อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง
22 เมษายน 2558
ก่อนอื่นผมต้องขอบอกว่าบทความที่ผมเขียนนี้ไม่ใช่บทวิจารณ์วรรณกรรม เพระว่าหนังสือเล่มที่ผมอ่านในวันนี้ถือว่าเป็นบทวิจารณ์วรรณกรรมชั้นครูอยู่แล้ว ถ้าผมไปวิจารณ์ซ้ำก็จะกลายเป็นการวิจารณ์ซ้อนวิจารณ์แน่ ๆ เอาเป็นว่าในวันนี้ผมขอรีวิวแนะนำหนังสือเล่มที่มีชื่อแปลกว่า อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง : รวมบทความวรรณกรรมศึกษาและบทวิจารณ์วรรณกรรมไทยและเทศ ที่เขียนโดย ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์ผู้สอนวิชาวรรณคดีที่หลายท่านรู้กันเป็นอย่างดี
หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างอ่านยากสักนิด โดยเฉพาะผู้ที่สนใจอ่านน่าจะเป็นคนที่อยู่ในแวดวงวรรณกรรมเท่านั้น เพราะว่าเป็นบทวิจารณ์วรรณกรรมที่ใช้ทฤษฎีทางวรรณกรรมหลายอย่างมาใช้เป็นเครื่องมือในการวิจารณ์ ซึ่งประเด็นหลักของการวิจารณ์นั้นอาจจะออกมาไม่ตรงกับความเข้าใจของผู้อ่านก็เป็นได้ เพราะว่าการวิจารณ์หรือการตีความวรรณกรรมนั้นไม่เคยมีเพียงคำตอบเดียว การวิจารณ์จึงออกมาตามแต่ละทฤษฎีที่ผู้วิจารณ์นำมาใช้ ซึ่งทฤษฎีทางวรรณกรรมต่าง ๆ นั้นผมก็ไม่เคยได้เรียนมาก่อน อาศัยได้อ่านเอาจากในหนังสือเล่มนี้เอง จึงทำให้ผมพอเข้าใจรูปแบบวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ ได้บ้าง รวมทั้งได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวรรณกรรมและคำศัพท์ทางวรรณกรรมใหม่ ๆ (ใหม่สำหรับผม) อีกมากมาย
ความหลากหลายของทฤษฎีวรรณกรรมจะช่วยให้นักวิจารณ์มีทางเลือกที่จะ อ่าน งานวรรณกรรมชิ้นใดชิ้นหนึ่งด้วยวิธีการและมุมมองที่เห็นว่าเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับกรณีนั้น ๆ ได้ (หน้า 409)
ส่วนสาเหตุที่ต้องมีการวิจารณ์วรรณกรรมนั้น ตามความเชื่อของผมผมคิดว่า การวิจารณ์วรรณกรรมจะสร้างสรรค์วงการวรรณกรรมให้มีสีสันมากขึ้น อีกทั้งการวิจารณ์วรรณกรรมนั้นจะทำให้ผู้อ่านทั่วไปได้รู้จักชิ้นงานวรรณกรรมที่ถูกวิจารณ์ได้มากขึ้น การวิจารณ์ทำหน้าที่วิเคราะห์ตัวบทในเนื้อเรื่องตามทฤษฎีวรรณกรรม ทำให้เข้าถึงความหมายหรือสิ่งที่ซ้อนไว้ในงานวรรณกรรมนั้น ๆ ได้
มีคนชอบเปรียบเทียบว่านักวิจารณ์ก็เหมือนนักสืบ นักเขียนเหมือนฆาตกร สิ่งที่นักวิจารณ์ทำคือการพยายามหาความหมายของ text หาดูว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ตกอยู่ตามทางซึ่งจะนำไปสู่คำตอบ เพียงแต่คุณอยากจะเป็นปัวโรต์หรือใครเท่านั้นเอง นี่เป็นคำเปรียบเปรยที่คนขอบใช้กันมาก (หน้า 434)
สำหรับชื่อหนังสือที่ตั้งไว้ว่า อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง นั้น ผู้เขียนอธิบายไว้ประมาณว่า ให้อ่านเพื่อเอาเรื่องก่อน ซึ่งก็คืออ่านให้รู้ว่าเรื่องราวในงานวรรณกรรมชิ้นนั้นเป็นอย่างไร พูดถึงเรื่องอะไร มีตัวละครอะไร มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ฯลฯ หลังจากการจึงค่อยอ่านแบบ อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง อีกครั้งเพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าสิ่งที่ซ้อนอยู่ในงานวรรณกรรมนั้นคืออะไร คำว่า ไม่ ในวงเล็บนั้นหมายถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่ ซึ่งเราต้องค้นหาให้พบ ถือว่าเป็นการอ่านด้วยการสวมแว่นตาของนักวิจารณ์ไว้ในขณะที่อ่านด้วย (ผมพยายามอธิบายสรุปตามความเข้าใจของผมนะครับ)
ส่วนรายละเอียดของหนังสือ อ่าน (ไม่) เรื่อง นี้ ชื่อก็บอกไว้แล้วว่าเป็นการรวบรวมบทความวรรณกรรมศึกษาและบทวิจารณ์วรรณกรรมไทยและเทศ ที่เขียนโดย ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ซึ่งได้ลงตีพิมพ์เผยแพร่ในหน้านิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายเล่มในทศวรรษ 2530 2540 ในเล่มแบ่งออกเป็น ภาคหนึ่ง ว่าด้วยวรรณกรรม , ภาคสอง วิจารณ์วรรณกรรมไทย , ภาคสาม วิจารณ์วรรณกรรมเทศ , ภาคสี่ ว่าด้วยแนววรรณกรรม และภาคผนวก ที่มีการรวมบทสัมภาษณ์ของผู้เขียนเกี่ยวกับความคิดเห็นเรื่องวรรณกรรม ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการหาความรู้ทางด้านวรรณกรรม รวมทั้งผู้ที่สนใจวรรณกรรมในระดับลึกซึ้ง อย่าลืมว่าหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างอ่านยากมาก มีเนื้อหาเน้นด้านวิชาการเป็นหลัก ไม่เหมาะที่จะเป็นหนังสืออ่านเล่นเพื่อฆ่าเวลาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าใครอยากจะอ่านแบบเอาเรื่องอย่างลึกซึ้งและจริงจัง หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ ขนาดคนสมองน้อยอย่างผมอ่านแล้วยังพอจะเข้าใจได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะเข้าใจได้ไม่ทั้งหมดก็ตาม ถือว่าเป็นการอ่านเพื่อประดับความรู้ด้านวรรณกรรมอย่างแท้จริง
ส่วนประเด็นเรื่องการอ่านหนังสือวรรณกรรม หรือหนังสือที่ท่านคิดว่าอ่านยากนั้น อาจารย์ชูศักดิ์ ผู้เขียนเรื่องนี้ยังได้ให้ความคิดเห็นทิ้งท้ายเพื่อเป็นกำลังใจแก่นักอ่านว่า
จะว่าไป ผมเสียดายแทนคนสมัยนี้ที่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสความสำราญทางปัญญาอันเกิดจากการอ่านหนังสือยาก ๆ ผมไม่ได้พูดเวอร์อะไรทั้งสิ้น งานเขียนที่แพรวพราวด้วยชั้นเชิงการใช้ภาษาเพื่อนำเสนอความคิดซับซ้อนยอกย้อน สามารถก่อให้เกิดความปีติทางปัญญาและอิ่มเอมในอารมณ์ได้จริง ๆ มันเหมือนคุณกำลังท่องไปในดินแดนแห่งความรู้อันน่าฉงนฉงาย ขณะที่คุณค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ติดตามบ้าง โต้แย้งบ้าง คุณจะเพลิดเพลินกับประเด็นความคิดที่ข้อเขียนนั้นนำเสนอ ยิ่งประเด็นมีความยอกย้อนซับซ้อน คุณยิ่งรู้สึกตื่นตาตื่นใจเสมือนหนึ่งว่ากำลังเดินอยู่ในเขาวงกตแห่งปัญญา ทุกซอกทุกมุม ทุกแยก ทุกเลี้ยว ล้วนมีสิ่งแปลกใหม่รอคอยคุณอยู่ และเมื่ออ่านจนจบ คุณจะบังเกิดความปลื้มปีติเหมือนดังคนที่เดินขึ้นไปจนถึงยอดเขา และทอดสายตามองดูทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตารอบตัว ประสบการณ์แบบนี้คุณหาไม่ได้จากการดูทีวี หรืออ่านหนังสือง่าย ๆ (หน้า 454)
เมื่อผมได้อ่านจบลงแล้ว ผมรู้สึกมีกำลังใจในการอ่านงานวรรณกรรมขึ้นมาทันที มีหนังสือดี ๆ หลายเล่มที่ผมยังไม่กล้าเปิดอ่านเพราะกลัวว่าจะอ่านไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อผมได้รู้ถึงทฤษฎีการอ่านแบบ อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง จากในหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็คิดว่าจะหยิบหนังสือเล่มที่เป็นวรรณกรรมอันทรงคุณค่ามาอ่านดูให้รู้ถึงความในบ้างดีกว่า สำหรับหนังสือ อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง : รวมบทความวรรณกรรมศึกษาและบทวิจารณ์วรรณกรรมไทยและเทศ ฉบับที่อยู่ในมือผมนี้เป็น ฉบับพิมพ์ (edition) ที่สอง ปรับปรุงใหม่โดยสำนักพิมพ์อ่าน มีนาคม 2558 ด้วยความหนาแบบหนังสือวิชาการจำนวน 454 หน้า ราคาปก 450 บาท ควรค่าแก่การอ่านสำหรับคนที่อยู่ในแวดวงวรรณกรรมเป็นอย่างมาก
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือ ไม่ว่าหนังสือเล่มนั้นจะหนาขนาดไหน หรือว่าจะอ่านยากขนาดไหน ผมก็ขอให้ท่านอ่านจนเจอความหมายที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ขอให้ท่านได้เจอความสุขอันสุดยอดเหมือนกับการเดินฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนขึ้นไปถึงยอดเขาแห่งพุทธิปัญญาอย่างแท้จริงเลยครับ
Create Date : 22 เมษายน 2558 |
Last Update : 22 เมษายน 2558 0:35:56 น. |
|
16 comments
|
Counter : 2787 Pageviews. |
|
|
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
อาคุงกล่อง Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น