การใช้งานชุดหูฟังบลูทูธไม่ใช่อะไรที่สะดวกนัก แต่ว่าผู้ผลิตชุดหูฟังก็พยายามพัฒนาให้ดีขึ้น Trendy Review ครั้งนี้ก็จะแนะนำหนึ่งในนั้นก็คือยี่ห้อ Jabra โดยเป็นหูฟังบลูทูธรุ่นไฮเอนด์ที่ชื่อว่า Jabra Motion...
โทรศัพท์มือถือใช้เวลาไม่ถึงสิบปีในการที่ทำให้ตัวเองกลายเป็น Gadget ยอดนิยมของผู้คน เรียกว่าเดี๋ยวนี้แทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือใช้กันทั้งนั้นละครับ แล้วเทคโนโลยีก็พัฒนาไปมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็แทบจะมีสมาร์ทโฟนใช้กันหมดแล้ว การติดต่อสื่อสารใครซักคนทำได้ไม่ยากแล้ว โทรไปปุ๊บก็ถึงตัวได้ทันที แต่ในบางอากัปกิริยา ในบางสถานการณ์ มันก็ไม่สะดวกที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมารับซักเท่าไหร่ นั่นจึงเป็นที่มาของการมีหูฟังบลูทูธนั่นแหละ แล้วเดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนทั้งหมด ก็มีฟีเจอร์นี้เป็นมาตรฐานแล้ว
อย่างไรก็ดี การใช้งานชุดหูฟังบลูทูธไม่ใช่อะไรที่สะดวกนักในหลายๆ ด้าน แต่ว่าผู้ผลิตชุดหูฟังก็พยายามที่จะออกแบบเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และทำให้การใช้งานสะดวกขึ้น
และหนึ่งในนั้นก็คือยี่ห้อ Jabra ที่ผมกำลังจะรีวิวให้ได้อ่านกันครับ โดยเป็นรุ่นไฮเอนด์ที่ชื่อว่า Jabra Motion
รูปร่างหน้าตาของ Jabra Motion
ตัวที่ผมได้มารีวิวนี่เป็นของตัวอย่างจากทาง Jabra ครับ แต่ดูจากพวกสติกเกอร์ที่ติดอยู่ตามจุดต่างๆ ของกล่องแล้ว เชื่อได้ว่านี่เป็น Packaging ที่ใช้จำหน่ายจริงๆ ละครับ
ซึ่งทาง Jabra ก็ชัดกล่องใส่มาได้แบบว่า ดูไฮเอนด์ดีครับ ดูจากตรงนี้แล้วจะรู้ได้ว่าขนาดของ Jabra Motion ก็ใหญ่อยู่พอสมควรครับเมื่อเทียบกับพวกหูฟังบลูทูธรุ่นอื่นๆ หลายๆ รุ่น
จริงๆ เรื่องขนาดจะใหญ่หรือเล็ก เป็นอะไรที่ตอบยาก เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน
เวลาจะใช้งาน Jabra Motion นี่ต้องกางก้านไมโครโฟนออกมาครับ
การพับเก็บ Jabra Motion นี่ไม่ใช่แค่ให้สะดวกในการเก็บลงไปในกระเป๋าเสื้อ (หรือกระเป๋าอื่นๆ) เท่านั้นนะ แต่มันเป็นการปิดการใช้งานไปในตัวด้วย ถ้ากางก้านไมโครโฟนออกมา ก็จะเป็นการเปิดใช้งาน ซึ่งด้วยวิธีนี้ ก็จะทำให้ช่วยประหยัดพลังงานไปอีกระดับนึงครับ เวลาที่มีใครโทรศัพท์เข้ามา เราก็แค่หยิบออกมา แล้วกางก้านไมโครโฟนออก ก็จะเป็นการรับโทรศัพท์ไปในตัวเลย เหมือนกับการรับโทรศัพท์นั่นแหละครับ
ของที่แถมมาให้ในกล่องด้วยก็มีตัว Jabra Motion เอง มี Wall charger และมีชุดชาร์จแบตเตอรี่ในรถ พร้อมสาย Micro USB เอาไว้ชาร์จ แล้วก็มียางครอบหูฟังอีกขนาดมาให้ด้วย และในกล่องก็มีพวกคู่มือ ใบรับประกัน ฯลฯ
