คสช.สรุปผลงานรอบ1เดือน / รายงานพิเศษ
คสช.สรุปผลงานรอบ1เดือน
รายงานพิเศษ
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดิน โคยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.2557 นอกจากภารกิจสำคัญที่สุด คือ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
การปฏิรูปประเทศในทุกมิติ ทั้งปัจจุบันและอนาคตคืออีกภารกิจหลักที่ คสช.ดำเนินการคู่ขนานตลอด 1 เดือน ที่ผ่านมา เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์และยั่งยืนที่สุด
การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์และยั่งยืน คสช.ดำเนินการภายใต้แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทย หรือโรดแม็ป 3 ระยะ
ระยะที่ 1 แก้ปัญหาเร่งด่วนและขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ในเรื่องที่ติดขัดและปัญหา เตรียมการเข้าสู่การปฏิรูประยะที่ 2 ด้วยการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ในขั้นต้น คืนความสุขให้ประชาชน
ระยะที่ 2 การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ทั้งการจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สรรหานายกรัฐมนตรี การยกร่างรัฐธรรมนูญ และการจัดตั้งสภาปฏิรูปในกรอบ เวลา 1 ปี
ระยะที่ 3 คือ การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์
แนวทางการขับเคลื่อนประเทศได้จัดโครงสร้างการปฏิบัติงานเป็น 3 กลุ่มงานคือ กลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อย กลุ่มงานบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มงานสร้างความปรองดองและการปฏิรูป
กลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อย
จำเป็นต้องประกาศกฎอัยการศึกเพื่อหยุดความรุนแรงที่เกิดจากความขัดแย้งได้ทันที ระยะเริ่มต้นมีความจำเป็นต้องประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว แต่ยกเลิกไปเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. หลัง คสช.เข้าควบคุมเพียง 24 วัน
อย่างไรก็ตาม คสช.จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา เห็นได้จากสถิติการจับกุมอาวุธสงครามก่อนที่คสช. เข้ามา จับกุมอาวุธที่มีผู้นำไปใช้ก่อเหตุ 19 ครั้ง เมื่อคสช. เข้ายึดอำนาจจับกุม ยึดและมีผู้นำมาทิ้งไว้ได้สูงถึง 51 ครั้ง เป็นอาวุธ 1,996 กระบอก เครื่องกระสุน 31,840 นัด วัตถุระเบิด 265 ลูก
การเชิญบุคคลที่อยู่ในความขัดแย้งทั้งโดยตรงและ โดยอ้อมเข้ารายงานตัวต่อ คสช.เป็นการเชิญตัวมาสร้างความเข้าใจ ที่เชิญมาจำนวนมากเพราะมีหลายกลุ่มอยู่ในความ ขัดแย้งมาเป็นเวลาหลายปี มีคนเกี่ยวข้องจำนวนมากแต่ ไม่เกิน 7 วันจะปล่อยตัว หากผู้ใดมีคดีอื่น มีหมายเรียก หมายจับเดิมก็ต้องส่งตัวให้กระบวนการยุติธรรม
กลุ่มงานบริหารราชการแผ่นดิน
แบ่งกลุ่มงานเป็น 5 ฝ่าย และ 1 ส่วนงาน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ มอบนโยบายให้รีบดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
1.ฝ่ายความมั่นคง
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส.เป็นหัวหน้า พล.อ.อักษรา เกิดผล เสนาธิการทหารบก เป็นรองหัวหน้า ปฏิบัติการจับกุมอาวุธสงครามทั่วประเทศและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก
ผลจากการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ ป.ป.ส. กอ.รมน.และภาคอื่นๆ รวมทั้งภาคประชาชนทำให้การปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย อาทิ เครือข่ายยาเสพติด บ่อนพนัน และชนวนทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการบูรณาการเรื่องแรงงานทั้งระบบ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.ฝ่ายเศรษฐกิจ
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.เป็นหัวหน้า พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผู้ช่วย ผบ.ทบ.เป็นรองหัวหน้า ผลงานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ การปลดล็อกข้อจำกัดการจ่ายเงิน ให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2556 และ 2557
ธ.ก.ส.เริ่มจ่ายเงินให้ชาวนาตามลำดับใบประทวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. จ่ายเงินได้ครบทั้งหมด 838,538 ราย 89,931 ล้านบาทเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เร็วกว่าเป้าที่กำหนดวันที่ 22 มิ.ย. เป็นการปิดบัญชีหนี้จำนำที่ค้างไว้ชาวนาทั้งหมดทั่วประเทศ
ฤดูการผลิตประจำปี 2557 และ 2558 คชส.ประชุมร่วมกับตัวแทนชาวนาจาก 3 สมาคม สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มีมติใช้แนวทางลดต้นทุนการผลิตข้าว โดยลดต้นทุนการผลิต ขั้นต่ำประมาณ 500 บาทต่อไร่ จากต้นทุน 4,000 บาทต่อไร่
คสช.ยังเดินหน้าทำความเข้าใจกับต่างประเทศผ่านเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำต่างประเทศของไทย ถึงข้อเท็จจริงและความจำเป็นในการเข้าควบคุมอำนาจ ของ คสช.
