แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม / ตอนที่ 5 : เดียนเบียนฟู เวียดนาม
แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ : ไทย ลาว เวียดนาม ตอนที่ 5 : เดียนเบียนฟู เวียดนาม
สำหรับผมแล้ว การเดินทางคงไม่ได้หมายถึงการไปถ่ายภาพในสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังขึ้นชื่อ หรือไปเพียงเพื่อให้รู้ว่าได้ไป สถานที่เหล่านั้นเป็นเพียงเป้าหมายเพื่อให้จะไปถึง แต่เรื่องราวระหว่าง 2 ข้างทางที่เรามุ่งหน้าไปยังจุดหมายนั้นสำคัญเสมอ ระหว่างเส้นทางผมยังคงสอบถามอ้ายคำใบคนขับรถเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆที่ผ่านมาเสมอ เรื่องราวของเขื่อนสำคัญและพลังงานที่จะขายในอนาคตคงไม่มีผลกับพวกเขามากนัก แต่สิ่งที่พวกเขาจะได้รับคือเส้นทางและการเดินทางที่จะสะดวกสบายมากขึ้นอย่างแน่นอน 04.39 pm. เราก็มาถึงด่าน Phog Saly เพื่อออกจากประเทศลาว เราทุกคนต่างเรียงแถวต่อกันเพื่อยื่นพลาสปอร์ตออกจากลาว มีบางส่วนที่พยายามจะยื่นแทรกคิว แต่ผมก็แนะนำพวกเขาให้ไปต่อคิวที่ต่อกันมา
น่าเสียดายที่ที่นี่ยังไม่สามารถใช้ห้องน้ำได้สะดวกนัก เพราะกลิ่นฉุนของน้ำในกระเพาะปัสสาวะ ของหลายๆคนที่ปล่อยออกมารอบบริเวณนี้ส่งกลิ่นคลุ้งไปหมด ซึ่งผมเองก็ปล่อยผสมไปด้วย อย่างไม่อยากตั้งใจเท่าไหร่นัก
05.11 pm เราก็เดินทางมาถึงด่าน CHAKHAU QUOC TE TAY FRANG ด่านที่ไม่เล็กเลยทีเดียว ตลอดเส้นทางจนถึงด่านแห่งนี้ถูกเตรียมการไว้รองรับสำหรับอนาคตเรียบร้อยแล้ว จากด่าน Phong Saly ประเทศลาว มาถึงที่นี่ใช้เวลา 11 นาที ผมและคุณปีเตอร์ยังมีปัญหาเรื่องสกุลเงินที่จะใช้ในเวียดนามกันอยู่ แต่ก็นั่นแหละว่า ผมยังมั่นใจถึงเงินไทยอยู่ดีว่าจะสามารถใช้ได้ที่เวียดนามแห่งนี้
05.22 pm พวกเราที่เดินทางร่วมกันครั้งนี้เริ่มเดินออกมารวมกลุ่มบริเวณด้านหลังด่าน ซึ่งเป็นเขตแดนแรกของประเทศเวียดนาม ป้ายภาษาเปลี่ยนไปจากที่เห็นในประเทศลาว ตอนนี้พวกเราข้ามแดนสำเร็จแล้ว ผมมาจากด่านที่ยังเล็กและกำลังทรุดโทรมในประเทศไทย ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาทั้งด่านไทย ลาว จนถึงเวียดนาม ทั้งสามด่านนี้ดูเงียบเหงาจนเหมือนว่าเราจะไม่สามารถข้ามไปได้ ที่เหล่านี้ไม่วุ่นวายเหมือนด่านใหญ่ที่ต้องต่อคิวกันยาวเหยียด