ข่าวดีคือ มันมีคู่มือภาษาไทยให้ด้วยครับ
ผมว่าการที่แถมอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ในรถมาให้ก็โอเคดีนะ ตัวชาร์จในรถนี่ Output 5V 0.75A ฉะนั้นแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟก็มากพอที่จะใช้ชาร์จพวกสมาร์ทโฟนได้ด้วย สาย Micro USB นี่ นอกจากเอาไว้ใช้ชาร์จจากตัวชาร์จในรถแล้ว ก็ยังเอาไว้เสียบกับพวกเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ PowerBank เพื่อชาร์จแบตได้ด้วยเช่นกัน (แต่ควรเลือกแบบที่ Output 1A นะ กระแสไฟจะได้ไม่แรงจนเกินไป สำหรับ Jabra Motion)
มาดูกันแบบเต็มๆ ครับ นี่ถือ Jabra Motion ลักษณะเป็นเสียบหู แล้วตัวชุดหูฟังก็จะโค้งตามลักษณะของหูเรื่อยมาจนถึงก้านไมโครโฟนแบบนี้ เป็นดีไซน์ที่ดูปุ๊บก็น่าจะรู้เลยว่ายี่ห้อ Jabra เพราะหลายๆ รุ่นก็ทำออกมาลักษณะนี้แหละ
ในบางครั้ง ขณะที่สนทนาอยู่ หากไม่อยากให้คู่สนทนาได้ยินอะไรจากฝั่งเรา เราก็สามารถที่จะกดปิดเสียง (Mute) ได้ทุกเมื่อ มีปุ่มอยู่ตรงเกือบๆ ปลายก้านไมโครโฟนครับ
อ้อ! ตามสเปกแล้ว Jabra Motion นี่เขาบอกว่ามีการกำจัดเสียงรบกวนให้ด้วยนะครับ แต่เดี๋ยวตอนทดสอบก็ต้องว่ากันอีกที
ตรงด้านข้างของตัวชุดหูฟัง เป็นปุ่มรับสายขนาดใหญ่ ใหญ่แบบว่าแม้จะอยู่ข้างหูก็น่าจะกดได้ไม่ยากครับ
แล้วก็มีไฟแสดงสถานะของบลูทูธและแบตเตอรี่ตรงโคนของก้านไมโครโฟนด้วย
ตรงด้านนอกของชุดหูฟัง มีพอร์ต Micro USB อยู่ แล้วก็มีตัวปรับระดับเสียงด้วย แต่ไม่ใช่ปุ่มนะ มันเป็นการปรับแบบสัมผัสซะมากกว่า ใช้นิ้วแตะแล้วลากเอา เพื่อปรับระดับเสียงขึ้นลง ผมว่ามันสะดวกดีครับ แต่ติดใจตรงที่พอร์ต Micro USB ที่ไม่มีฝาปิด เลยทำให้รู้สึกว่า มันอาจจะใช้งานนอกสถานที่ไม่สะดวกซักเท่าไหร่
ประสบการณ์ในการใช้งาน Jabra Motion
โดยส่วนตัว ผมว่านี่เป็นชุดหูฟังบลูทูธที่เหมาะสำหรับผู้ชายครับ โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ใส่พวกเสื้อเชิ้ตที่มีกระเป๋าเสื้อ เพราะวิธีเก็บที่สะดวก หยิบฉวยง่ายๆ ที่สุด ก็คืออันนี้แหละครับ
เวลาอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เราก็จะพับมันเก็บใช่ป่ะ แล้วเวลามีสายโทรเข้ามา เราก็จะหยิบออกมา กางก้านไมโครโฟนออก แค่นี้ก็เท่ากับเป็นการรับสายเรียบร้อย ถือว่าการออกแบบทำได้ดีทีเดียว
การเริ่มใช้งานทำไม่ยากครับ แค่เชื่อมต่อ Bluetooth แล้วก็ Pair เหมือนกับอุปกรณ์ทั่วๆ ไป ถ้าเสียบหูฟังอยู่ มันจะมีภาษาอังกฤษบอกว่าต้องทำยังไง แต่หากฟังไม่ออก ไม่ใช่ปัญหา คู่มือก็มีภาษาไทยให้อ่านครับ แต่หากสมาร์ทโฟนของใครมี NFC จะสะดวกสุด เพราะว่าแค่เอา Jabra Motion นี่ไปแตะกับจุดที่เป็น NFC ของสมาร์ทโฟน มันก็จะถามว่าเราจะ Pair ไหม สะดวกรวดเร็วดี (จุด NFC ของ Jabra Motion คือตรงชื่อยี่ห้อนั่นแหละ)
