14ตุลาในงานหนังสือ มุมมองของ"เด็กรุ่นใหม่" (ปัณณพร นิลเขียว)
14ตุลาในงานหนังสือ มุมมองของ"เด็กรุ่นใหม่"
ปัณณพร นิลเขียว
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 18 จัดอยู่ขณะนี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติ สิริกิติ์ ด้วยแนวคิด "หนังสือเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนโลก" เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. และจะปิดฉากในวันอาทิตย์หน้า วันที่ 27 ต.ค.
จึงมีอีกหนึ่งสัปดาห์เต็มให้เหล่าผู้รักการอ่านไปเยี่ยมชมซื้อหาหนังสือเล่มโปรด
หากไปถึงที่งานแล้ว แนะนำให้ไปชมนิทรรศการที่เชื่อมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในอดีตเพื่อให้คนรุ่นปัจจุบันเรียนรู้ ในชื่อ 40 ปี 14 ตุลาฯ "ความใฝ่ฝันอันแสนงาม" ที่ห้องบอลรูม ฮอลล์เอ
ภายในนิทรรศการ ผู้เข้าชมจะได้พบ กับตัวอย่างหนังสือหลายเล่มซึ่งตีพิมพ์ใน ยุค 14 ตุลาฯ รวมถึงบล็อกเล็กๆ หลายสิบบล็อก ที่มีผ้าขาวผืนบางกั้น
ในแต่ละบล็อกคือ "ถ้อยความ" หรือ "คำพูด" ของนักคิด นักเขียน ปัญญาชน หรือบุคคลสำคัญทั้งไทยและเทศ จากทั้งในยุค 14 ตุลาฯ และยุคก่อนหน้าที่หยิบยกมาอ้างอิงเพื่อบอกเล่าความรู้สึกนึกคิดของผู้คน พร้อมไปกับตอกย้ำถึงอิทธิพลของถ้อยคำหรือ ตัวหนังสือที่มีผลต่อผู้คนในยุคนั้น
โดยมีบทเพลงที่เปี่ยมด้วยพลังและ จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย "เพื่อมวลชน" "แสงดาวแห่งศรัทธา" และ "นกสีเหลือง" เปิดคลอผสานเป็นส่วนหนึ่งในงาน
ปราบดา หยุ่น ในฐานะอุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) กล่าวว่า เนื้อหาที่เลือกมาจัดแสดงเป็นสิ่งที่เลือกผ่านมุมมองหรือจินตนาการคนรุ่นเราว่าแรงบันดาลใจของนักศึกษาในยุคนั้นมาจากหนังสือเล่มไหนหรือข้อความใด เพราะทีม ผู้จัดก็เป็นคนรุ่นหลัง ไม่ทันเหตุการณ์ แต่ศึกษาเรื่องราวในยุคนั้นผ่านหนังสือวรรณ กรรม หรือข้อเขียนประวัติศาสตร์
ภายในนิทรรศการมีนักอ่านหลากวัยเข้า เยี่ยมชม รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ร่วมให้มุมมองและการรับรู้ต่อเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ
นวัต พงษ์ภา สุระ นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เล่าว่าเคยเรียนเรื่องเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 มาบ้าง เมื่อครั้งศึกษาอยู่ชั้นมัธยมต้น คิดว่าเป็นช่วงที่นักศึกษาออกมาเรียกร้องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคนชื่อถนอม กิตติขจร ส่วนเพลงที่เปิดคลออยู่ในงานแม้ไม่คุ้นหู แต่คาดเดาว่าคงเป็นเพลงที่แต่งขึ้นในยุคนั้น
ขณะที่ นิว ทัศน์ลักษณ์ ยิ้มพวง นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัยปทุมธานี เล่าว่าครูเคยเปิดคลิปเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ให้ดูในชั้นเรียน ตอนม.3 ครั้งนั้นเข้าใจว่ากลุ่มนักศึกษาประท้วงอะไรสักอย่างกับรัฐบาล แต่ที่จำได้ดีคือภาพที่มีการยิงใส่นักศึกษาลงมาจากฟ้า ซึ่งเป็นวิธีการรุนแรงเกินไป
เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างหนุ่มสาวในยุคนี้กับยุค 14 ตุลาฯ นิวมองว่าหนุ่มสาวในยุค 14 ตุลาฯ จะดูภาพรวมกว้างๆ ว่าตัวเองไปได้แล้ว คนรอบข้างไปได้หรือไม่ ดูไปถึงประเทศชาติว่าเป็นอย่างไร พยายามช่วยกัน ขณะที่คนในยุคนี้มักสนใจเรื่องที่จะพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต ได้รับการศึกษาหรือได้ทำงานที่ดี ตัวใครตัวมัน สนใจตัวเองไว้ก่อน ไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมือง
ด้าน โรส อริสรา รื่นฤทัย นักศึกษาปวช.ปี 3 วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ ที่มาด้วยกันกับนิวกล่าวว่า ความทรงจำที่มีกับเหตุการณ์นี้คือเรื่องของประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลในขณะนั้นเอาประโยชน์ให้ตัวเอง
เมื่อถามว่าเห็นอะไรในตัวนักศึกษายุคนั้นจากนิทรรศการบ้าง ได้คำตอบจากโรสว่า "วัยรุ่นสมัยก่อนเข้าใจรัฐบาล เข้าใจเหตุการณ์ แต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยรู้ หนูว่าเขาคงติดอินเตอร์เน็ตมากเกินไป เพราะเดี๋ยวนี้มีแฟชั่นเกาหลี เข้ามาเต็มไปหมดเลย"
มาที่สองเพื่อนซี้ต่างสถาบัน ฟลุค พงศภัค อรรคฮาต นักศึกษาปี 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ติว รวิพล ลี้มิ่งสวัสดิ์ นักศึกษาปี 1 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เล่าว่ารู้จักเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ มาบ้างในวิชาสังคมศึกษา ตอนมัธยม แต่ไม่ได้สนใจมากนัก จำได้แค่ว่ามีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อได้มาชมนิทรรศการจึงรู้ว่านักศึกษาในยุคนั้นลุกฮือขึ้นเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญ
ฟลุคกล่าวว่า จากการเดินอ่านถ้อยคำที่หยิบยกมาอ้างอิงในนิทรรศการ ได้เห็นว่าคนในยุคนั้นคิดอะไร ซึ่งบทกวีที่เขาประทับใจ ได้แก่ "บันทึกลับกระบือหนุ่ม" ของ จิระนันท์ พิตรปรีชา ที่เปรียบเทียบเสียดสี ด่าตัวเอง และคนที่ไม่ออกมาเรียกร้องสิทธิ หรือหากออกมาต่อสู้ ก็คงไม่สามารถสู้กับพวกทหาร ซึ่งจิระนันท์ใช้คำว่า "ดาบปลายปืน" เพื่อสื่อแทนได้
ด้านติวมองว่า วัยรุ่นในอดีตตื่นตัวเรื่องการเมืองและสิทธิที่ตัวเองควรได้รับ และสิ่งที่ตัวเองโดนละเมิดมากกว่าคนในปัจจุบันที่ไม่มีความกล้าหาญหรือสนใจหลงเหลืออยู่ ติวเคยทดลองโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมาว่าเป็นวันตายของสตีฟ จ็อบส์ ทุกคนก็รู้แค่นั้น ไม่มีใครรู้ว่า 6 ต.ค.เคยเกิดอะไร ขึ้นบ้าง
"สำหรับผม การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะตั้งแต่เกิดก็เกี่ยวข้องกับการเมืองแล้ว เกิดมาต้องแจ้งเกิด จริงอยู่มันเป็นระบบราชการ แต่ระบบราชการก็ถูกครอบจากระบบการเมืองอีกที จะบอกว่าการเมืองมันน่ากลัว มันดูไม่ดี ไม่ใช่ ผมว่าการเมืองเป็น กระจกสะท้อนความเป็นจริงได้ดีเกินไป ถ้าเรากลัวมัน ก็เหมือนเรากลัวความเป็นจริง" ติวกล่าว
Create Date : 20 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 20 ตุลาคม 2556 0:59:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 949 Pageviews. |
|
|
|
|
|