กำกับ/เขียนบท : Hirokazu Koreeda
นำแสดง : Hiroshi Abe, Yui Natsukawa, You, Kirin Kiki
ความยาว : 115 นาที
ระดับความชอบ : 9.5/10
17/3/55
ตั้งใจจะไปดูเรื่อง I Wish แต่รอบเช้าที่ลิโด้เวลา 9.30 น. ไปไม่ทัน คิดเอาเองว่าที่ House Rama จะมีรอบ 10.00 น. แล้วก็ผิดไม่มีรอบดังกล่าว จะดูรอบเที่ยงก็กลัวจะขลุกขลักกับการไปดูบอลในตอนเย็น ค่อยไปดูพรุ่งนี้รอบเช้าแล้วกัน
เลยเอาแผ่นนี้ซึ่งเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกันมาชม ผลคือชอบมากครับ
หนังค่อยๆ เล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในวันครบรอบ 15 ปีของการจากไปของลูกชายคนโตของบ้าน ทุกคนเลยมารวมกัน พร้อมลูกๆ ของแต่ละคน
หนังเล่าเรื่องผ่านกิจกรรมที่ทุกคนทำ บทสนทนาในครอบครัว เหมือนตอนสงกรานต์หรือเชงเม้งที่ทุกคนในครอบครัวเดินทางมารวมกัน ผู้ใหญ่จับกลุ่มคุยกัน เด็กๆ ไปวิ่งเล่นร่วมกัน ทานข้าวพร้อมกัน คุยสารทุกข์สุกดิบ
หนังเล่าเรื่องให้เข้าใจทีละนิด ไม่รีบร้อนหรือบีบคั้นอะไร จนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
หนังไม่พิพากษาการกระทำของใครในเรื่อง เพียงแต่เล่าให้เห็นภาพจริง แล้วคนที่ตัดสินจะเป็นผู้ชมเอาเอง
บทพูดในเรื่องคมคายมาก การเอาเหตุการณ์หรือคำพูดของปู่ย่าไปสอนหลานต่อนี่ถูกใจมากครับ
ดนตรีประกอบใช้แบบอะคูสติก เข้ากับเนื้อเรื่องและวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นได้ดีเหลือเกิน
ดาราทุกคนทำหน้าที่ได้ดี ชอบ Kirin Kiki ในบทคุณย่าขี้บ่น ทำกับข้าวเก่ง ชอบถัก เธอจะเรียกให้คนที่พี่ชายคนโตช่วยชีวิตจนเขาต้องเสียชีวิตมาร่วมด้วยทุกปี คุณย่าบอกว่าเพื่อให้เขาสำนึกผิดทุกปี ช่างขัดแย้งกับบุคลิกที่เธอแสดงมาตอนต้นเรื่องมาก
หลังจากนั้น Kirin Kiki ก็โชว์ฟอร์มเหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นฉากจับผีเสื้อสีเหลือง ฉากเดินไปรดน้ำหลุมฝังศพ บอกลูกชายว่าถ้าได้นั่งรถก็น่าจะดี เล่าเรื่องผีเสื้อสีเหลืองขณะเดิน แล้วลูกชายก็เอาเรื่องเล่านี้มาใช้อีกตอนท้าย
บทนึกชื่อนักซูโม่หน้าแขกจากเกาะฮาวายกับประโยคที่ว่า "เป็นอย่างนี้ทุกทีเมื่อนึกถึงอะไรๆ" จะนึกได้เมื่อสายเสียแล้ว
คุณปู่ก็แสดงดี ชอบฉากชวนหลานให้มาเป็นหมอ แววตาแกได้เลยครับ
ชอบฉากรื้อรูปเก่าๆ ของเก่าๆ มานั่งดูกัน
