Osaka Trip - 2.. Tsubame เน้นส้วม
ผ่านไปหนึ่งเพลา หันมาดูวันที่ๆอัพบล็อกครั้งล่าสุด ตร๊ายยย.. ยังไม่ถึงสิบวันเป็นไปได้รึนี่ที่ชั้นจะเริ่มเขียนบล็อกใหม่!!!! มันผิดวิสัยสันหลังยาวของอิชั้นจริงๆเสียนี่กระไร แต่ถ้ายังหลอแหลไปเรื่อยไอ้หน่วยความจำในรอยหยักที่มีอยู่แสนจะน้อยนิดมันก็คงจะลบด้วยตัวเองไปในไม่ช้า อย่ากระนั้นเลยมาต่อกันเลยดีกว่า.. (เอ่อ ไอ้การเริ่มต้นเขียนเนี่ยมันง่าย แต่การทำให้มันจบเนี่ยมันยากนะฮ้า เพราะงั้นเริ่มเขียนบล็อกนี้วันที่ 7/7/2015 แต่มันจะไปเสร็จเมื่อไหร่?.. ก็เมื่อนั้นแหละ หุหุ.. ) เพิ่มเติมๆ.. ส่งอัพบล็อกนี้วันที่ 27/7/2015 จ้ะ ดู๊..ความอืดของคนอัพ อิอิ
จริงๆมันสามารถเริ่มบล็อกใหม่ได้เร็วกว่านี้(นั่น..คุยซะ) แต่มันมีเหตุขัดข้องทางเทคนิค.. เทคนิคจริงๆที่อิป้าไม่กระดิก นั่นคือโน้ตที่เป็นเครื่องมือทำมาหากิน(หากินจริงๆเพราะเข้าไปหาเมนูทำอาหารบ่อยมาก อิอิ) ไม่สามารถล็อกอินเข้าวินโดว์ได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นมันก็แสดงอาการแปลกๆเตือนมาแต่อิเจ้าของมันมิสำเหนียก รู้ว่าแปลกแต่ไม่มีปัญญาเช็คอะไรยังไง ป้าดดด..สามารถจิ้มๆกดๆอัพบล็อกเล่นเฟซ ตะแล้ดแต๊ดแต๋เข้าเน็ตไปโน่นมานี่ได้ก็เก่งมากละกับความสามารถง่อยๆกับเรื่องคอมพิวเตอร์หยั่งอิฉัน.. และแล้วในที่สุดพอกลับมาจากทำงานจะเข้าเน็ตล็อกอินแล้วหน้าจอกระพริบแว้บๆๆๆตลอด ต้องรอพ่อมันกลับจากทำงานแล้วไลน์กับเจ้าพี่ชาย(ที่ตอนนี้เป็นคนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากที่สุดในบ้าน แซงหน้าพ่อมันไปซะแล้ว หุหุ) สุดท้ายต้องเอาแผ่นวินโดว์เข้าไปจัดการจึงกลับมาดังเดิม แต่พวกโปรแกรมที่เคยลงไว้หายโม้ดดด.. รวมทั้งไลน์ที่ลงไว้ในเน็ตด้วย ต้องรอเจ้าพี่มันกลับมาอาทิตย์หน้ามาจัดการให้
อ่ะ .. ที่เล่ามานั่นมันเกี่ยวกับการอัพบล็อกนี้ตรงไหน?? (อิฉันก็ยังสงสัยตัวเองอยู่.. หาเรื่องแพล่มซ้าา ) มาๆเข้าเรื่องจ้ะค่ะ อย่างที่เคยบอกไปบล็อกที่แล้วว่าทริปโอซาก้านี้ท่าจะต้องซอยบล็อกลากยาวเพราะรูปค่อนข้างเยอะ แล้วเป็นคนประเภทใจดี..รักพี่เสียดายน้องไม่อยากลบมันซักรูปอยากจะลงมันหมดไหนๆก็ตั้งใจถ่ายมาแล้วเนอะ บล็อกนี้ขอนำเสนอ..
