ลับแล ซะที
คงต้องบอกไปแบบนั้นจริงๆ
เพราะกว่าจะมีโอกาสได้มาที่นี่แต่ละครั้ง
ต้องตั้งท่าเป็นสเต๊ปหลายท่า
แต่จนแล้วจนรอดก็หลงสเต๊ปตัวเองยิ่งกว่าหลงในลับแลซะอีก กลายเป็นลับหาย(ไปเลย)
บริเวณทางเข้าเมืองลับแล
ซุ้มทางเข้า ซึ่งเมื่อสังเกตุบริเวณด้านข้าง
ดูเหมือนกำลังมีคนนั่งเศร้าอยู่
ว่ากันว่า
ใครก็ตามที่เข้ามาเมืองลับแลแล้ว
"ห้ามโกหก"
ยกเว้น.........
"นักการเมือง" กร๊ากกกกก
ตั้งใจจะเข้าวัด
แต่ อาจารย์จักรพงษ์ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ ก็พาพวกเราครอบครัวเล็กๆ
แวะมากินเกี๊ยวทอด ผักทอด ที่อาย่อยเหาะ
หลังจากเสร็จภาระกิจก็เดินทางมาถึงสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้
ในช่วงบ่ายยังคงมีหลายกิจกรรมครับ
หลายๆคนได้เตรียมพร้อม เตรียมตัวสำหรับ งานบุญใหญ่ครั้งนี้
วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
มีการตั้งโรงทานไว้รองรับญาติโยม ที่เตรียมพร้อมขึ้นมาทำบุญบนม่อนแห่งนี้
บางส่วนก็ช่วยกันทำดอกไม้สำหรับเวียนเีทียนในช่วงกลางคืน
ทำแจกครับไม่ได้ทำขาย ทุกอย่างฟรีหมด ใตรอยากบริจาคก็แล้วแต่กำลังศรัทธา
หากใครเดือดร้อน ไม่มีหรือมีแต่น้อยก็ไม่ต้องให้
แบ่งเบาภาระกันไป ทำบุญร่วมกัน ที่สำคัญคือ น้ำใจที่มีต่อกัน
นี่แหละครับความประทับใจอีกจุด ที่สถานที่แห่งนี้มอบให้ซึ่งกันและกัน
"สำนักปฏิบัติธรรมม่อนอารักษ์" สถานปฏิบัติธรรมที่อยู่บนยอดภู ที่สะอาด บรรยากาศดี
ร่มรื่น เหมาะกับการสำรวจภายในจิตใจของเราเองเป็นอย่างยิ่ง
ลองถามตัวเองดูหรือยังว่า
เคยเข้าสำรวจตัวเอง หรือเข้าใจตัวเองบ้างหรือเปล่า
หรือเรา มัวแต่เอาใจ เข้าใจ ตามใจ ผู้อื่น
จนไม่รู้จักกับตัวเอง
หรือไม่เคยเลย
สักครั้ง
ที่จะเข้ามองดู
ทั้งตัวเองและผู้อื่น
(ขอบอกที่สำคัญอีกอย่าง ห้องน้ำสะอาดมากครับ (เอาไว้โอกาสหน้าจะเอาภาพมาลงเพิ่มให้นะครับ)
เห็นชุดขาวที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ด้วยผ้าปิดแผลบริเวณจมูก
ก็คือ อาจารย์ จักรพงษ์ ผู้เชิญชวน หลายๆคนได้มีโอกาสมาสร้างกุศลกันนะที่แห่งนี้
หลายท่านนอกจากจะมาเตรียมตัวทำวัตรเย็นและเวียนเทียนแล้ว
ยังนำอาหารมาแจก แบ่งปัน เพื่อเพิ่มพลังงานและมวลกายให้กับ ผู้ที่เตรียมตัวมาปฏิบัติธรรมทุกท่านด้วย
นี่แหละครับอาหารสารพัดที่นำมาต้องเป็นโรงทาน
ตักกันใหญ่ อาหารแต่ละอย่าง รสชาติดีๆทั้งนั้นเลยครับ
เสียดายที่ผมเองลองชิมไม่หมด
เพราะมีหลายซุ้มเหลือเกิน
หลวงพ่อพระอาจารย์ผู้ดูแลสำนักสงฆ์แห่งนี้
กำลังพูดคุยกันแบบง่ายๆ สบายๆ ถึงบางสิ่งอยู่
ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ คงไม่พ้นเรื่องของชีวิตและการเดินทางในโลกใบนี้
เมื่อได้เวลาทำวัตรเย็น ทุกคนต่างขึ้นมาบนศาลา
เพื่อสวดมนต์เย็นร่วมกัน ก่อนการนั่งสมาธิ
เพื่อพิจารณากาย และจิตใจ
การเดิืนทาง การวนเวียน และการเวียนเทียนได้เกิดขึ้นและจบลง
เหมือนวัฐจักรที่เกิดขึ้นมาหลายพันปี
ผู้คนหลายวัย ต่างก้มกราบ สวดมนต์ ออกเดิน จนกระทั่งการหยุดเพื่อพิจารณา
เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ
หลายคนรอเพื่อทำบุญเช้า ณ ที่แห่งนี้
ที่แน่ๆ หลายคนที่รอนั้น ไม่ใช่คนแถวๆนี้
ที่หลับนอน เป็นเสื่อผืนหมอนใบ
ไม่มีอะไรมากมาย
พวกเรามากันเป็นครอบครัว ก็อยู่รวมกันเป็นครอบครัว
อ.จักรพงษ์ บอกว่า
สุดท้าย....