ชี้แจงโรดแม็ป โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศที่ยังเน้นการค้าเสรี การดูแลผลประโยชน์ของมิตรประเทศในไทย พบปะพูดคุยกับ ผู้แทนบริษัท ผู้ประกอบการสหรัฐ ยุโรป จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น ทำให้สถานการณ์ด้านต่างประเทศเริ่มมีท่าทีที่ดี
ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในเวทีต่างประเทศทุกภาคส่วนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคเดือน พ.ค.ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน อยู่ที่ระดับ 60.7 จากเดิม 57.7 ในเดือน เม.ย. ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้น นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตราสารหนี้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม 8,000 ล้านบาท และ 9,000 ล้านบาท
โครงการต่างๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินการและที่อนุมัติ ไปแล้วได้แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการ ใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ หรือ คตร. มี พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ รับผิดชอบ
มีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมดำเนินงานติดตามและตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่วงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท ให้เกิดความโปร่งใส คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
โดยตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาได้ติดตามแผนงานหรือโครงการที่มีวงเงินสูง มีปัญหาในการดำเนินงานและอยู่ในความสนใจของประชาชนแล้ว 10 โครงการ วงเงินรวมกว่า 1.5 แสนล้าน
อาทิ โครงการจ้างให้บริการระบบตรวจสอบและคัดกรอง ผู้โดยสารล่วงหน้า โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ของท่าอากาศยานไทย การใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของกระทรวงพลังงาน
โครงการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา หรือ Tablet กระทรวงศึกษาธิการ และการบริหารจัดการการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น
ส่วนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 3.5 แสนล้านบาท หัวหน้า คสช.สั่งให้ทบทวนใหม่ทั้งหมด มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นประธานบริหารจัดการ
หัวหน้า คสช.ขอให้ทุกส่วนราชการร่วมกันศึกษา รายละเอียดแผนบริหารจัดการน้ำใหม่ทั้งหมด โดยไม่ต้องคำนึงถึงตัวเลขโครงการ 3.5 แสนล้านล้าน แต่ต้องครอบคลุมการแก้ปัญหาทั้งระยะเร่งด่วนหรือเฉพาะหน้า ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท คสช.ต้องการให้นำเสนอแผนยุทธศาสตร์ในภาพรวมพร้อมกันทั้งหมด ทั้งทางรถไฟ ทางบก ทางน้ำและทางอากาศ
กระทรวงคมนาคมได้เสนอแผนยุทธศาสตร์โครงสร้าง พื้นฐานคมนาคมขนส่งต่อที่ประชุมฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งมี มติเห็นชอบชั้นต้นที่จะดำเนินโครงการระหว่างปี 2558-2565 แต่ให้ตัดโครงการรถไฟความเร็วสูงออกจากแผนไปก่อน เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่โครงการจำเป็นเร่งด่วน
3. ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผบ.ทบ. เป็นหัวหน้า และ พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็นรองหัวหน้า ตลอด 1 เดือน ได้เดินหน้ามาตรการปราบปรามยาเสพติดและการปราบปรามการคอร์รัปชั่น
ได้เชิญหน่วยงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด หน่วยงานบำบัดยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือถึงกรอบการทำงานไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน และตัดเส้นทางการเงินของผู้ค้ายาเสพติด ล่าสุด คสช.สั่งการให้กรมราชทัณฑ์แยกผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่ไปขังในเรือนจำเขาบิน จ.ราชบุรี
ส่วนการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น นอกจากจะทำความเข้าใจกับ ปปง. และสถาบันการเงินถึงการปราบปรามและ ตรวจสอบการฟอกเงิน ในส่วนของการตรวจสอบการทุจริตได้ส่งให้ป.ป.ช. ดำเนินการ ขณะเดียวกัน คสช.ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการทุจริตเรื่องข้าวอีกทาง
4.ฝ่ายสังคมจิตวิทยา
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. เป็นหัวหน้า พล.ท. สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นรองหัวหน้า แก้ปัญหาที่ทำให้สังคมอ่อนแอ เริ่มต้นด้วยการจัดกิจกรรม "คืนความสุขให้กับคน ในชาติ" ในรูปแบบต่างๆ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
พร้อมเร่งรัดให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ปราบปรามและจับกุมผู้บุกรุก สมคบและสนับสนุนช่วยเหลือในการตัดไม้มีค่า หรือไม้หวงห้าม การนำเข้าและส่งออกไม้ที่ผิดกฎหมาย ฟื้นฟูป่าที่ถูกบุกรุกทำลาย
หลังหารือกับ 10 หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการถึงข้อดี-ข้อเสียโครงการจัดซื้อแท็บเล็ต ที่ประชุมมีมติให้ยุติการจัดซื้อปีงบประมาณ 2556 ในโซน 4 ของนักเรียน ม.1 ภาคเหนือและตะวันออก เฉียงเหนือ
รวมทั้งยกเลิกการจัดซื้อแท็บเล็ตปีงบ ประมาณ 2557 เนื่องจากไม่คุ้มค่าและไม่เหมาะสม พร้อมนำงบประมาณที่เหลือ ในโซนที่ 4 จำนวน 1,170 ล้านบาท กับงบปี 2557 อีก 5,800 ล้านบาท ไปทำอย่างอื่น เช่น สมาร์ทคลาสรูม อีเลิร์นนิ่ง ที่เกิดประโยชน์ในวงกว้างกว่า
5.ฝ่ายกิจการพิเศษ
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นหัวหน้า พล.ท.สุชาติ หนองบัว เป็นรองหัวหน้า รับ ผิดชอบการให้ส่วนราชการซึ่งเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
นอกจากบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสานต่อกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการ ในหมู่บ้านและชุมชน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และโครงการพัฒนาเมือง
ยังขอที่ประชุมคสช.อนุมัติเงินงบกว่า 74 ล้านบาทให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำไปช่วยเหลือวัด และพระภิกษุสามเณรที่ประสบภัยแผ่นดินไหวในพื้นที่ภาคเหนือ
นอกจากนี้ มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับทุกภาคส่วนจัดทำโรดแม็ป เดินหน้าการปฏิรูประบบราชการ ใน 8 แนวทางหลัก รวมทั้งเพิ่มการรับข้อ ร้องเรียนทางสายด่วน 1111
1 ส่วนงานที่ขึ้นตรงกับหัวหน้า คสช.