06.32 pm เราก็มาถึงโรงแรมที่พักที่อยู่ใกล้ๆสถาณีจอดรถของเดียนเบียนฟู อ้ายคำใบแนะนำให้พวกเราพักที่โรงแรมแห่งนี้ในราคา 200,000 D (1 B / 600 D) หรือประมาณ 333 บาท ซึ่งราคานี้ถือว่าอยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้เฉลี่ยแล้วคนละ 166 บาทซึ่งถือว่าไม่เลวทีเดียว แต่สำหรับเพื่อนชาวนอร์เวย์ 2 คนของผมที่พูดกันระหว่างทางคงไม่สนุกเท่าไหร่นัก พวกเขาซื้อตั๋วรถเที่ยวเดียวจากหลวงพระบางไปซาปา ชาวเกาหลีชายหญิงอีกสองคนก็ต้องจำใจพักที่เดียวกัน ตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือกใดๆ ทุกคนพยายามเข้ามาถามที่ผมเพื่อสื่อสารต่อจากอ้ายคำใบอีกที คำตอบที่ได้คือ พักที่นี่ดีที่สุด ใกล้ที่สุด และตั๋วไปซาปาจะได้ในตอนเช้า ไม่มีรถต่อไปซาปารวดเดียวอย่างที่พวกเราคิด
ปัญหาอีกอย่าง คือ ที่นี่ไม่รับเงินบาท จากไทยสู่ลาวผมสามารถใช้เงินบาทได้ทุกที่ แต่เพียงข้ามแดน ที่นี่!ไม่มีที่ไหนรับเงินบาท
เราขอแลกเงินจากอ้ายคำปันที่เตรียมเงินด่องไว้เต็มกระเป๋าในอัตราที่พอเหมาะ 1 B / 600 D ผู้หญิงชาวเกาหลีที่นั่งรถมาด้วยกันพยายามเข้ามาถามผมว่าแลกเปลี่ยนเงินดองอัตราเท่าไหร่ต่อดอลล่าร์ เราตอบไป 19,800 D / 1 USD ซึ่งเธอบอกว่าถ้ามีดอลล่าร์เราจะแลกได้ 23,000 D / 1 USD (33 B) ตามที่เธอแลกมา นั่นหมายความว่า เขาได้ส่วนต่างไป 3200 D / 1 USD หรือเงินบาทไปลดค่าลง 5 B / 1 USD โดยค่าเงินที่แท้จริงที่เราจะได้รับควรเป็น 1 B / 696 D เท่ากับตอนนี้เราขาดทุนไปแล้ว 96 D / 1 B ซึ่งหากแลก 1000 B ส่วนต่างก็เท่ากับ 96,000 D คิดเป็นเงินไทย 137 B เลยทีเดียว สำหรับผมไม่ได้คิดมากหรือหงกอะไรขนาดนั้น(แต่เงินก็ไม่หายจริงๆนะ) คงเป็นความสนุกที่ได้คิดและจินตนาการถึงค่าเงิน นี่แค่ส่วนเล็กๆแต่ถ้าเป็นการทำธุรกิจข้อมูลที่ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญและที่มากกว่านั้นคือแหล่งข้อมูลว่ามาจากไหน
สรุปง่ายๆ คือ ก่อนเข้าประเทศไหนก็ตามควรแลก USD ไว้แล้วค่อยเอา USD ไปแลกเงินท้องถิ่นปลอดภัยสุด ซึ่งทุกๆครั้งผมก็ทำแบบนี้ คือ พกเงินทั้ง 3 สกุล แต่ครั้งนี้ผิดพลาดอย่างมหันต์เพราะทุกทีจะหาที่แลกก่อนขึ้นเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามที่ให้เรทดีๆแต่ครั้งนี้ไม่ได้เตรียมการณ์ล่วงหน้า เพราะเข้าชายแดนจากด่านที่ยังไม่เปิดเป็นสากล ความจริงที่ไม่ต้องแก้ตัว คือ พลาด
เมื่อได้เงินก็เตรียมตัวไปหาของกินบริเวณรอบๆโรงแรมที่พักซึ่งมีร้านที่เปิดเพียงไม่กี่ร้าน หลังจากที่ไม่มีออร์เดอร์หลายๆอย่างในเมนูและปัญหาเรื่องการสื่อสาร เราเริ่มต้นมื้อแรกของเวียดนามด้วยข้าวผัด ราคา 50,000 D หรือประมาณ 83.3 B (1 B/600 D) เล่นเอาอึ้งไปพอสมควรกับข้าวคลุกน้ำมันนี้
