14 ก.พ.2557 “มาฆบูชา-วาเลนไทน์” สองวันสำคัญแห่งรักท่ียิ่งใหญ่

14 กุมภาฯ วันวาเลนไทน์

วันที่หนุ่มสาวเกือบทั่วโลกโดยเฉพาะผู้ที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกยึดถือเป็นวันแห่งความรัก เนื่องจากเป็นวันที่นักบุญวาเลนไทน์ หรือ เซนต์วาเลนไทน์ ถูกประหารชีวิตเพราะสนับสนุนให้คู่รักชาวโรมันหลายต่อหลายคู่แต่งงานกัน ซึ่งสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ที่ให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นอย่างสิ้นเชิง

ช็อกโกแลต ดอกกุหลาบ ลูกกวาด การ์ดอวยพร รวมถึงสารพัดสิ่งของที่สามารถสื่อแทนความรัก จะถูกนำมาใช้เป็นของขวัญที่หนุ่มสาวหรือคู่รักมอบให้แก่กันเพื่อแสดงถึงความรักในวันวาเลนไทน์นี้

ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ที่ประชาชนกว่าร้อยละ 95 นับถือพระพุทธศาสนา

จนทำให้ปัจจุบันนี้วัยรุ่นไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนหลายคนหลงลืมไปว่าในแต่ละปีช่วงประมาณเดือน ก.พ.หรือเดือน มี.ค.จะมีวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นคือ “วันมาฆบูชา”

แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประชาชนคนไทย โดยเฉพาะวัยรุ่น จะรู้จักวันมาฆบูชาว่าเป็นวันพระใหญ่ ซึ่งในสมัยพุทธกาลในวันนี้มีความสำคัญคือ เป็นวันที่มีพระสงฆ์ 1,250 รูปมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และในวันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์

แต่คงจะมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า ความสำคัญอีกนัยหนึ่งของวันมาฆบูชา คือ เป็นวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา

และในปี พ.ศ.2557 นี้ ถือเป็นความบังเอิญที่เป็นมงคล เนื่องจากวันมาฆบูชา วันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา ตรงกับวันที่ 14 ก.พ. วันวาเลนไทน์ พอดิบพอดี

พระภาวนาวิริยคุณ วิ. (ไสว ธีรโสภณโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ ผอ.ศูนย์วิปัสสนา นานาชาติ วัดมหาธาตุฯ อธิบายถึงที่มาของวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา ว่า วันมาฆบูชา เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญในสมัยพุทธกาล คือ 1.พระสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน 1,250 รูป โดยมิได้นัดหมาย ที่วัดเวฬุวัน ประเทศอินเดีย 2.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง 3.พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ และ 4.วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 โดยในวันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ทั้งยังทรงวางหลักการ วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และทรงย้ำกับพระสงฆ์สาวกให้ไม่ว่าร้ายกัน ไม่ทำร้ายกัน ให้มีเมตตาต่อกัน หรือให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ให้มีความรักต่อกันนั่นเอง

“วันมาฆบูชา เป็นวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา สอนให้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก และให้มีความเมตตาต่อกัน จึงกล่าวได้ว่า ความรักทางพระพุทธศาสนานั้นจะเน้นการ “ให้” ขณะที่ความรักของวัยรุ่นหนุ่มสาวในปัจจุบันจะเน้นการ “เอา” คือ ต้องการครอบครอง พอไม่ได้ก็เกิดทุกข์” พระภาวนาวิริยคุณ วิ. กล่าวย้ำถึงคำสอนทางความรักในทางพระพุทธศาสนา

พร้อมแนะนำด้วยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรที่จะหาทางรณรงค์ให้วัยรุ่นรู้จักวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอื่นๆให้มากขึ้น สำหรับวันวาเลนไทน์ก็ควรที่จะรณรงค์ให้คู่รักจูงมือกันเข้าวัดปฏิบัติธรรม จะได้ฝึกให้มีสติ จะได้รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ
ขณะที่ พระราชพิพัฒน์โกศล (โกศล มหาวีโร) เจ้าอาวาสวัดศรีสุดารามวรวิหาร ผู้ก่อตั้งพุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ จ.นครนายก บอกว่า พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ เป็นอนุสรณ์เกี่ยวกับวันมาฆบูชาแห่งเดียวในโลก วันมาฆบูชา ถือว่าเป็นวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนาด้วย ดังนั้นเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนคนไทยเห็นความสำคัญของวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา จึงมีแนวคิดที่จะจัดแต่งงานหมู่ให้กับคู่รักเนื่องในวันวาเลนไทน์ และวันมาฆบูชา ประจำปี 2558 ที่พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ โดยจะจัดในลักษณะของการให้คู่รักได้ปฏิบัติธรรมก่อนแต่งงาน เพื่อให้คู่แต่งงานรักษาศีล 5 ซึ่งจะทำให้ครอบครัวอบอุ่น

อย่างไรก็ตาม “ทีมข่าวศาสนา” มองว่า หากพูดถึง 14 ก.พ. ในปีนี้ คงมีวัยรุ่นน้อยคนนักที่จะพูดถึงวันมาฆบูชา แต่สิ่งที่วัยรุ่นจดจำได้อยู่ตลอดก็คือ 14 ก.พ. คือวันวาเลนไทน์ เช่นเดียวกับที่จำได้ว่า 25 ธ.ค. คือวันคริสต์มาส

ทั้งๆที่วันวาเลนไทน์ และวันมาฆบูชามักจะอยู่ในเดือนเดียวกัน หรือบางปีวันมาฆบูชาอาจจะขยับไปอยู่ช่วงเดือน มี.ค. เนื่องจากวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของไทยจะดูที่วันข้างขึ้นข้างแรมเป็นหลัก

โดยเฉพาะในปี 2557 นี้ วันสำคัญแห่งความรักทั้งสองวัน คือ วาเลนไทน์ และมาฆบูชา เป็นวันที่ 14 ก.พ.ตรงกันเป๊ะ ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความสนใจในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของเด็กไทย

และนั่นทำให้เราอดไม่ได้ที่จะต้องขอฝากไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้นำของประเทศ รวมถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคม ร่วมด้วยช่วยกันสร้างค่านิยมต่อเด็กไทยผ่านการประชาสัมพันธ์ทางสื่อ และช่องทางต่างๆเป็นประจำ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้เด็ก เยาวชนไทยสามารถจดจำวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในแต่ละปีได้

แต่หากยังนิ่งเฉย ปล่อยให้วัฒนธรรมตะวันตกเข้าครอบงำเยาวชนไทย

อีกไม่นานเกินรอเด็กยุคใหม่คงตั้งคำถามว่า วันมาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา มีความสำคัญอย่างไร!!!