ที่มี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. พล.ท.ชาตอุดม ตีตถะสิริ เป็นรองเลขาธิการ
ได้รับมอบหมายให้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ของคสช. รวมถึงแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง
กลุ่มงานสร้างความปรองดอง
และการปฏิรูป
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รักษาการปลัดกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบ มีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ เป็นหัวหน้า และคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืน ความสุขให้คนในชาติ
มีหน้าที่กำหนดแนวทางเสริมสร้างบรรยากาศความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งเดินหน้ารวบรวมข้อมูล ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย จนสามารถจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปจังหวัดครบทุกจังหวัด
จัดกิจกรรมทั้ง 4 ภาคมาแล้ว 696 กิจกรรม เป็นกิจกรรมลักษณะเสริมสร้างบรรยากาศปรองดองสมานฉันท์ 668 อำเภอ จัดเวทีเสวนา 130 เวที รวมทั้งจัดลงนามบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยู ระหว่างผู้นำทางความคิดที่เคยเห็นต่างกันในแต่ละพื้นที่ 150 ฉบับ
ส่วนคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปฯ นอกจากมุ่งเน้นเรื่องการรักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อย ได้แก่ การร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นจับกุมการ กระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น อาวุธสงคราม แรงงานต่างด้าว ลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและ ทรัพยากรธรรมชาติ การป้องกันการค้ามนุษย์ การลักลอบเล่นการพนัน
ยังทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลการปฏิรูปจากทุกภาคส่วนเพื่อนำเสนอให้สภาปฏิรูปใช้ประกอบการพิจารณาต่อไป ตลอด 1 เดือนรวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนมากกว่า 240 ผลงาน สัมภาษณ์แนวความคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษา ภาคราชการ การเมือง ประชาสังคม ผู้มีส่วนขับเคลื่อนและมีส่วนได้ส่วนเสีย 25 ราย
นอกจากนี้ คสช.มอบให้กลุ่มรักษาความสงบเรียบร้อย มี พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเป็นผู้ดูแล
หัวหน้า คสช.มอบหมายให้รับผิดชอบ การจัดระเบียบสังคมและผู้มีอิทธิพล เร่งปราบปรามบ่อนการพนันผิดกฎหมาย ตู้ม้า การพนันออนไลน์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการพนันฟุตบอลโลก การจัดระเบียบรถตู้โดยสาร รถแท็กซี่ และวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
แบ่งความรับผิดชอบให้กองทัพที่ 1 รักษาพระองค์ ดูแลการจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ จัดระเบียบรถตู้โดยสาร การจัดระเบียบแท็กซี่ให้มณฑลทหารบกที่ 11 รับผิดชอบ
และที่เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินคือ กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ที่ประชุม คสช.เห็นชอบกรอบงบประมาณปี 2558 วงเงิน 2.575 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2557 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ประมาณการรายได้ 2.325 ล้านล้านบาท และเป็นงบประมาณขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท
งบลงทุนภาครัฐปี 2558 กำหนดวงเงิน 450,625 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.5 ของงบประมาณทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากงบลงทุนปี 2557 ร้อยละ 2.2
คาดวันที่ 29 ก.ค. หัวหน้าคสช.จะให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2558 ซึ่ง มีหลักการของยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การน้อมนำปรัชญาหลักการเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการปฏิบัติ โดยพิจารณาให้สอดคล้องแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 และแผนแม่บทอื่นๆ เพื่อนำเสนอฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาต่อไป
หากพิจารณาจากปรากฏการณ์สังคม แนวทางการขับเคลื่อนประเทศของ คสช. ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน โดยเฉพาะการจัดระเบียบสังคม และสิ่ง ผิดกฎหมายที่ดำเนินการอย่างเฉียบขาด
ปัญหาต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการแก้ไขสะสมมายาวนาน หลายปัญหาต้องใช้ระยะเวลาสะสาง หลายปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย คสช.เพียงลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน
ซึ่งคสช.จัดลำดับความเร่งด่วนของงานเป็นเฉพาะหน้า ระยะสั้น และระยะยาว ทุกงานเดินคู่ขนานไปพร้อมกัน เริ่มจากการใช้งบประมาณปี 2557 ไตรมาส 3 และจัดทำงบประมาณปี 2558 ให้สอดคล้องและต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือภารกิจที่ คสช. ได้ดำเนินการ ในรอบ 1 เดือน
สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของคสช.คือ การคืนความสุขให้กับประชาชน ลดความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ลดการทุจริตคอร์รัปชั่น สร้างความเชื่อมั่น ในกระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็ว
สร้างกระบวนการความคิด ความรู้ให้ประชาชนเข้มแข็ง มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย พร้อมก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกโดยเร็วที่สุด
| Create Date : 29 มิถุนายน 2557 |
| Last Update : 29 มิถุนายน 2557 8:05:32 น. |
|
0 comments
|
| Counter : 1569 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 96 คน [