The most powerful weapon is nothing but "LOVE"
เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 13

หลังจากผ่านหมู่บ้าน Tikhedhunga มุ่งหน้าสู่ Ulleri เส้นทางจะเริ่มชันมากถึงมากที่สุด ถือเป็นช่วงที่ทรหดที่สุดสำหรับเส้นทาง Poon Hill Trekking ครั้งนี้เรียกได้ว่าต้องหยุดพักทุก ๆ ระยะ 5-10 เมตร ในแนวดิ่งเลยทีเดียว ตอนนี้ต่างคนต่างก็สนใจแค่ตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครชวนใครคุยเด็ดขาดเราบอกให้ Krisna เดินไปโดยไม่ต้องเป็นห่วงเราเพราะเขาต้องแบกเป้หนัก ขนาดตัวเราเองแค่เป้เล็ก ๆใบเดียวกับกล้องก็แทบเอาตัวเองไม่รอด ระหว่างทางเจอเพื่อนนักท่องเที่ยวคนไทย 4 คน เป็นผู้หญิง 3 และชายหนุ่มอีก 1 แต่ละคนดูสีหน้าแล้ว เราไม่กล้าจะคุยด้วยมากนัก เพียงแค่ทักทายแค่นั้นเพราะมันเหนื่อยแบบจนสุดจะบรรยายนั่นเอง


พวกเราเดินทางแซงกลุ่มนักท่องเที่ยวไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามีหยุดพักเหนื่อยกินน้ำบ้าง พอดีน้ำที่พกมาหมดเพราะต้องแบ่งกันกินกับ Krisna เลยต้องอาศัยแหล่งน้ำจากธรรมชาติ ที่ไหลลงมาตามท่อไม้ไผ่หรือพีวีซี ที่ชาวบ้านสร้างไว้ Krisna จะทำการสำรวจความสะอาดของน้ำที่จะดื่มก่อน หากพบว่าพอดื่มได้ก็จะส่งสัญญาณให้เราจัดการเต็มที่ บางจุดที่น้ำไม่ค่อยจะสะอาดมากนัก Krisna ก็จะไม่แนะนำให้ดื่มงานนี้ต้องซื้อน้ำดื่มที่บรรจุขวด สนนราคาต่อขวดก็ประมาณ 80 รูปีหรือประมาณ 40 กว่าบาท ในขณะในตัวเมืองกาฐมัณฑุหรือโปขราเองราคาน้ำดื่มขนาดหนึ่งลิตรจะตกอยู่ขวดละ 15-20 รูปีเท่านั้น สาเหตุที่น้ำบนเขาแพงขนาดนี้ก็เพราะความยากลำบากในการขนส่งนั่นเอง ไม่เฉพาะน้ำเท่านั้นกระทั่งอาหารก็จะแพงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวด้วยเช่นกันแต่ถ้าเทียบกับความลำบากที่จะต้องลำเลียงวัตถุดิบเป็นระยะทางที่ไกลแสนไกลและยากลำบากขนาดนี้ก็ถือได้ว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสมเหตุสมผลไม่น้อยเลยทีเดียว