หลังจากความอ่อนล้ากระชากผมให้หลับสนิทจนกระทั่งเช้า ผมลงจากห้องพักมาเจอกับเพื่อนชาวนอร์เวย์และเกาหลีที่กำลังจะเดินทางไปต่อที่ซาปา ชาวเกาหลีสองคนเดินไปซื้อตั๋วที่สถานีจอดรถเรียบร้อยแล้ว แต่เพื่อชาวนอร์เวย์ของผมยังคงยืนรออ้ายคำใบด้วยใจจดจ่อและกระวนการะวายเอาการอยู่ ผมบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเพราะผมกับอ้ายคำใบพักอยู่ที่ห้องใกล้ๆกันและเขาคงไม่หายไปไหน ผมบอกพวกเขาจากความมั่นใจในมื้ออาหารค่ำของพวกเราที่ผ่านไปเมื่อคืนและผมเองก็รู้หมายเลขห้องของอ้ายคำใบ อีกไม่นานเขาคงกลับมาพร้อมตั๋วและให้พวกเขารออยู่ตามที่นัดไว้ตรงนี้ สถานที่แปลกใหม่ อากาศที่ค่อนข้างเย็นและหมอกที่ปกคลุมทั่วพื้นที่หนาเอาการอยู่ ผู้คนขี่รถผ่านไปมาทั้งมอเตอร์ไซค์และจักรยาน ดูเรียบง่ายและสงบ ผมเดินเข้าสำรวจโรงแรมใหม่สำหรับการพักและสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ดูเหมือนจะหายากพอสมควรกับราคาที่ได้รับและบริการที่ต้องการจะได้ ไม่มีใครเข้าใจภาษาไทยอีกแล้ว
ผมอดแปลกใจไม่ได้ที่พวกเขาบางคนฟังภาษาลาวเข้าใจ แต่กลับไม่เข้าใจภาษาไทย
ผมเดินทางกลับเข้าที่พัก มือที่ล้วงกระเป๋าถูกดึงออกมาผลักประตูกระจกเพื่อเข้าโรงแรม พร้อมแรงประทะกับรอยยิ้มที่ยิงสวนมาของป้าเจ้าของที่พัก เธอชิ้ไปที่ด้านหลังของผม เธอบอกว่า "ไทยไทย" ตอนนี้ที่นี่ไม่มีทั้งเพื่อนจากนอร์เวย์และเกาหลีแล้ว
ผมเจอกับผู้หญิงไทยคนหนึ่งใส่หมวกผมยาวและเธอมาเพียงลำพัง เธอมาคนเดียวจริงๆหลังจากการพูดคุยสอบถามกันสั้นๆ สำหรับผมแล้วตอนนี้ไม่มีแผนอะไรเลยนอกจากหาซื้อแผนที่และเดินสำรวจ แต่สำหรับเธอมาถึงก่อนผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และตอนนี้ เธอเป็นเจ้าถิ่นแล้ว สำหรับผม
พวกเราชวนกันไปสำรวจพื้นที่ ณ เดียนเบียนฟู แห่งนี้ด้วยการเดิน นี้เป็นสิ่งที่ถนัดที่สุดสำหรับผม เพราะในความที่ช้านั้นเราจะสามารถมองเห็นบางอย่างได้ละเอียดกว่าความรวดเร็ว ที่มักผ่านเลยความงดงามของบางสิ่ง เราเดินกันมาที่ตลาด คุณแปมบอกว่าอาหารที่นี่ถูกดีทีเดียว มีผักและผลไม้วางขายกันเกลื่อน ทั้งปลาแม่น้ำตัวใหญ่ ปลาไหล หมู เนื้อ และที่ผมผมเหลือบเห็นลักษณะรูปร่างคล้ายๆสัตว์เลี้ยงบางชนิดที่แสนซื่อสัตย์กับมนุษย์บนโต๊ะ ที่แม่ค้ากำลังสับแต่ละชิ้นส่วนของร่างกายเพื่อแยกออกจากกัน
ผมเดินผ่านไปพร้อมกับคำถามที่ติดอยู่ในหัว
ไม่มีใครเข้าใจภาษาไทยและอังกฤษ ถึงแม้ที่นี่จะมีชาวไทดำ ซึ่งสามารถฟังภาษาไทยเหนือเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้าใจทั้งหมด เพราะมีแค่บางคำเท่านั้นที่เหมือนกัน นอกนั้นเป็นการดูคีย์เวิร์ดและแปลแบบเหมารวม
การสื่อสารที่ได้ผลที่สุดคือภาษาศิลป์ เพื่อความชัวร์ ผมวาดการ์ตูนง่ายๆเพื่อสื่อสาร ว่าเป็น โบ หรือ จ๋อ
