1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
TK Reading Club : เหมืองแร่
27 กันยายน 2559
เมื่อวันเสาร์ที่ 24 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปร่วมการสนทนานักอ่าน ที่จัดขึ้นโดยห้องสมุดมีชีวิต TKpark เป็นกิจกรรม TK Reading Club ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน ในวันนี้เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด เหมืองแร่ ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ โดยเป็นการล้อมวงสนทนาเกี่ยวกับรายละเอียดที่ได้รับจากการอ่านหนังสือเรื่องนี้ ซึ่งมีวิทยากรผู้นำการพูดคุยเพื่อให้ความรู้คือคุณวีระยศ สำราญสุขทิวาเวทย์ บรรณาธิการของสำนักพิมพ์โอเลี้ยงห้าแก้ว และเป็นผู่ช่วยส่วนตัวของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นในลักษณะกลุ่มสนทนาสำหรับผู้ที่ได้เคยอ่านเรื่องสั้นชุด เหมืองแร่ มาแล้ว โดยมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นหลัก ผมขอรวบรวมรายละเอียดมาเขียนเป็นประเด็นสำหรับนำเสนอให้แก่ท่านที่สนใจเรื่องสั้นชุด เหมืองแร่ นี้ (ผมอาจจะเขียนสรุปออกมาไม่ครบถ้วนตามที่ได้คุยกันทั้งหมด เพราะผมเขียนสรุปจากการที่ผมได้จดคำบรรยาย (จดเลคเชอร์)ไม่ได้เขียนแบบการถอดเทปคำบรรยาย แต่ผมก็พยายามที่จะสรุปเป็นประเด็นให้ตรงมากที่สุด ถ้ามีส่วนใดที่ตกหล่นหรือผิดพลาดไปผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย )
@คุณวีระยศเล่าถึงการที่ได้มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคุณอาจินต์ว่า ตอนผมอายุ 13 ปี ก็ได้เป็นลูกศิษย์คุณอาจินต์แล้ว คือตอนนั้นยังเรียนอยู่แล้วได้วาดการ์ตูนส่งประกวดที่นิตยสารฟ้าเมืองไทย เพราะก่อนหน้านั้นเคยส่งผลงานการ์ตูนได้ลงนิตยสารเบบี้มาก่อนแล้ว พอการ์ตูนได้ลงนิตยสารฟ้าเมืองไทยจึงไปที่สำนักพิมพ์โดยหวังว่าจะได้เจอกับจุก เบี้ยวสกุล ที่คุมคอลัมน์การ์ตูนในฟ้าเมืองไทย เพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นอาจารย์สอนเราได้ แต่สุดท้ายไปเจอคุณอาจินต์แทน และครูภาษาไทยที่สอนคือ อาจารย์จรัญ พากเพียร ที่เป็นนักเขียน ก็เป็นลูกศิษย์ของคุณอาจินต์เช่นกัน คุณอาจินต์ได้ถามอาจารย์จรัญว่าผมเป็นมาอย่างไร? ตั้งแต่นั้นมาจึงได้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคุณอาจินต์ @ช่วงที่ไปอยู่กับคุณอาจินต์เป็นช่วงที่คุณอาจินต์เขียนบทความและตอบจดหมายแล้ว จึงได้ไปหางานเก่าๆ ของคุณอาจินต์มาอ่าน คือเรื่องสั้นในชุดเหมืองแร่ อ่านแล้วก็ชอบเพราะว่ามันโดนใจ อ่านชุด เหมืองแร่ในดวงใจ @ตอนคุณอาจินต์อายุ 14 ปี เป็นยุวชนทหาร มีเขียนอยู่ในเรื่อง ร่ายยาวแห่งชีวิต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณอาจินต์ถูกเกณฑ์ไปฝึกเป็นยุวชนทหาร @พี่สาวคุณอาจินต์คือคุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ พี่ชายคือลุงลัดดา น้องคนเล็กของคุณอาจินต์เป็นพยาบาล พ่อของคุณอาจินต์คือขุนปัญจพรรคพิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ปี 2490 -93 @ช่วงที่คุณเก้ง จิระ มะลิกุล จะทำภาพยนตร์เรื่อง มหาลัยเหมืองแร่ นั้น มีการไปสำรวจพื้นที่และย้อนรอยเหมืองแร่ก่อน ไปดูพื้นที่เหมืองแร่ของชาวออสเตรเลียที่คุณอาจินต์เคยทำงาน ในตอนนั้นได้เจอตัวละครไอ้ไข่ในเรื่องด้วย ลุงไข่ในเรื่องเป็นคู่หูของคุณอาจินต์ ลุงไข่ชื่อจริงว่าลุงแอ้ม @นายฝรั่งของเหมืองแร่ (ชาวออสเตรเลีย) คุณอาจินต์นับถือเหมือนเป็นพ่อบุญธรรม @คุณอาจินต์เคยเรียนที่คณะวิศวะจุฬาฯ พอเกิดสงครามโลกรั้งที่ 2 คุณอาจินต์ได้ไปพักอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด (จังหวัดสุพรรณบุรี) จึงได้คลุกคลี่และคุ้นเคยอยู่กับคนต่างจังหวัดและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซี่งเป็นประสบการณ์ตรงที่ทำให้คุณอาจินต์อยากเป็นนักเขียน และอยากเป็นศิลปินมากกว่าที่จะเป็นวิศวะกร พอหลังจากสงครามโลกแล้วก็ไม่ได้เข้าเรียนจึงต้องออกจากจุฬาฯ @หลังจากนั้นก็พยายามไปสมัครงาน และเริ่มเขียนหนังสือแต่ก็ยังไม่ได้ลง เพราะยังไม่มีประสบการณ์จึงยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ คุณพ่อของคุณอาจินต์จึงได้ส่งตัวให้ไปทำงานที่เหมืองแร่ ก่อนลงใต้ไปทำงานคุณอาจินต์ได้เขียนเรื่องสั้น กลัวทะเล ตั้งใจว่าจะได้คุณพ่อได้อ่านแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคุณพ่อของคุณอาจินต์หนักแน่ในเรื่องการทำงาน ต้องการให้ลูกทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้รู้ว่างานที่แท้จริงคืออะไร @ตอนที่ไปทำงานแล้ว เรื่องสั้น เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก ในลงตีพิมพ์ ได้เงิน 80 บาท ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น หลังจากนั้นก็เขียนอีกหลายเรื่องแต่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ เป็นทั้งเรื่องสั้นและความเรียง @พอกลับมาจากเหมืองแร่อาชีพที่คุณอาจินต์อยากทำคือเขียนหนังสือ โดยเริ่มต้นจากการเขียนบทความ เรื่องสั้นต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้สึกจากเหมืองแร่เป็นหลัก ในช่วงแรกใช้นามปากกาว่า จินตเทพ หลังจากนั้นก็พยายามอ่านผลงานของนักเขียนท่านต่าง ๆ ในสมัยนั้นให้มากขึ้น @ คุณอาจินต์รู้จักกับครูเหม เวชกร ประมาณปี 2511 ตอนที่ครูเหมมาออกงานโทรทัศน์ ช่วงนั้นสนิทกับลุงต่วย (วาทิน ปิ่นเฉลียว) เพราะเป็นคนรุ่นเดียวกัน เรียนจุฬาฯ ด้วยกัน (ลุงต่วยเรียนคณะสถาปัตย์) @เริ่มต้นเขียนหนังสือสไตล์ลูกผู้ชายรุ่น