เรารู้สึกกระหายน้ำจนสุดจะทนแล้วเลยขอแวะซื้อน้ำก่อน แต่พอดีไม่มีธนบัตรย่อย งานนี้เลยต้องเดือดร้อน Krisna ให้จ่ายเงินให้ก่อนอีกตามเคยพอได้น้ำคลายกระหาย ความสดชื่นก็กลับคืนมา พวกเราเดินรวดเดียวจนถึง Ulleri ภายในเวลาสี่โมงเย็นเท่านั้น แต่ข่าวร้ายต้อนรับการเดินทางถึงจุดหมายคือ กล้องถ่ายรูปของเราได้เสียอย่างถาวรไปแล้วเช่นกัน เนื่องจากว่าใช้งานมันหนักเกินไป รู้สึกผิดหวังมากจนแทบอยากจะร้องไห้ โชคยังดีที่มีกล้องสำรองอีกอันที่ยืมพี่สาวมาแต่ก็ไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของกล้องปัญญาอ่อนนั้นเลย แต่ทำไงได้อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีกล้องสำหรับเก็บภาพเสียเลย เราพยายามทำใจให้หายเศร้าจากกล้องที่ลงทุนซื้อมาแสนแพง งานนี้ขอเตือนผู้ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศเนปาล กล้องถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆเพราะมันเป็นเครื่องมือเดียวที่จะช่วยเราบันทึกความทรงจำและภาพประทับใจไว้ได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรจะเตรียมกล้องสำรองไว้ด้วยเพื่อกันเหนียวเพราะทุกสถานที่ในประเทศนี้ งดงามจริง ๆ และอีกสิ่งหนึ่งคือให้เตรียมตัวเตรียมใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดคาดฝันที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย อุปสรรคและปัญหาจะเข้ามาทดสอบสติปัญญาและจิตใจเราเรื่อย ๆ ตลอดการเดินทาง มีสติ ตั้งรับและเดินหน้าเท่านั้นจึงจะทำให้ภาระกิจสำเร็จลุล่วงไปได้




Krisna แนะนำให้พักที่ Pratab Guesthouse ราคาคืนละ 200 รูปี แต่เราขอให้เขา ไปต่อรองราคาลงมาที่ 150 รูปี คุณยายเจ้าของ Guesthouse ใจดี จึงยอมแต่โดยดี Guesthouse แห่งนี้เป็น Guesthouse ขนาดเล็กมีห้องไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวไม่ถึง 10 ห้อง ช่วงที่เรามาพักที่นี่มีแค่เรากลุ่มเพื่อนคนไทย 4 คนแล้วก็ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น 3 คนพ่อแม่ลูกเท่านั้น เก็บกระเป๋าสัมภาระเข้าห้องเรียบร้อยแล้วเพราะความหิวจัด เนื่องจากไม่ได้กินมื้อกลางวัน อาศัยเพียงแค่คุ้กกี้และช็อคโกแลตแบ่งกันกินกับ Krisna กลางทาง เราเลยหยิบมาม่ารสต้มยำกุ้งติดมือมาหนึ่งห่อพร้อมถ้วยที่พกมาจากเมืองไทยกะจะไปขอน้ำร้อนจากยายในครัวเพื่อลวกมาม่ากินซักหน่อย ก็พอดีเจอ Krisna ยืนยิ้มอยู่ข้างล่างเลยนึกขึ้นได้ วิ่งกลับไปเอามาม่าอีกห่อลงมาเผื่อ Krisna ด้วย งานนี้ Krisna ขันอาสาจัดการให้ บอกให้เราไปนั่งรอข้างในห้องรับประทานอาหาร ไม่นานมาม่าร้อน ๆ สองถ้วยก็มาวางบนโต๊ะ พวกเราซดกินม่าม่าร้อน ๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย มาม่ารสแซ่บจัดจ้าน เผ็ด ๆ คลายหนาวได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว Krisna รู้สึกติดใจในรสชาติ พอกินเส้นหมดเลยยกชามซดน้ำซะเกลี้ยงไม่มีเหลือ


ได้มาม่ารองท้องแล้วเราเลยขอตัวขึ้นห้องคว้ากล้องปัญญาอ่อนติดมือลงมากะจะเดินเล่นรอบหมู่บ้านซักหน่อยขณะเดียวกันก็ยังอาลัยอาวรณ์กับกล้องตัวเก่าอยู่ เลยหิ้วมันออกมาด้วยเป็นเพื่อนกัน (ท่าทางจะโรคจิตนิด ๆ) หลบหนีออกมาโดยไม่บอก Krisna เดินซอกแซกไปตามบันไดหินผ่านบ้านเรือนของชาวบ้าน ที่ตั้งอยู่ตามไหล่เขา