ขึ้นมาที่ชานชาลาของสถานีคุรุเม่ มารอซึบะเมะหรือน้องนกนางแอ่นมาโฉบเราไปสถานีฮะกะตะ น้องเค้าจะมาช้ากว่าพี่ซากุระนิดนึง
มาแล้วๆ (พูดคำนี้ทีไรนึกไปถึง CM ของตู้เย็นซิงเกอร์สมัยก่อนจริงจริ๊งง .. อ่านมาถึงตรงนี้ เอ้า...ใครทันโฆษณาตัวนี้บ้าง ยกมือขึ้นนนน ) เจ้ารถไฟญี่ปุ่นนี่ดีอยู่อย่างตรงที่ตรงเวลาเป๊ะ ช้าเร็วไม่เกินหนึ่งนาที เพราะงั้นเงื้อง่าตั้งกล้องรอท่ากันได้เลย พอรถไฟแล่นเข้ามาเทียบท่าก็แชะๆๆรัวๆ (อันเป็นที่มาของหนึ่งในรักพี่เสียดายน้องซึ่งพอถ่ายหลายๆรูปก็กลายเป็นเสียดายมันทั้งตระกูล .. เอิ้กกก)
เจ้าตัวเล็กเค้ามาเทียบให้ฟังเรื่องความล่าช้าของรถไฟญี่ปุ่น(ที่เอาตัวเองเป็นหลัก)
1 นาที .. อืมม์ม์ม์.. 2 นาที .. อืมม์.. วันนี้สายนิดนึงนะ 3 นาที .. เอ๊ะ.. ชักจะสายแล้วนะ 4 นาที .. อะไรกัน.. สายแล้วนะ ยังไม่มาอีก 5 นาที .. เฮ้ย!! มันจะเกินไปแล้วนะเว้ยยย (โวยวายๆๆๆ)
ฟังแล้วคงจะขำสำหรับคนที่เคยชินกับการไม่ตรงต่อเวลาอยู่เรื่อยๆ แต่คนที่นี่ถือเรื่องเวลามาก การรักษาเวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการเดินทางเพื่อไปทำงานแล้วละก็ยิ่งพลาดไม่ได้
ขึ้นชินคันเซ็นมาจ่อมนั่งได้แป๊บนึงพี่เค้าก็ออกร่อนเดินสำรวจละ
แม่มันมีหรือจะนั่งอยู่กับที่ พอมีเพื่อนเดินก็ลุกตามสิคะพี่น้อง .. เริ่มจากตรงทางเดิน
ห้องที่มีม่านห้อยต่องแต่งนี่เป็นห้องสำหรับทำธุระส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ เช่นล้างมือ แต่งหน้าทาปาก หวีผม
ส่วนห้องนี้เห็นป้ายที่หน้าม่านก็รู้ละว่าเป็นห้องอะไร
เป็นห้องสำหรับโทรศัพท์สาธารณะนั่นเอง แง้มให้เห็นแจ่มๆ
จากนี้ไปเป็นทัวร์ห้องน้ำห้องส้วมนะคะท่านผู้โชมมม.. ถึงท่านจะไม่อยากเห็นแต่ช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นความชอบส่วนตั๊วส่วนตัวของอิฉันและเจ้าลูกชายคนเล็กที่ต้องเก็บรูปห้องน้ำแจ่มๆ กลับมาทุกครั้ง เริ่มจากห้องน้ำผู้ชายก่อนเลย
เอ่อ.. ภาพนี้เป็นฝึมือคุณคนเล็กเขานะคะ อิแม่มันมิบังอาจสะแหลนแจ๋นโผล่หน้าไปถ่ายส้วมผู้ชายมาได้ ต่อให้มุ่งมั่นซักแค่ไหนก็เหอะ.. ขอบเขตค่ะขอบเขต.. จำต้องทำตามขอบเขตของสังคม
แต่ที่ชอบมากคือห้องน้ำคนพิการ บานประตูเป็นบานเลื่อนมีปุ่มเขียวแดงด้านซ้ายมือให้กดเปิดปิดออกแบบมาเพื่อคนพิการจริงๆ แม้กระทั่งปุ่มที่กดยังจัดระดับไว้ประมาณวีลแชร์ที่กดได้ง่ายๆ
เข้าไปหมุนคว้างอยู่ข้างใน อะโหหหห.. โอ่โถงเสียนี่กระไร คือมันต้องกว้างอ่ะนะสำหรับวีลแชร์ที่เข้าไปได้
จากหน้าประตูจนถึงโถชักโครกห่างเอาเรื่องเหมือนกัน ต่างจากห้องน้ำทั่วไปที่พอเข้าไปพื้นที่ก็บังคับไว้แค่กลับตัว จ่อมทำธุระให้เสร็จๆแล้วออกมาซะ อย่าโอ้เอ้ไถลอยู่นาน ซึ่งมันก็ไม่น่าภิรมย์นักหรอกที่จะอยู่ในส้วมนานๆน่ะ แต่ส้วมนี้ต้องขอยกเว้น
มีนั่นนู่นนี่ให้ดึงสำรวจ แต่ที่ต้องระวังคืออย่าไปกดปุ่มเรียกพนักงานเข้าเดี๋ยวได้วิ่งมาให้บริการ.. "จะให้เช็ดก้นให้มั้ยค้าาาา?? " เอิ่ม..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน้อ อิฉันก็แพล่มไปเรื่อย อิอิ..
