิครับ เป็นไขมันที่เลวบริสุทธิ์ ไม่มีคุณงามความดีชดเชยแม้แต่น้อย เพราะทำให้ระดับ HDL ในเลือดลดลง และ LDL เพิ่มขึ้น ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากขึ้น (ยังดีที่ไม่มีมือ ไม่งั้นมันคงยื่นขอยืมตังค์คุณอีกต่างหาก) ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง พวกของทอด คุกกี้ และขนมที่ผ่านกรรมวิธีทางอุตสาหกรรม (ครับ ของอร่อยมักจะไม่ดีต่อสุขภาพ)
แต่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงสำนวนที่ใช้คำว่า fat นะครับ เพราะคุณอาจจะสนุกกับการ chew the fat = คุยฟุ้ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนฝูง) หรือชอบ live off the fat of the land = ใช้ชีวิตที่มีแต่สิ่งที่ดีที่สุด หรือใช้ชีวิตโดยอาศัยสิ่งดี ๆ จากผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์
อีกอย่างที่ควรหลีกเลี่ยงคือ sugar (ชุกเก่อร) = น้ำตาล ไม่ว่าจะในรูปแบบน้ำตาลหรือแป้ง
แต่ถ้าแฟนของคุณบอกว่า Give me some sugar. ก็ต้องดูว่าเธอ (หรือเขา) ตั้งใจใช้บริบทไหน เพราะถ้าเธอ (หรือเขา) ทำท่าปากยื่น ๆ มาทางคุณก็อาจแปลได้ว่า มามะ มาจุ๊บฉันที (ด้วยสมมุติฐานว่าการจูบเป็นสิ่งที่หวาน).
หนังสือ ฟอไฟฟุดฟิดอังกฤษอเมริกัน เล่ม 1-6 รวมซีดี ลดจาก 600 เหลือ 550 บาท หรือถ้าไม่เอาซีดีก็เพียง 480 บาท ส่ง EMS ฟรี ส่งธนาณัติสั่งจ่ายนายเสาวพจน์ ศรีวลี 20/1 ซอยอินทามระ 7 ป.ณ. สามเสนใน กท. 10400 หรือเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ หมายเลข 111-4-02764-0 แฟกซ์ใบสั่งจ่ายไปที่ 0-2616-8215 อย่าลืมเขียนชื่อ-ที่อยู่นะครับ เว็บไซต์ผม //boonhod.com อีเมลผม boonhod@hotmail.com
c r e d i t ; //www.dailynews.co.th/