หมู่บ้าน Ulleri เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนไหล่เขาสูง เป็นหมู่บ้านแรกของเส้นทาง Trekking สู่ Poon Hill ที่นักท่องเที่ยวจะได้ยลโฉมหนึ่งในยอดเขาหิมาลัยนามว่า Annapurna South เสียดแทงยอดขาวโพลนโดดเด่นงดงามอยู่เบื้องหน้า หมู่บ้านแห่งนี้มีจำนวนครัวเรือนไม่กี่สิบหลังคาเรือน บ้านบางหลังถูกดัดแปลงเป็นที่พักสำหรับนักเดินทาง เราเห็นนักท่องเที่ยวบางกลุ่มกำลังจับกลุ่มฉลองความสำเร็จที่เดินทางผ่านความเหนื่อยยากมาทั้งวัน ดูทุกคนมีความสุขเหลือเกิน เราเดินซอกแซกทักทายเพื่อนฝูงสัตว์โลกผู้น่ารักทั้งไก่ ทั้งแพะ ทั้งแกะ และควาย บ้านแต่ละหลังดูเรียบง่ายแต่แฝงความน่ารักอยู่ในที ชาวบ้านอยู่กันแบบพอเพียงจริง ๆ ควันไฟพวยพุ่งออกมาจากปล่องควันของบ้านแต่ละหลังเสียงเด็กน้อยร้องงอแงเพราะแม่ไม่สนใจเนื่องจากกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อค่ำ เด็ก ๆบางกลุ่มกำลังเล่นกีฬาอยู่บริเวณลานกีฬาของหมู่บ้าน อากาศหนาวมากถึงมากที่สุด เราเดินสำรวจทั่วหมู่บ้านไปปากก็ซีดสั่นเพราะความหนาวยะเยือก (ลืมติดเสื้อกันหนาวออกมาด้วย) แต่ความงดงามและน่ารักของบรรยากาศและภาพที่เห็นดึงดูดให้สองขายังคงก้าวเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็เดินครบทั่วหมู่บ้าน


ขากลับเราตัดสินใจเดินกลับอีกเส้นทางหนึ่ง ก็เผอิญเจอเข้ากับ Krisna พอดี Krisna บอกว่าไปตามหาเราที่ลานกีฬากลางหมู่บ้าน เพราะอากาศหนาวเลยนึกว่าเราคงไปเล่นกีฬาเรียกเหงื่ออยู่ที่นั่น พอไม่เจอเขาก็เลยแก้อาการหนาวด้วยการเล่นบาสเก็ตบอลเรียกเหงื่อเสียหน่อย แล้วก็เดินมาเจอเรานี่แหละ พวกเราเดินกลับที่พักกัน ชักเริ่มหิวเสียแล้วซิ วันนี้ใช้พลังงานไปเยอะได้กลิ่นอาหารจากฝีมือคุณยายเจ้าของ Guesthouse ในครัว เราเลยขอเดินเข้าไปดู พลางถาม Krisna ว่าจะสั่งอาหารเลยได้มั๊ย Krisna บอกว่าควรอย่างยิ่ง สั่งไว้ตอนนี้เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จก็ลงมากินพอดี เราคิดเมนูไม่ออก " เอาเป็นข้าวผัดไก่ละกัน " Krisna คุยกับยายด้วยภาษาเนปาลีแล้วหันมาพูดกับเราว่า เนื้อไก่ไม่มี มีแต่เนื้อควายกับไข่เท่านั้น เราเลยลังเลนิดหน่อยเอาว่ะ " ข้าวผัดเนื้อควายใส่ไข่ก็ได้ "


หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ก็ขึ้นห้องเตรียมตัวอาบน้ำก็พอดีเจอเพื่อนนักท่องเที่ยวชาวไทย 4 คนที่เจอระหว่างทางเลยเข้าไปทักทาย ทุกคนหายเหนื่อยแล้วต่างก็ยิ้มแย้มพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางกันอย่างออกรส เราขอให้พวกเขาดูอาการกล้องให้ด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยเหลือได้งานนี้ได้แต่ปลงและต้องทำใจ เราและเพื่อนคนไทยทั้ง 4 คนนัดแนะกินมื้อเย็นด้วยกัน ไม่ได้คุยภาษาไทยมาหลายวันเลยรู้สึกยิ่งคุยก็ยิ่งออกรส จากนั้นเราก็ขอตัวไปอาบน้ำก่อน รีบจัดการกับตัวเอง โชคดีที่มีน้ำอุ่นให้อาบด้วย อาบน้ำเสร็จสวมใส่เสื้อผ้าอุปกรณ์กันหนาวครบเซ็ตแล้วจึงลงมาสมทบกับเพื่อนใหม่ที่โต๊ะอาหาร ขนาดสั่งอาหารไปตั้งแต่ก่อนไปอาบน้ำป่านนี้ยังไม่ได้เลย งานนี้พวกเราเตรียมทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วเพราะจากข้อมูลที่เคยอ่านเจอ คนที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยวแถบนี้ต่างก็แนะนำว่าต้องทำใจในความล่าช้าในการทำอาหารของชาวเนปาลีหากเป็นช่วงที่ต้องแข่งกับเวลา จะต้องกะเวลาให้ดีอย่างน้อยก็ควรจะมากกว่าสามสิบนาทีขึ้นไป สำหรับการรออาหารแต่ละจาน งานนี้เราได้ทราบข้อเท็จจริงเมื่อตอนได้เข้าครัวดู Krisna เตรียมอาหารให้ที่ Gorepani ประเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังถึงสาเหตุว่าทำไมต้องรออาหารนานขนาดนี้พวกเขาพิถีพิถันในการทำอาหารแต่ละเมนูขนาดนั้นเชียวหรือ...


พวกเรานั่งคุยกันไปแลกเปลี่ยนกันดูรูปประมาณครึ่งชั่วโมงได้ อาหารก็พร้อมเสิร์ฟ เพื่อนคนไทยทั้งสี่คนพกน้ำพริกกุ้งเสียบมาจากเมืองไทยด้วย พวกเรานั่งกินมื้อเย็นคลอเคล้าบรรยากาศอบอุ่นภายในร้านอาหารที่ปิดล้อมด้วยบานกระจกใสปิดกั้นอากาศหนาวจากภายนอกไม่ให้แทรกซึมเข้าได้ มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นอีกครอบครัวหนึ่งนั่งกินมื้อเย็นภายในห้องนั้นด้วย พ่อแม่วัยเกษียณและลูกสาววัยรุ่นน่ารัก ดูช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเสียเหลือเกิน ส่วนลูกหาบทั้งหลายต่างก็นั่งคอยปรนนิบัติพวกเราอยู่ข้าง ๆ หากต้องการอะไรก็สามารถเรียกได้ทันที โดยเฉพาะ Krisna มันเล่น takecare ทุกอย่างหยั่งกะเราเป็นเด็กทำอะไรไม่เป็นจนโดนเพื่อน ๆ แซวว่า " น่าอิจฉาจริง ๆ ปรนนิบัติพัดวีกันขนาดนี้เชียวเหรอ " เราก็ได้แต่ตอบไปว่า "เออว่ะ ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะ takecare กันขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน เพราะเพิ่งเดินทางด้วยกันวันแรก ก็รู้สึกขัด ๆ เขิน ๆ เหมือนกันนะ เพราะปกติจะทำอะไรด้วยตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยให้ใครมาปรนนิบัติขนาดนี้เลยในชีวิต แต่ก็ลองดู เราไม่ได้ขอร้องเค้านี่ Krisna มันคงทำไปตามหน้าที่น่ะ"