ในที่สุดพวกเราก็มั่นใจในสิ่งที่เรากินลงไปเพราะเขาบอกว่า จ๋อ นั้นแพงมาก เอามาทำขายไม่คุ้ม เนื้อและหมูหาง่ายกว่าเยอะ
เมื่อเรียบร้อยสบายพุง มีลุ้นกันนิดๆเวลากินช่วงแรก ลิ้นที่หมดความรู้สึกแบบเฉียบพลัน เริ่มรับรสดีขึ้นในช่วงหลัง ราคาที่รับได้ 20,000 D หรือ 33 B พลังงานที่ถูกเติมให้กับร่างกายให้พวกเรามีแรงเดินต่อเพื่อให้ถึงจุดหมายเพียงแห่งเดียวเวลานี้ คือ พิพิธภัณฑ์
เราสอบถามและหาแลกเงินบาทมาเรื่อยๆกับหลายๆธนาคาร ไม่มีธนาคารแห่งไหนที่นี่รับแลกเงินบาท ไม่มีวี่แววของพิพิธภัณฑ์ ในขณะที่คุณแปมก็ต้องกลับฮานอยในเย็นวันนี้และบินกลับไทยในอีกวันที่ฮานอย จนกระทั่งเจอสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคนที่นี่เรียกว่า AHMOD (อาโมด) หรือ A1 เป็นสถานที่สำคัญที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย
คงไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับผมที่ไม่ได้เตรียมการอะไรมาเลยสำหรับการท่องเที่ยว ไม่มีข้อมูล ไม่มีแผนที่ ไม่มีเรื่องาวที่จะศึกษาให้ได้รู้ก่อนและเข้าชมเหมือนทุกครั้ง ไม่มีใครบอกเราได้ พวกเขาไม่เข้าใจภาษาไทย ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ผมแยกตัวออกมาถามคนขายของด้านหน้าสถานที่แห่งนี้ คุณแปมกับคุณปีเตอร์เข้าไปสอบถามจากด้านใน พนักงานขายตั๋วไม่เข้าใจ เธอมุ่งจะขายตั๋วให้พวกเราอย่างเดียวในราคา 15,000 D
คุณแปมเขาสอบถามหญิงผมมวยที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทดำซึ่งขายของบางอย่างอยู่ด้านในกำแพงกั้นนั้น และก็ได้ข้อมูลบางส่วนมาจากเธอ คือ ต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม สมรภูมิรบที่สำคัญแห่งนี้
ตอนนี้ผมเห็นแต่สงครามและการสูญเสีย สมรภูมิสำคัญที่เป็นเนินสูงกลางเมือง ไม่มีกลิ่นคาวเลือด ไม่มีผู้คนวิ่งหลบระเบิดหรือลูกกระสุน ไม่มีใครที่จ้องจะเอาชีวิตของใคร ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเศสหรือเวียดกง มีเพียงสถานที่ซึ่งเป็นอนุสรณ์ที่เศร้าสร้อยและเตือนใจ
ผมไม่รู้ว่ามีกี่ชีวิตที่ต้องสูญเสีย ณ สถานที่แห่งนี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องลำบากกันแค่ไหนทั้งฝ่ายที่รุกรานและป้องกัน การรุกล้ำเพื่อต้องการเขตแดน การไล่ล่าอณานิคม หลุมระเบิดขนาดใหญ่ ที่ละลายเนินหิน
ภาพรถถังที่หมดสภาพการใช้งาน และผู้คนที่ต่างเดินทางมาดูทั้งชัยชนะของอีกฝ่าย และความฝ่ายแพ้ของอีกฝ่าย ที่ทั้งคู่ต่างสูญเสีย