ชอบฉากลูกสะใภ้งอนแม่สามีว่าเห็นตนกับลูกเป็นคนนอก ฉากต่อมาคุณย่ายกกิโมโนให้ ซื้อชุดนอนใหม่ให้หลานเช่นกัน หน้าแตกไปเลยคุณลูกสะใภ้
คุณปู่กับคุณย่าหวังว่าลูกหลานจะมาเยี่ยมอีกในปีใหม่ แต่พวกเขาคุยกันเองบนรถเมล์ว่าไม่มาแล้ว มาปีละครั้งก็พอ และครั้งหน้าไม่ค้างคืนแล้ว
ชอบหนังเรื่องนี้ที่สุดในบรรดางานของผู้กำกับคนนี้เลยครับ
หนังเดินช้าๆ เรียบๆ ไม่มีท่อนฮุคแต่ค่อยๆ กินใจ
หนังสอนผมว่าให้ดูแลพ่อแม่ของเราให้ดีที่สุดขณะท่านมีชีวิตอยู่ ท่านอยากได้อะไร ทำอะไรก็ทำเพื่อท่านไปเถอะครับ ท่านทำเพื่อเรามามากมายแล้ว
พ่อบอกลูกชายให้โทรศัพท์หาแม่บ้าง ลูกชายตอบว่าไม่อยากฟังคำบ่น
พ่อบอกว่าตอนนี้หันมาดูฟุตบอลแล้ว แต่พระเอกก็ไม่เคยพาพ่อไปชมฟุตบอล
แม่บอกว่าถ้าได้นั่งรถเล่นก็คงดี แต่ไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
สะท้อนมาที่ตัวเอง เราดูแลพ่อแม่ดีหรือยัง รีบโทรศัพท์หาท่าน ท่านต้องการอะไรบ้าง ขาดเหลืออะไร จะให้ทำอะไรจะรีบทำให้ท่าน
ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดอย่างนี้แหละครับ
อย่ารอจนถึงเวลายกถาดอาหารไปเคาะที่โลงศพให้ท่านทานข้าว รอจนเอาน้ำมาราดป้ายชื่อที่หลุมฝังศพให้ท่านเย็น
ทำตอนที่ท่านยังมีชีวิตนี่แหละครับ
ท่านเป็นพระอรหันต์ของเรา กราบไหว้ท่าน ดูแลท่านเถอะครับ ไม่ต้องเสาะแสวงหาพระอรหันต์ที่ไหน อยู่ในบ้านเรานี่แหละครับ
ส่วนใครดูแลบุพการีดีอยู่แล้ว ก็อนุโมทนาบุญด้วยครับ
มีความสุขทุกคนครับ
คือนักแสดงค่ะ ^^
น้องตัวเล็กที่เป็นลูกที่ติดมากับภรรยาของลูกชายคนรองก็ดูเหมือนว่าจะคุ้นตาจากเรื่อง HANA (เป็นผลงานอีกเรื่องค่ะ เพิ่งมีโอกาสได้ดูเมือนกันเมื่อไม่นานมานี้) และใน I wish ก็ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนๆของตัวเอกด้วยนะคะ นอกจากนั้น ก็มีรุ่นใหญ่ๆที่เราจะเห็นวนไปวนมา อยู่หลายต่อหลายคนเลยทีเดียวค่ะ
ความคิดของโนบูตะ คือ รู้สึกได้ว่า ผู้กำกับโคริเอดะ เป็นคนที่รักเด็กนะคะ
(ฮ่าๆ ไม่มีเหตุผลอย่างอื่นค่ะ แต่เท่าที่สัมผัสงานกำกับของท่านมาบ้าง ..มันรู้สึกได้แบบนั้น)
เป็นนักปรัชญา ดีดี คนหนึ่งนี่เอง : )
ปล. โนบูตะ ชอบเสียงดนตรีอะคูสติกชิลล์ๆที่มาพร้อมกับภาพบรรยากาศทะเล เสียงคลื่น ภาพถนนที่มีคุณตาเดินไปเรื่อยๆ..เดินไปเรื่อยๆ เช่นกันค่ะ