ๆ นิยายบู้ แบบอรชร และอรวรรณ เป็นนิยายสไตล์ผู้ชาย กวน ๆ มีพระเอกมีผู้ร้าย เขียนเรื่องแรก ๆ นรกเหมืองแร่ แต่เรื่องนี้เขียนไม่จบ @นวนิยายเรื่อง ในเหมืองแร่มีนิยาย เป็นนวนิยายเรื่องแรกที่คุณอาจินต์เขียนจบ เอาไปส่งที่หนังสือบูรพาภิรมย์ ของยาขอบ ลงไปทั้งเรื่องแต่ว่าไม่ได้เงินค่าเรื่อง เพราะว่านักเขียนหน้าใหม่ในสมัยนั้นที่ยังไม่มีใครรู้จักถ้าอยากให้มีคนรู้จักต้องลงไปก่อน พอเขียนเรื่องต่อ ๆ ไปจึงจะมีเงินค่าเรื่องให้ @ป้าอุ่ม (ชอุ่ม ปัญจพรรค์) เห็นว่าคุณอาจินต์เริ่มเขียนเรื่องได้แล้วจึงให้เขียนเรื่องอื่นต่อ ซึ่งเรื่องที่ 2 ที่เขียนชื่อ บ้านแร่ ลงใน โฆษณาสาร ลงประมาณ 7-8 ตอนจบ ได้เงินค่าเรื่องด้วย แต่ว่าคุณอาจินต์ไม่ได้เอาเรื่องนี้มารวมเล่มเลย เพราะคิดว่าเรื่องนี้เป็นงานเขียนที่ยังไม่ได้ขัดเกลาหรือยังไม่มีภาษเป็นของตัวเอง ยังไม่เป็นตัวตนเท่าไหร่ จึงยังไม่ได้เอามาพิมพ์ใหม่เลย เนื้อเรื่องเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาประมาณว่า ... เขาเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้จัก เขามาจากกรุงเทพฯ มาทำให้หมู่บ้านนี้มีคุณค่า มีของสำคัญที่ยังคงอยู่ไว้ก็คือแร่ ซึ่งเป็นพล็อตพระเอกพเนจรซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น @หลังจากนั้นคุณอาจินต์เอา ในเหมืองแร่มีนิยาย มาขียนใหม่ ขัดเกลาใหม่ แล้วตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ โอเลี้ยงห้าแก้วของตัวเอง โดยที่ไม่ได้พูดถึงประวัติเก่าตอนที่เขียนเรื่องนี้เลย @เรื่อง ใต้แผ่นดิน เป็นร่างที่สองของเรื่องในแนวเหมืองแร่ล่ม นำมาพิมพ์ใหม่เป็นแนวการต่อสู้ในเหมือง @ระหว่างปี 2496-97 มีสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ขึ้นมา เล่มแรกมีเรื่องสั้นของคุณอาจินต์และคุณสุรพล บุญนาคลงในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์เล่มแรก โดยคุณอาจินต์เขียนเรื่อง สัญญาต่อหน้าเหล้า ซึ่งเรื่องนี้คุณจำนง รังสิตกุล ได้อ่านด้วยจึงได้ชวนคุณอาจินต์มาทำงานโทรทัศน์ มาเขียนบทละครทีวี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคุณอาจินต์ในวงการโทรทัศน์ @นวนิยาย แผ่นดินแร่ และเรื่อง เลือดในดิน ลงในโฆษณาสาร ซึ่งเขียนก่อนชุดเหมืองแร่ @พอทำงานที่ทีวี คุณอาจินต์ได้เป็นบรรณธิการของ นิตยสาร ไทยโทรทัศน์ @จุดเปลี่ยนแปลงคือ หลังจากที่ได้ทำงานทีวีและเขียนบทละครโทรทัศน์มากกว่า 50 เรื่องแล้ว คุณอาจินต์ได้รับคัดเลือกให้ไปดูงานทีวีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการไปอเมริกาครั้งนี้น่าจะได้รับอิทธิพลในการเขียนกลับมาบ้าง คุณอาจินต์ได้ซื้อหนังสือรวมบทกวี ของ โพส วิทแมน (Walt Whitman) กลับมาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพชีวิตชนบทของอเมริกา จึงทำให้คุณอาจินต์อยากเขียนเรื่องชนบทมาก นอกจากนั้นได้ดูรายการทอค์โชว์ของอเมริกาชื่อ ลูกฝรั่งช่างพูด ประมาณว่าเด็กต่อเด็กคุยกัน พิธีกรคุยกับเด็ก เป็นการพูดที่ไม่มีการปั้นแต่ง คุณอาจินต์จึงชอบบทสนทนาในแนวนี้มาก เพราะถือว่าเป็นการพูดคุยด้วยเชาวน์ปัญญา