"เหมือนมางานวันเด็ก" เราคุยกันเบาๆในพื้นที่ที่ในอดีตเต็มไปด้วความเจ็บปวดแห่งนี้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องปลูกฝังให้เด็กเห็นถึงการห้ำหั่น การแสดงความเหนือกว่าของการใช้กำลัง ในงานวันเด็กที่หลายๆพื้นที่ต่างอยากแสดงถึงอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อบารมีของตัวเอง อาจจะทั้งข่มขวัญผู้ที่คอยจ้องจะทำร้ายและข่มขู่ผู้ที่ด้อยกว่าไม่ให้เหิมเกริม
เราทุกคนต่างรู้ดีว่าอาวุธเหล่านี้ มีไว้เพื่อทำลาย และไม่นานทุกอย่างก็จะกลายเป็นเพียงอดีตอันแสนเศร้าความทรงจำที่กัดกินใจ
พวกเราเดินเข้าช่องนั้นโผล่อีกทีช่องนี้เหมือนหนังอินเดีย เด็กๆคงไม่คิดอะไรมาก เพียงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นความสนุกแปลกใหม่และตื่นเต้น เหมือนเห็นสีสันสารพัดในเปลวไฟเป็นความสวยงาม จินตนาการของเด็กๆเป็นเรื่องสนุกเพราะไร้ขอบเขต และทุกอย่างจะหดสั้นและถูกตีกรอบบีบลดลงมาเรื่อยๆเมื่อเราโตขึ้น
เปลวไฟที่เราเคยเอามือสัมผัสจนมือพองจะไม่ถูกแตะต้องอีกต่อไป
นี่แหละโฉมหน้าของชาวไทดำผู้ให้ข้อมูลกับเรา เราอุดหนุนเธอด้วยเนื้อตากแห้งสูตรไทดำที่เธอยื่นให้เราชิม
11.11 am. เราเดินออกจาก A1 เพื่อหาพิพิธภัณฑ์ต่อ บริเวณด้านข้างผมเห็นนักท่องเที่ยวชายหญิง 2 คน กำลังจะถ่านรูปคู่ ซึ่งผมก็อาสาเข้าไปเป็นช่างภาพให้ พวกเขาเป็นชาวสิงคโปร์ เขาพูดพร้อมกับกางแผนที่ของพิพิธภัณฑ์ที่ผมสอบถามพร้อมกับหนังสือที่เกี่ยวกับ A1 อีกเล่มในราคาที่ไม่แพง เขาชี้ไปที่ถนนฝังตรงข้ามสำหรับที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์และรานขายหนังสือ ที่ตอนนี้ปิดทั้งหมด และจะเปิดอีกครั้งในเวลาบ่ายสอง
เรายืนงงกันอยู่ที่ด้านหน้าของสุสานของเหล่าทหารซึ่งผู้คนที่นี่ให้ความเคารพในการเสียสละของพวกเขาเพื่อประเทศ คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับจิตใจอันบอบช้ำของคนที่อยู่ด้านหลังของการสูญเสียเหล่านี้ หากพวกเขาทุกคนเลือกได้ คงไม่มีใครเลือกที่จะสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างแน่นอน
เพื่อนชาวสิงคโปร์ บอกว่าเพิ่งมาจากซาปา คุณแปมก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ซาปาหมอกหนามากมองไม่เห็นอะไรเลย ผมได้แต่คาดหวังลึกๆว่าวันที่ผมไปฟ้าจะเปิดเราเราจะสามารถมองเห็นทุกสิ่ง และความคิดของผมก็กลายเป็นคำพูดบอกกับพวกเขา ทั้งคุณปีเตอร์ คุณแปม ชาวสิงคโปร์สองคน พวกเขาตอบกลับมาเพียงสั้นๆ "หวังว่าคุณจะโชคดีกว่าผม เพราะผมรอแบบนี้มาหลายวันแล้ว" นั่นน่ะซิ! ผมเองก็หวังไว้แบบนั้นเหมือนกัน ผมกับแปมเดินเข้าไปชทด้านในสุสานในขณะที่คุณปีเตอร์รออยู่ด้านหน้า ข้างในสงบร่มรื่น สะอาด และถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ไม่รู้ว่าแต่ละหลุมเป็นญาติของใครบ้าง รู้แต่ว่าคุณความดีและจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง
เวลาที่เหลืออีก 2 ชั่วโมงกว่าพิพธภัณฑ์จะเปิด ทำให้เรามีเวลาที่จะเดินกลับมาที่สถานีรถโดยสารอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่ไกลเกินความพยายาม ในขณะที่คุณแปมจะเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมพร้อมสอบถามเรื่องความแน่นอนของตั๋วเดินทางกลับฮานอยหัวค่ำนี้ และผมตัดสินใจที่จะจองตั๋วเดินทางเข้าซาปาต่อในวันรุ่งขึ้น
ที่สำคัญตอนนี้ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าวเปล่าพร้อมอาหารอีก 3 อย่างรวมเนื้อของชาวไทดำอีกเป็น 4 อย่าง เฉลี่ยแล้วมื่อนี้อยู่ที่คนละ 50,000 D ซึ่งก็คุ้มกว่าอาหารมื้อแรกของผมที่นี่อยู่ดี
คุณแปมเสนอให้เอาเงินบาทมาแลกดอลล่าร์ที่เธอมีอยู่ในอัตราที่เธอแลกมาจากเมืองไทย
แล้วค่อยเอาดอลล่าร์ไปแลกกับเงินดองที่ธนาคาร ซึ่งแผนนี้ค่อนข้างได้ผล เราเข้าธนาคารที่ดูเหมือนจะให้อัตราแลกเปลี่ยนเราดีแต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ ไม่มีการเข้าคิว คนมาทีหลังยังยื่นเอกสารข้ามหัวเราไปมาและเจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจเท่าไหร่นัก
เราจึงเดินออกจากธนาคารแห่งนี้ไปเพื่อหาที่ใหม่ครั้งนี้ผมตัดสินใจแวะเข้าธนาคารอีกแห่งแบบอัตโนมัติ สังเกตุเห็นหมายเลขนำโชคของเราตั้งแต่เริ่มทริป อาคารเลขที่ 488 เราได้ช่องติดต่อหมายเลข 8 การแลกเงินครั้งนี้เราได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีกเพราะเมื่อเราหาค่ากลับจากดอลลาร์แล้วเราสามารถแลกได้ 1 B / 644 D
เมื่อได้เงินเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ ตอนนี้ทุกร้านเปิดกันหมดแล้ว ผมตัดสินใจซื้อแผนที่ของที่นี่พร้อมหนังสือเก็บไว้ เพื่อจะได้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นี่บ้าง ในปี 1953-1954 ซึ่งครบรอบ 60 ปี พอดี ในปี 2014 ในราคา 45,000 D พร้อมแผนที่อีก 30,000 D
ผมชอบซื้อแผนที่ประจำท้องที่มากกว่าจะหาใน Internet หรือโหลด GPS เพราะในนั้นมีรายละเอียดบางอย่างที่คนนอกพื้นที่อาจไม่เคยเห็น
เรื่องราวภายในพิพิธภัณฑ์เป็นเหมือนฉากจำลองเหตุการณ์จาก A1 ที่เราเพิ่งผ่านไปดูมา หลายๆภาพทับซ้อนกันไปมาในความทรงจำ จากภาพจำลอง ภาพถ่าย ภาพจริง จนเห็นเรื่องราวเคลื่อนไหวในจินตนาการได้ไม่ยากนัก