กินเสร็จพวกเราก็นั่งคุยกันต่อ ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน เพราะอากาศหนาวมาก ๆ ก่อนขึ้นห้องเราถือโอกาสยืนรับลมหนาวท่ามกลางหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เสียงลมพัดหวีดหวิวมาเป็นระลอก หลานชายเจ้าของ
Guesthouse ว่างจากงานต้อนรับแขกพอดีเลยมายืนคุยด้วย เด็กคนนี้มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัวจริง ๆ อายุอานามก็คงไม่เกิน 20 ปี กำลังเรียน High School อยู่ในตัวเมืองโปขรา เขาบอกว่าช่วงวันหยุดเรียนจะต้องรีบกลับมาที่บ้านแห่งนี้เพื่อช่วยตาและยายต้อนรับแขกเพราะยายและตาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เขาจึงเป็นหัวแรงหลักในการช่วยเหลือครอบครัว เขารักและเป็นห่วงตากับยายมาก และก็รักในถิ่นฐานบ้านเกิดด้วย พ่อกับแม่เขาอพยพไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยพ่อทำอาชีพเป็นนายทหาร ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านและรับจ้างทั่วไป ความจริงแล้วพ่อกับแม่อยากให้เขาไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ แต่เพราะความเป็นห่วงตากับยายที่แก่ชรามากแล้ว อีกทั้งยังรักในถิ่นฐานบ้านเกิดเขาจึงเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ช่วงไหนที่ว่างจากงานเขาก็จะทำหน้าที่เป็นไกด์นำพานักท่องเที่ยวที่มาพักที่นี่เดินชมรอบหมู่บ้านแบบฟรีๆ ไม่คิดตังก์ด้วย นับเป็นเด็กที่มีหัวใจน่ายกย่องจริง ๆ น่าภาคภูมิใจแทนคุณตาและคุณยายจริง ๆ ที่มีหลานชายที่มีความกตัญญูรู้คุณอย่างนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ยังพูดอีกด้วยว่าส่วนใหญ่แขกที่มาพักที่นี่จะเป็นคนไทยหรือคนเอเชีย ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างที่จะสนิทคุ้นเคยกับนิสัยคนไทยและจะดีใจทุกครั้งที่มีคนไทยมาเป็นแขกของเขา

เอาหล่ะเดินทางมาเหนื่อยทั้งวันแล้ว ขออำลาค่ำคืนอันแสนน่าประทับใจคืนนี้ด้วยบรรยากาศอันสุดแสนจะอบอุ่นอบอวลไปด้วยมิตรภาพของเพื่อนใหม่ทั้งหลายทั้งเพื่อนชาวไทย เพื่อนชาวเนปาลี และอีกหลาย ๆ ชาติที่เราได้มีโอกาสได้พูดคุยและยิ้มทักทาย โลกใบนี้ยังมีสิ่งที่งดงามซ่อนเร้นอยู่มากมาย ขอเพียงแต่เราเปิดโอกาสให้กับตัวเอง ก้าวออกสู่องศาที่แตกต่าง ยังมีอีกหลากหลายแง่มุม หลากหลายเรื่องราวให้เราได้ค้นหา จงอย่าปล่อยเวลาให้สิ้นเปลืองไปกับสิ่งที่ซ้ำซากจำเจ ลองก้าวเท้าออกจากที่เดิม ๆ แล้วพร้อมเผชิญกับความงดงามและมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ แล้วชีวิตของเราจะเต็มไปด้วยสีสัน อบอวลไปด้วยแรงพลังแห่งการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่ นั่นเพราะการเดินทางเพื่อค้นหา ย่อมนำมาสู่การเรียนรู้และสร้างสรรค์ เพิ่มแรงกำลังในการต่อสู้กับชีวิตได้อีกนับเท่าทวีคูณ...ราตรีสวัสดิ์






Create Date : 18 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 12:33:39 น. 0 comments
Counter : 525 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2800697
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Simply is the best
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2800697's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.