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่สมกับชื่อ Jabra Motion อีกด้วย นั่นคือ สมมติว่าเราวางมันอยู่บนโต๊ะ โดยกางก้านไมโครโฟนขึ้นมาแล้ว กำลังทำงานเพลินๆ แล้วมีสายโทรเข้ามา แค่หยิบมันขึ้นมาใส่ไว้ที่หู ก็จะเท่ากับเป็นการรับโทรศัพท์ในทันทีครับ ด้วยฟีเจอร์ Motion detection ซึ่งก็ถือว่าออกแบบมาได้ดีเช่นกัน
คุณสมบัติที่ชื่อ Noise BlackOutTM ของ Jabra Motion ช่วยขจัดเสียงรบกวนภายนอกไปได้ จริงๆ ก็คือ Noise cancellation นั่นแหละ เพียงแต่ว่า Jabra เขาใช้ชื่อนี้กับฟีเจอร์ของเขา แต่การขจัดเสียงรบกวนภายนอก ก็ทำได้ในระดับหนึ่งนะครับ ไม่ได้ถึงกับทำให้หายไปหมดโดยสิ้นเชิงได้เลย
อีกฟีเจอร์นึงที่น่าสนใจของ Jabra Motion ก็คือตัว App ที่เลือกติดตั้งบน Android หรือ iOS ก็ได้ครับ ด้วย App นี้ จะช่วยให้เราสามารถปรับแต่ง Profile และการใช้งานต่างๆ ของ Jabra Motion ได้ นอกจากนี้ เวลาที่เราเชื่อมต่อหรือเลิกเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับ Jabra Motion แล้ว มันก็จะทำการบันทึกพิกัดที่อยู่เอาไว้ด้วย เผื่อว่าหากเราลืมวางเอาไว้ เราก็ยังรู้ได้ว่าสถานที่สุดท้ายที่เราวางไว้มันที่ไหน
เรื่องแบตเตอรี่ อันนี้สำคัญ เพราะที่เราคงไม่อยากจะชาร์จแบตเตอรี่บ่อยๆ จริงไหมล่ะครับ ตามสเปกแล้วเขาว่าจะสแตนด์บายได้ 360 ชั่วโมง หรือ 15 วัน และจากที่ผมลองเปิดไว้สแตนด์บายมา ก็ราวๆ 10 วันสบายๆ ครับ (ไม่ได้ลองนานกว่านั้น ต้องขออภัย) และการสนทนาต่อเนื่อง เขาก็ว่าได้ 7 ชั่วโมง ซึ่งผมก็ไม่ได้ลองขนาดนั้น (นึกไม่ออกว่าจะคุยกับใครได้นานขนาดนั้น
ฮา) แต่เท่าที่ลองใช้งานทั่วไป ทั้งสแตนด์บายสลับกับคุย ก็สบายๆ ครับ 1 สัปดาห์ชาร์จทีนึง (นั่นคือ เฉลี่ยคุยราวๆ วันละ 1 ชั่วโมงแล้วนะ) ถ้าคุยน้อยกว่านี้ ก็อยู่ได้นานกว่านี้ครับ
บทสรุปการรีวิว Jabra Motion
ความที่เป็นชุดหูฟังบลูทูธระดับไฮเอนด์ ทำให้ค่าตัวของ Jabra Motion ใช่ย่อยครับ คือราคา 4,290 บาท ผมถึงได้บอกว่ามันเหมาะกับวัยทำงานไงล่ะ นอกจากดีไซน์ที่ดูเข้ากับวัยทำงานแล้ว ก็ยังเรื่องราคานี่แหละ ต้องคนวัยทำงาน มีรายได้ ถึงจะสู้ราคาค่าตัวสบายๆ อยู่ (หลังจากซื้อสมาร์ทโฟนราคาเรือนหมื่นมาแล้ว ต้องเสียอีกเกือบครึ่งหมื่นเพื่ออุปกรณ์เสริม)
แต่ถามว่าคุ้มค่าไหม ผมว่าคุ้มค่านะ เพราะ Jabra Motion ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้สะดวก เชื่อมต่อง่าย มีดีไซน์ที่ดี ดูภูมิฐานมาก เพิ่มความสามารถในการปรับแต่งด้วย App ได้อีก ซึ่งผมว่ามันง่ายต่อการเข้าใจ มากกว่าการไปศึกษาคู่มือเพื่อมาดูว่าต้องกดอะไรอย่างไร เพื่อปรับแต่งนะ