@ปี พ.ศ. 2503 เขียนเรื่องสั้นชื่อ ผีตัวแรก ก่อน เนื่องจากจำได้ว่าในวันแรกที่ไปเหมืองแร่ได้เจอผีก่อน ซึ่งเป็นผีที่คุณอาจินต์คิดไปเอง คุณอาจินต์เขียนในลักษณะเรื่องจริงผสมกับเรื่องแต่งที่เนียนมาก เป็นเรื่องที่อ่านแล้วต้องคิดตามว่าเป็นจริงหรือไม่จริง @ในปี 2503 มีงานชุด ลุยทะเลคน ที่เรื่องไม่ได้เกี่ยวกับเหมืองแร่ และเรื่อง ลูกฝรั่งช่างพูด ที่แปลเป็นภาษาไทยได้จัดพิมพ์ก่อนที่จะเขียนเรื่องสั้นในชุดเหมืองแร่ @ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนอ่านเริ่มรู้จักคุณอาจินต์แล้ว เป็นช่วงที่เริ่มไหลแล้วเพราะเริ่มมีความกล้าในการเขียนมากขึ้น มีเขียนเรื่องบทละครหลายเรื่องจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และเขียนเรื่องสั้นมากมายลงในนิตยสาร สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ , ชาวกรุง , สายฝน ฯลฯ ซึ่งเป็นการเขียนเรื่องสั้นในชุดเหมืองแร่ทั้งหมด โดยเขียนไล่ตามตัวละครในเหมืองแร่ที่คิดขึ้นได้หรือที่จำได้ (ไม่ได้เขียนตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้นในเรื่อง) @คุณอาจินต์เขียนเรื่องสั้นในชุดเหมืองแร่ เขียนตั้งแต่ 2503 ถึง 2507 ได้ประมาณ 50 กว่าเรื่อง จึงเริ่มรวมเล่มในชุดเหมืองแร่ ซึ่งเป็นเรื่องของคนต่างจังหวัดที่ทำงานกลางแจ้ง โดยพิมพ์เองชื่อชุด ตลุยเหมืองแร่ เป็นเล่มแรก @สีชมพูยังไม่จาง เป็นบทความที่ลงในนิตยสารของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนเหมือนเป็นคำปฏิญาณที่บอกว่า คำ(สีชมพู)มันจะไม่จางด้วยเหนื่อยแต่ยังจางด้วยน้ำลายของคน @เหมืองน้ำหมึก เป็นหนังสือชุดเหมืองแร่เล่มที่ 2 , ชุดเหมืองแร่เล่มที่ 3 ชื่อ เสียงเรียกจากเหมืองแร่ , ชุดเหมืองแร่เล่มที่ 4 ชื่อ สวัสดีเหมืองแร่ @เรื่องสั้น น้ำกับน้ำใจ เป็นเรื่องสั้นที่ดังมากในสมัยนั้น ดังมากจนอาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง บรรณาธิการสตรีสาร คัดเลือกแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อส่งนิตยสาร เอเชียแม็กกาซีน ถือว่าเป็นนักเขียนคนแรกที่ได้ลงเรื่องในนิตยสารนี้ @คุณอาจินต์มีงานเขียนที่ไม่ใช่เหมืองแร่ด้วย เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองผูกติดอยู่กับเฉพาะเหมืองแร่เท่านั้น โดยมีทั้งบทความ , มีความเรียงชุด ปรัชยาไส้ ที่ลงในนิตยสารฟ้าเมืองไทย , มีบทบรรณาธิการต่างๆ , มีสารคดีท่องเที่ยวเหมืองแร่ผ่านอดีต ฯลฯ @จุฬาฯ ปฏิเสธข้าพเจ้า เป็นหนังสือที่คนจุฬาชอบอ่าน เป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจในการเรียนวิศวะ เพราะเขาจะสอนกันว่าถ้าอยากเรียนวิศวะให้จบต้องอ่านเล่มนี้จะได้ไม่ถูกไล่ออก @ในช่วงที่คุณอาจินต์เขียนเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่นั้น คุณอาจินต์ก็ได้เขียนผลงานอื่น ๆ ด้วย มีเรื่องสั้นรวมเล่มในชื่อชุดต่าง ๆ , มีเขียนบทความรายวันลงหนังสือพิมพ์ เสียงอ่างทอง ด้วย อาทิเรื่อง ฝูงคนกำเนิดคล้ายคลึงกัน , คนตื่นเช้า , คนเมืองนอก รวมทั้งบทละครที่เขียนเยอะมากหลายร้อยเรื่อง ฯลฯ ซึ่งถือว่าคุณอาจินต์เป็นคนที่เขียนหนังสือเยอะและเขียนหลากหลายประเภทด้วย @เรื่อง เหมืองทองแดง ไม่เกี่ยวกับชุดเหมืองแร่ดีบุก แต่เป็นเรื่องเหมืองทองแดงที่เด็กวิศวะรุ่นพี่ของคุณอาจินต์ไปทำงานแล้วมาเล่าให้ฟัง ซึ่งคุณอาจินต์ประทับใจเลยเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา @ถ้าใครอ่านเรื่องสั้นในชุดเหมืองแร่นี้แล้ว นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินจากเนื้อเรื่องแล้ว ผู้อ่านยังได้รู้ถึงชีวิตของคนเหมืองแร่ ว่าพวกเขาเป็นกันอย่างไร? ทำงานกันอย่างไร? ถือว่าคุณอาจินต์เป็นนักเขียนคนเดียวของโลกนี้ที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับเหมืองแร่ ซึ่งเป็นการทำเหมืองแร่ในแบบเก่าที่ปัจจุบันเลิกไปแล้ว ที่ถือว่าเป็นยุคทองของการทำเหมืองแร่ดีบุก ก่อนที่จะล่มสลายไป @เรื่องสั้นชุดเหมืองแร่นี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่ต้องสู้ชีวิต ต้องต่อสู้กับเรื่องปากท้องในแต่ละวัน รวมทั้งต้องต่อสู้กับสภาพดินฟ้าอากาศด้วย โดยผู้ที่จะมาทำอาชีพในเหมืองแร่นี้อาจจะไม่ใช่คนที่มีความรู้มากหรือต้องใช้เงินมากในชีวิตประจำวัน แต่ต้องต่อสู่ฝ่าฟันในแต่ละวันให้ผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีของการอยู่ได้และการอยู่รอด รวมทั้งมีเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้านายและลูกน้อง ที่เป็นการยอมรับซึ่งกันและกันว่าแต่ละคนไม่ได้เก่งไปทุกเรื่องหรอก ชีวิตหรือการทำงานจึงต้องสัมพันธ์กันต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน @คุณวีระยศ ชอบเรื่อง น้ำกับน้ำใจ มากที่สุด ที่เป็นเรื่องของตัวละครมุสลิมที่ต้องถือศีลอดแต่ต้องทำงานหน้าเตาไฟที่ร้อนมากแต่ว่ากินน้ำไม่ได้ จนสุดท้ายก็มีความเห็นใจย้ายให้เขาไปทำงานในกะกลางคืนเพื่อที่จะกินน้ำได้ ถือว่าเป็นงานเขียนที่แสดงถึงความมีมนุษยธรรมเป็นอย่างมาก @คุณวีระยศ เล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วคุณอาจินต์ชอบเรื่อง สีชมพูยังไม่จาง มาก ชอบจริง ๆ เพราะเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นคาถาประจำตัวที่ว่า มันไม่มีทางหายไปหรอกถ้าเราทำงาน แต่ถ้าเราพูดหรือเราทำร้ายคนอื่นทุกอย่างมันจะหายไป ตัวตนของเรามันจะหายไปด้วย @คุณอาจินต์เคยเล่าให้ฟังว่า นายฝรั่งในเรื่องที่เป็นชาวออสเตรเลียเป็นคนไม่กลัวผี เพราะว่าเขาเคยเป็นทหารเก่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นายฝรั่งเคยถูเกณฑ์มาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควด้วย คุณอาจินต์เล่าว่าที่ข้อเท้าของนายฝรั่งยังมีรอยแผลที่ถูกโซ่ตรวนอยู่ด้วย @คุณวีระยศบอกว่า ล่าสุดนี้คุณอาจินต์อายุจะ 90 ปีแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนตัวยาที่กินแล้วรู้สึกว่าฟื้นขึ้นมาสดใสมาก พูดคุยได้ตลอด ไม่หลงลืม ทุกวันดูมีความสุข ในบางครั้งก็ร้องเพลง บางครั้งก็หาเพื่อนพูดคุย แต่ช่วงนี้อ่านหนังสือไม่ได้แล้ว เพราะดวงตาเป็นต้อ บางครั้งก็ให้คุณวีระยศเป็นคนอ่านให้ฟัง คุณอาจินต์ยังเคยพูดเล่น ๆ กับคุณวีระยศว่า อยากจะออกหนังสือชื่อ ฟ้าเมืองกาญจน์ เพราะว่าตอนนี้คุณอาจินต์อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่นั้นบรรยากาศดีกว่าที่กรุงเทพฯ รวมทั้งอากาศดีกว่าด้วย นอกจากนั้นคุณอาจินต์ยังพยายามที่จะเขียนหนังสืออยู่ตลอดเวลาด้วย โดยเฉพาะถ้าจำเรื่องใดได้ก็จะเขียน ถ้าไม่มีเรื่องเขียนก็จะเขียนเป็นบันทึกว่า วันนี้ตื่นมากี่โมง? ทำอะไรบ้าง? @คุณอาจินต์เป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือด้วยลายมือตลอด เพราะชอบการเขียนด้วยลายมือ ไม่ใช้พิมพ์ดีดเลย เป็นนักเขียนที่ลายมือสวยมากด้วย @คุณวีระยศเคยถามคุณอาจินต์ว่า ทำไมยังถึงเขียนเรื่องอยู่ทั้ง ๆ ที่อายุเยอะควรจะพักได้แล้ว? คุณอาจินต์ตอบว่า เขาให้ผมเป็นศิลปินแห่งชาติ เขาให้เงินเดือนผมด้วย ดังนั้นผมจะไม่ยอมกินเงินเดือนเขาฟรีๆ โดยที่ไม่คิดไม่เขียนอะไรให้ไม่ได้หรอก ผมตั้งใจว่าจะเขียนไปจนกว่าจะทำอะไรไม่ได้ @ท้ายสุดคุณวีระยศ สรุปให้ฟังว่า สิ่งที่เขาได้จากการอ่านเหมืองแร่นั้นคือแง่คิดที่ว่า ทำให้มันงาม ทำให้มันง่าย ทำให้มันจริง เหมือนมีประโยคหนึ่งจากในเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่นี้ลอยออกมาบอกว่า ลื้อต้องทำให้ถูกต้อง แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง ท้ายสุดนี้ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในบล็อกนี้จะมีประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจวรรณกรรม ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ ครับ
Create Date : 27 กันยายน 2559
Last Update : 27 กันยายน 2559 11:28:09 น.
30 comments
Counter : 2742 Pageviews.
โดย: comicclubs วันที่: 27 กันยายน 2559 เวลา:14:06:07 น.