ก็แค่เสื่อผืนเดียว ที่ห่อร่างนี้ไว้
ก่อนถูกโยนเข้าสู่กองฟืน
เหลือเวลาให้นอนสักไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลาตี 4 ที่พวกเราต้องลุกขึ้นตื่น
เื่พื่อทำวัตรเช้า
หลังจากทำวัตร หลายท่านมีโอกาสนั่งสนทนากับพระอาจารย์ถึงผลการปฏิบัติธรรมเมื่อคืนที่ผ่านมา
ก่อนที่อีกสักพัก พวกเราจะลงไปตลาดโบราณด้านล่างม่อนหรือภูแห่งนี้
อากาศที่เย็นชื่นใจตอนรุ่งสาง
ที่หลายๆคน(รวมทั้งผม) ไม่ได้สูดหายใจเข้าเต็มปอดมานาน(ตื่นสาย)
วันนี้นอกจากล้างใจแล้ว ก็ได้ฟอกล้างปอดไปในตัวด้วย
สักพัก อาทิตย์เริ่มโผล่
เราำ็ก็ออกเดินทางลงจากยอดม่อนลงตลาดโบราณ ที่ชื่อ ฝายหลวง
ตลาดท้องถิ่น ที่หลายคนชอบที่จะมาเดินชมวัฒนธรรมความเป็นอยู่ การอยู่กินของคนท้องถิ่น
ที่เปิดเพียงถึง 7.30 น. ตลาดก็เริ่มวาย หายทั้งคนซื้อคนขาย
สำหรับเราหาอาหารและได้กับข้าวมาใส่บาตรแล้ว
เดินกลับ พร้อมกับการต่อสู้กับแรงดึงดูดของโลก
แรงดึงดูดที่ดูเหมือนจะทำให้น้ำหนักตัวของเราหนักกว่าเดิมหลายเท่าหนัก
การสนทนาธรรม และมุมมองของปัญหายังคงเกิดขึ้นเสมอทุกมุมของสถานที่แห่งนี้
แม้กระทั่งการอยู่เพื่อพูดคุยกับตัวเอง
พระอาจารย์บอกว่า
"อย่าหลงกับสุข และอย่าติดกับทุกข์ แชร์สองความรู้สึกให้เท่าๆกันแบบง่ายๆสบายๆ"
ผมบอกพระอาจารย์ว่า
"ขอโทษนะครับ เพื่อนบอกผมว่าผมกวนส้นตรีนนนเป็นที่สุด
สาเหตุคงเป็นเพราะ เวลามันชมผม ผมเองก็ยิ้มรับเล็กๆ เวลาด่าผมก็แ่ค่อมยิ้ม"...