จบจากห้องน้ำ พี่ก็เดินทะลุโบกี้ตะลุยไปเรื่อยแต่แม่มันไม่เดินไปด้วยหรอกเพราะต้องผ่านผู้คนซึ่งจริงๆเค้าก็ไม่สนใจร้อกว่าใครจะเดินไปๆมาๆ แต่รุ่นหนุ่มน้อยๆกับรุ่นแก่ๆ อย่างหลังมันน่ารำคาญสายตากว่าใช่ป่ะ?? แล้วอีกอย่างต้องไปลงที่ฮะกะตะซึ่งแปร๊บบบเดียวตดไม่ทันหายเหม็นก็ถึงแล้ว ไม่มีเวลาโอ้เอ้ให้เดินๆๆมากนัก
พอพี่เดินจนพอใจค่อยกลับมานั่งที่ เจ้าที่นั่งในชินคันเซ็นเนี่ย มีมนต์ขลังอยู่อย่าง นั่งเมื่อไหร่เป็นหลับเมื่อนั้นก็มันนุ่มมมมตรูดซะขนาดใครจะอดใจไหวแม้จะเดินทางสั้นๆก็ตาม แม้..มันเพลินจริงๆนะค้าาาาพี่น้อง แล้วดูรอบข้าง..มันเพลินตาเพลินใจไปหมดเริ่มจากทางเดิน เบาะนั่ง แม้กระทั่งม่านบังแดดก็ทำเป็นมู่ลี่ มีที่แขวนเสื้อ มีถาดดึงให้วางสำหรับกินข้าว อ่าน-เขียนหนังสือ มีแม้กระทั่งปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ค ที่สำคัญสะอาดหมดจด (ปล.ไอ้ที่บรรยายมาเนี่ยคราวนี้ไม่ได้ลงรูปรายละเอียดให้ชม เพราะรูปมันเยอะมาก ยังมีรูปอีกชุดที่ไปชมนิทรรศการชินคันเซ็นมาเอาไว้ลงรายละเอียดนั่นบล็อกหลังแล้วกันนะจ๊ะ)
จอดที่สถานีฮะกะตะเพื่อต่อชินคันเซ็นอีกขบวนนึงที่จะไปโอซาก้า ณ ที่นี้ค่อยมีเวลาละเลียดถ่ายรูปตัวชินคันเซ็นภายนอกอย่างจะๆ ใกล้ชิดดารามีหรือจะรอช้า คว้ากล้องกันมาแชะๆๆ
เธอช่างงามมมมม..
ที่นั่งภายในที่ถ่ายรูปจากข้างนอก
แล้วไม่ใช่แต่เราๆนะที่บ้าถ่ายรูปชินคันเซ็น คนญี่ปุ่นอืนๆ(ที่บ้าชินคันเซ็น)ก็เหมือนกัน ตอนที่เก็บรูปได้หมดแล้วนั่นยังเห็นสาวน้อยคนนึงสะพายเป้มาคนเดียวที่ตัวเป้มีตุ๊กตาลิงตัวนึงตัวโตๆแขนยาวๆเกาะเกี่ยวเป้ไว้ พอมาถึงด้านหน้าชินคันเซ็นเธอก็วางลิงให้นั่งพร้อมกับวางเป้ไว้ข้างๆ แล้วก็คุกเข่าหามุมกล้องถ่ายรูปลิงคู่กับชินคันเซ็นบนชานชาลานั่นแหละ รูปนี้รู้เลยว่าออกมาต้องดูดี(ทำเป็นสู่รู้แน่ะ เอิ้กกก..) ได้อารมณ์ประมาณแบ็คแพ็ค อิฉันไม่มีลิงเลยถ่ายเจ้าตัวกางขานี่ให้ดูแทนนะคะท่านผู้ชม
ปิดท้ายกันด้วยภาพนี้ค่ะ ปกติเรียกให้เป็นนายแบบให้แม่ทีไรเนี่ยจะบ่นๆ หน้าเง้าเค้างอทำหน้าไม่เต็มใจตลอด แต่กับชินคันเซ็นละก็ถึงไหนถึงกัน พี่ศึกษารายละเอียดจำได้หมดลึกลงไปถึงขนาดความกว้างของรางรถไฟ ถึงปลีกย่อยต่างๆ ขอให้ถามเถอะรู้ไปโม้ดดดด แหม่!! จำหนังสือที่ต้องสอบแบบนี้ได้ก็ดีสิ
จบซับบล็อกโอซาก้าไว้เพียงนี้นะคะ ค่อยๆกระดืบไปละเมื่อไหร่จะถึงโอซาก้าวะคะเนี่ย?? แต่บอกตามตรงว่าสีสันมันอยู่ที่การเดินทางนี่แหละค่ะ พอถึงที่หมายแล้วก็งั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรให้ดึงดูดซะเท่าไหร่เพราะเมืองใหญ่มีแต่ผู้คนๆๆๆๆๆ หรืออิฉันจะเป็นบ้านนอกโดยแท้จริงที่อึดอัดเวลาไปเจอผู้คนเยอะๆในตัวเมือง ก็นอกเมืองมันโปร่ง สบาย หายใจสะดวกกว่ากันเยอะะะะะ.. พบกันใหม่บล็อกหน้า ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาเยือนมีความสุขค่ะ สวัสดี..
Create Date : 27 กรกฎาคม 2558 |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2558 9:59:18 น. |
|
18 comments
|
Counter : 5621 Pageviews. |
|
|