โดย: sawkitty วันที่: 27 กันยายน 2559 เวลา:20:29:49 น.
โดย: zungzaa วันที่: 28 กันยายน 2559 เวลา:7:32:06 น.
โดย: หอมกร วันที่: 28 กันยายน 2559 เวลา:9:02:11 น.
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 28 กันยายน 2559 เวลา:10:16:23 น.
โดย: เนินน้ำ วันที่: 28 กันยายน 2559 เวลา:18:16:35 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 29 กันยายน 2559 เวลา:11:25:46 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 30 กันยายน 2559 เวลา:18:12:31 น.
โดย: กาบริเอล วันที่: 1 ตุลาคม 2559 เวลา:17:25:15 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 1 ตุลาคม 2559 เวลา:19:34:20 น.
โดย: Opey วันที่: 1 ตุลาคม 2559 เวลา:19:38:35 น.
โดย: ผมไม่ได้บินคนเดียวสู่ฯ (เตยจ๋า ) วันที่: 2 ตุลาคม 2559 เวลา:9:24:09 น.
โดย: Tristy วันที่: 2 ตุลาคม 2559 เวลา:12:40:58 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 3 ตุลาคม 2559 เวลา:19:36:56 น.
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 3 ตุลาคม 2559 เวลา:22:15:19 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 4 ตุลาคม 2559 เวลา:8:50:25 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 4 ตุลาคม 2559 เวลา:11:31:31 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 5 ตุลาคม 2559 เวลา:11:10:17 น.
โดย: sawkitty วันที่: 6 ตุลาคม 2559 เวลา:17:18:16 น.
โดย: sawkitty วันที่: 9 ตุลาคม 2559 เวลา:17:56:24 น.
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 11 ตุลาคม 2559 เวลา:0:03:57 น.
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 16 ตุลาคม 2559 เวลา:20:28:28 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 62 คน [? ]
อาคุงกล่องเป็นชายไทยนิสัยดีมีความฝัน ผู้ผันตัวมาเป็นทาสวรรณกรรมอย่างแท้จริง ใช้ชื่อกำหนดตัวตนว่า อาคุงกล่อง เป็นนามปากกาสร้างสรรค์ผลงานในเชิงหัสนิยาย และงานเขียนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ความเรียง บทกลอน ไดอารี่เพ้อเจ้อละเมอเพ้อฝันต่างๆ ฯลฯ ปัจจุบัน อาคุงกล่อง เป็นนักอ่าน นักคิดและนักเขียน รวมทั้งเป็นนักจินตนาการออกมาเป็นตัวอักษรด้วย ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่คือการเป็นนักเขียนมีคุณภาพที่สรรค์สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ คาดว่าในเวลาอันใกล้นี้นาม อาคุงกล่อง จะเกิดปรากฎชัดในโลกวรรณกรรม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่หนอนนักอ่านทั่วไทย "ในชีวิตจริงของคนเรา มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องรับรู้และรับผิดชอบ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะหัวเราะได้สักกี่ครั้ง? แต่ถ้าเราได้มีโอกาสหัวเราะเสียบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือคลายเครียด ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ" ถ้าคุณเข้ามาในบล็อคของผมแล้ว คุณสามารถอมยิ้มหรือหัวเราะได้ ผมก็คงจะดีใจแล้วครับ (กรุณาช่วยทิ้งคอมเม้นท์วิจารณ์ไว้ให้ผมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณมากเลยครับ) akungklong@gmail.com
ชื่นชมคุณอาจินต์ค่ะ ที่ยังคงเขียนหนังสือทุกวัน แถมยังเขียนด้วยลายมืออีกด้วย
แตงมองว่าการที่คนสูงอายุได้เขียนหนังสือทุกๆ วัน เป็นการที่ฝึกสมองดีค่ะ ทำให้ห่างไกลจากโรคความจำเสื่อม เพราะการได้เขียนหนังสือ
ดีมากๆ เลยค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
อาคุงกล่อง Book Blog