เราทั้งโต๊ะต่างหัวเราะ
นี่ไงปล่อยวาง
ต้นไม้ต่างชนิด แต่อยู่รวมกันได้โดยไม่เกี่ยงงอน
แต่คนเรานี่หนอ แค่คิดต่าง ก็โดนถีบกระเด็นไปอีกข้างอย่างมึนๆ
ได้เวลาอีกสักพัก พวกเราก็เดินขึ้นม่อนภูสูงอีกชั้น
ที่กำลังจะสร้าง พระพุทธรูปหยกขาวและพิพิธภัณฑ์เมืองลับแลที่นี่
มาชื่นชมดอกหญ้าเล็กๆ
พร้อมกับอากาศที่สดชื่นล้างพิษ
ล้างออกทั้งในกายและในใจ
พระอาจารย์ปฏิบัติธรรมมาหลายสิบพรรษา
เคยคิดว่าจะไม่สร้างอะไร สิ่งใดๆ เพราะเชื่อตามหลักธรรมองพระพุทธเจ้า
บนม่อนแห่งนี้จึงเป็นเพียงกระต๊อบในสมัยก่อน
ต่อมา พระอาจารย์บอกว่าไม่อยากเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว
สิ่งสำคัญคือต้องบอกกล่าวและแนะนำผู้คนให้รู้จักตัวเอง รู้จักโลกและธรรมชาติ
การก่อสร้างจึงจำเป็น ความไม่ลำบากจนเกินไปสำหรับผู้มาฝึกปฏิบัติก็จำเป็น
อาจเพราะ คนธรรมดาเองต้องทำงานและวิ่งวนอยู่ในสังคม
จึงต้องการความรวดเร็วและเห็นผล
การสร้างสถานปฏิบัติธรรมและตัวแทนรูปเคารพจึงจำเป็นต้องมี
เพียงแต่ ต้องนำหลักธรรมคำสอน มาพิจารณากับตัวเองให้ได้
นี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการกลับมาสู่สังคมอีกครั้งของพระอาจารย์
เมื่อเสร็จจากทางสำนักปฏิบัติธรรม อาจารย์จักพงษ์ก็พาพวกเรามาปล่อยปลา ปล่อยกบ
ที่ริมแม่น้ำน่าน ณ บ้านคอวัง บริเวณตลาดในตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ห่างจากสำรนักเพียงไม่กี่กม.
ที่นี่มีต้นสาละด้วย
ผมเพิ่งเคยเห็นผลเป็นครั้งแรก ทำให้ผมเองเริ่มมีสาละขึ้นมาบ้างแต่คงยังไม่หนักจนเกินใบ
เพราะสาละก็มีดอกให้ชื่นชมเหมือนกัน
บรรดากบและปลาต่างแหวกว่ายน้ำเพื่อกลับภูมิลำเนาอย่างสบายใจ
พวกเธอ รอดแล้วนะ
โย่ว!
อาจรย์จักรพงษ์เฉลยว่า สาเหตุที่เราต้องมาปล่อยรวมกันเป็นหมู่คณะ
เพราะเมื่อเรารวามกลุ่มกันมากๆ ต่างคนต่างบารมี เมื่อมีปัญหาใหญ่ที่มันหนักอึ้ง
คนหายคนช่วยกันแบก ภาระนั้นย่อมผ่านพน
จากหนัก ก็เบาลงเพราะช่วยเหลือกัน
ดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยเราก็มีคนมาช่วยโยนบางปัญหาออกจากอกไปได้บ้าง
เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน
การสำรวจของผมก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ลองดูๆไป รถคันนี้แรงชะมัด สามารถไต่เขา ขึ้นเก็บทุกเรียนได้
แต่เราคงเก็บไม่เป็น ขนาดแกะยังไม่เป็นเลย เพราะกินเป็นอย่างเดียว
นี่ไงการขนถ่ายสินค้า ด้วยรถที่หากมองเผินๆคงคิดว่าขับไม่ได้
แต่ภายนอกกับเสียงเรื่องยนต์ที่ยังแน่นเปรี้ยะ
บอกว่า ไปได้สบายมาก
เพราะฉะนั้นการตัดสินบางสิ่งแค่ภายนอก
จึงเป็นแค่การคิดไปเอง จนเกือบจะสะกดจิตตัวเองให้เชื่อตามที่ตาเห็น
น่าเสียดาย ที่คนส่วนใหญ่ชอบเหลือเกินที่จะสะกดจิตตัวเอง
สะกดจนลืมตัวตนและธรรมชาติที่แท้จริงของความเป็นคน
มีอีกหลายเรื่อง ที่ปล่อยผ่านเลยไป เก็บเอาไว้แค่ในภาพถ่ายและความทรงจำ
แล้วมีโอกาสจะจัดแบบเต็มๆทริปเลยนะ
จะได้ถึง "ลับแล ซะที"
ชมภาพเพิ่มเติม คลิ๊กเลยครับ>>> คลิ๊ก!!