การมีแผนที่ทำให้เรารู้ว่าเราจะไปที่ไหนต่อได้ในเวลาที่เรามีอยู่ หลังจากผมถ่ายภาพกับเจ้าหน้าที่ ที่กำลังยกโทรศัพท์ถ่ายภาพพวกเราอยู่ ก็เดินออกมาเปิดแผนที่กันดูว่ามาที่ไหนที่สมควรไปได้ในตอนนี้บ้าง เราใช้เวลาเดินตามแผนที่ที่ได้มาถึงฐานบัญชาการของทางฝรั่งเศส ที่ในนั้นบอกไว้เหมือนกับเป็นหมู่บ้านอะไรสักอย่าง
แน่นอนว่าหากไม่มีแผนที่เราคงมาไม่ถึงที่นี่ซึ่งเราเป็นกลุ่มสุดท้ายก่อนที่เจ้าหน้าที่จะปิดการขายตั๋วเข้าชมพอดี กลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศสและคนท้องถิ่นมาที่นี่ ภายในความคิดของพวกเขาคงแตกต่างกันสำหรับที่สำคัญแห่งนี้ ที่ซึ่งมีไว้สำหรับวางแผนการรบ และมีไว้สำหรับการเข้าจู่โจมเพื่อยึดครอง เพื่อประกาศชัยชนะ
ระหว่างทางกลับเราเดินข้ามสะพานอีกแห่งที่สำคัญสำหรับครั้งอดีต เพื่อการลำเรียงอาวุธสู่ฐานทัพที่อยู่ใกล้ๆกัน ตลาดการค้าอาหาร พืชผักสดขนาดเล็กที่มีแม่ค้าเรียงรายขายของกันสองข้างทาง
ภาพบางภาพที่ผ่านตาทำให้ผมอดชื่มชมในความพยายามไม่ได้ จนกลายเป็นอีกแรงบันดาลใจสำหรับการอ่าน ภาพคุณยายที่ไม่ยอมแพ้ต่อร่างกายตัวเองที่เสื่อมลงเรื่อยๆ กำลังละลายไปกับหนังสือที่เธออ่าน ผมจะชื่นชมทุกครั้งที่เห็นใครสักคนตั้งใจอ่านหนังสือกันอยางใจจดจ่อ เพราะนั่นเป็นเรื่องราวที่พวกเขาได้เรียบเรียงมาจากมุมมอง ประสบการณ์ ความคิด เพื่อให้ผู้อ่านได้มุมที่แปลกไปจากเดิมหรือต่างไปจากสิ่งที่ตนเคยคิดเห็น
ผมเห็นภาพชายวัยกลางคนนั่งดูดควันจากบ้องไม้ไผ่ที่เห็นจนชินตาที่นี่ ผมเห็นผู้คนนั่งเล่นไพ่กันอย่างอิสระ บางแห่งตั้งโต๊ะเรียงรายเล่นกันข้างถนน เสร็จแล้วพวกเขาก็ลุกไปทำงานกันต่อ เพราะพักกันมาเต็มที่ตามวัฒนธรรมของฝรั่งเศสเรียบร้อยแล้ว ทั้งลาวและเวียดนามใช้เวลาของฝรั่งเศสเหมือนกัน แม้กระทั่งภาษาเขียนของเวียดนามก็คล้ายๆกัน
ผมไม่เห็นธงอาเซียนที่รวมธงของประเทศต่างๆสักผืนตั้งแต่เดินทางอกจากประเทศไทยมา พวกเขาคงไม่รู้ว่าอาเซียน คือ อะไร ผมไม่เห็นภาพของคนที่ถือแท็ปเลตเพื่อเล่นเกมแองกี้เบิร์ดหรือนั่งถูโทรศัพท์หรืออะไรก็ตาม ที่ดึงจินตนาการของพวกเขาเพียงเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว
เมื่อหมดเส้นทางผมต้องแยกทางกับคุณปีเตอร์และคุณแปมซึ่งจะเดินกลับโรงแรมและแวะตลาดระหว่างทาง สำหรับผมยังมีสถานที่อีกแห่งที่ต้องไปนั่นคือเนินที่มีอนุสาวรีย์เพื่อประกาศอิสระภาพและชัยชนะตั้งอยู่กลางเมือง
บันไดทางขึ้นกว่า 400 ขั้น ทำให้ผมเห็นเมืองทั้งเมืองได้โดยรอบ สำหรับผมยังตัดสินความเป็นอยู่ของคนหรือใครที่นี่ ไม่ได้ เพราะเท่าที่ผมเดินมาทั้งวันนี้นั้นเป็นเพียงแค่บางส่วนของเมือง ผู้คนก็แค่บางส่วนเท่านั้นเอง
ข้างบนนี้บรรยากาศดีมากตอนผมยืนอยู่ อากาศครึ้มแต่ก็ยังเห็นทิวทัศน์ได้ระยะไกล สายลมเย็นๆที่พัดผ่านมา หอบเอาคลื่นเสียงจากขลุ่ยอันโหยหวนที่กลุ่มชายวัยรุ่นกำลังเป่ากันอยู่บนนั้น กลุ่มเมฆที่เคลื่อนตัวเหมือนมีพลังงานขนาดใหญ่คอยส่งเสริมความเสียสละของผู้คนในยุคนั้น เพื่อคนรุ่นหลังๆได้ใช้ชีวิตกันอย่างสะดวกสบาย
มีผู้คนเดินออกกำลังกาย ถ่ายรูป ทั้งนักท่องเที่ยวทั้งยุโรปและเอเชียยืนเล่นอยู่บนนั้นอย่างหลวมๆพอไม่เหงา
ผมนั่งฟังเสียงขลุ่ยที่ล่องลอยไปตามสายลมพร้อมๆกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มหมดแรง แสงไฟต่างๆในเมืองเริ่มส่องประกายมากขึ้น และผมก็ต้องตัดใจเดินออกจากบรรยากาศเหล่านี้กลับลงไปด้านล่าง บางทีอาจทันส่งคุณแปมก่อนเดินทางเข้าฮานอยเพื่อกลับประเทศไทย อาจจะไม่เจอหรือเจอเพื่อได้ขอบคุณเธออีกครั้ง
6.00 pm. ผมเดินมาถึงที่พักพร้อมกับคุณแปมและคุณปีเตอร์ที่เพิ่งกลับมาจากตลาดพอดี เราทุกคนต่างหัวเราะแบบประหลาดใจเล็กน้อยที่ทุกอย่างลงตัวในจังหวะที่พอดี ทำให้ผมมีเวลาที่จะหิ้วกระเป๋าไปส่งเธอขึ้นรถในสถานีที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก
7.15 Pm. คุณแปมขึ้นรถไปฮานอยแล้ว เป็นรถแบบ Sleeping Bus ซึ่งเป็นเตียงสองชั้นสามแถวเรียงกันอยู่ การโบกมือลาและกล่าวขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆที่เราได้รู้จักและพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เช้าถึงเย็นคงเป็นการเริ่มต้นสำหรับมิตรภาพที่ดี
ผมกับคุณปีเตอร์เดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้งเพื่อเตรียมซื้ออาหารเช้าสำหรับการเดินทางไปซาปา ในเวลา 6.30 am. 2 คืน กับ 1 วันที่นี่ คงยังไม่พอสำหรับหลายๆสิ่ง
แต่สำหรับทริปการเดินทางที่ยังคงต้องเก็บให้ตลอดเส้นทางกับระยะเวลาที่มีอยู่ยังคงจำเป็น เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า เราอาจอยู่ซาปาซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของผมหลายวันเพื่อรอหมอกจาง หรือเราอาจไม่ได้เห็นอะไรเลยที่ซาปา สถานที่เรากำลังจะเดินทางไปต่อในวันพรุ่งนี้
ตอนที่ผ่านมาและต่อไป "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ; ไทย ลาว เวียดนาม" ตอนที่ 5 : เดียนเบียนฟู เวียดนาม <<<< Now! here ตอนที่ 7 : ซาปา2 เวียดนาม ตอนที่ 8 : ซาปา3 เวียดนาม ตอนที่ 9 : ฮานอย 1 เวียดนาม ตอนที่ 10: ฮานอย 2 เวียดนาม ตอนที่ 11 : เหว้ เวียดนาม ตอนที่ 12 : เหว้-สวรรณเขตสู่ไทย
Create Date : 09 มกราคม 2558 |
Last Update : 14 มกราคม 2558 12:05:40 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3769 Pageviews. |
|
|