The most powerful weapon is nothing but "LOVE"
เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 27

ถอดรองเท้าเสร็จกำลังจะก้าวเดินเข้าประตูวัด ดันไปเหยียบน้ำอะไรซักอย่าง มองไปมองมารอบ ๆ เห็นแพะฝูงหนึ่งกำลังเดินป้วนเปี้ยนไปมา คงจะเป็นฉี่แพะกระมัง เลยไม่ได้ใส่ใจเดินตามหลังกลุ่มชาวเนปาลฮินดูเข้าไปในบริเวณวัดในใจกึ่งกล้ากึ่งกลัว เพราะวัดฮินดูทุกแห่งในประเทศนี้ห้ามคนนอกศาสนาเข้าไปภายในบริเวณวัดเด็ดขาดแต่เพราะความไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ เราเลยอยากจะเข้าไปให้เห็นกับตา


ก้าวแรกที่เท้าย่างข้ามพ้นธรณีประตู อู้ววววว์ แม่เจ้า!!!นี่มันวัด Pashupatinath แน่ ๆ เลย มันวัดฮินดูที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี่นาตายห่ะละซิ จะรีบวิ่งออกก็เกรงว่าคนจะจับพิรุธได้ เราเลยพยายามแกล้งทำเป็นเดินดูนู่นดูนี่เหมือนคุ้นเคยพยายามทำตัวให้เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้พยายามหักห้ามใจกับอาการอยากหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปอย่างที่สุด เพราะภาพที่เห็นอยู่ ณ ตอนนั้นมันทั้ง Incredible ทั้ง Amazing มาก ๆ วิหารกลางลานวัดอันเป็นที่ประดิษฐานศิวะลึงค์อันศักดิ์สิทธิ์ถูกตกแต่งด้วยงานศิลปะชั้นครู หลังคาสีทองอร่ามของตัววิหาร ประตูหน้าต่าง ผนังรอบทั้งสี่ทิศถูกบุด้วยแผ่นเงินแท้ ๆ สลักลวดลายวิจิตรตระการตา งดงามเหลือเกิน เห็นชาวฮินดูเนปาลีนำเครื่องเซ่นไหว้เข้าไปสักการะศิวะลึงก์ด้านในวิหาร เรานึกอยากจะเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่าจะมีอะไรที่ไม่คาดคิดคาดฝันข้างในอีกบ้าง แต่เกรงว่าจะโดนจับผิด เพราะในตัวเรามีกล้องที่แขวนไว้กับเข็มขัดกางเกง โชคดีที่ขนาดมันไม่ใหญ่มากนัก จึงพอเอาชายเสื้อปิดเพื่อไม่ให้มีใครสังเกตเห็น ส่วนเป้ใบเล็กเราใช้วิธีหิ้วคล้ายหิ้วถุงใส่หมากสำหรับเคี้ยวเล่นแทนการสะพายหลังเพื่อไม่ให้ดูแปลกตาสำหรับผู้คนและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลวัดจนเกินไป วัวตัวโต อ้วนพี รูปร่างงดงามราวกับวัวเทพ กำลังยืนกินพืชผักที่ชาวบ้านนำมาถวายเพราะชาวฮินดูมีความเชื่อว่า วัวเป็นสัตว์พาหนะประจำองค์พระศิวะ วัวสองตัวนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นเทพจึงไม่แปลกที่มันจะถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดี จนทำให้มีรูปร่างสง่างามอย่างที่เห็น



ฝั่งตรงข้ามทางเข้าวัดที่เข้ามามีประตูและบันไดคอนกรีตทอดยาวลงสู่แม่น้ำบักมาตีแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวเนปาลชาวฮินดูหลายคนกำลังยืนเกาะกำแพงวัดเพื่อมองกิจกรรมริมฝั่งแม่น้ำเบื้องล่าง ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าเค้ามีกิจกรรมอะไร บอกตามตรงว่า ณ เวลานั้นเกิดอาการกลัวถูกจับได้จนไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว อยากเก็บภาพก็เก็บไม่ได้ พยายามทำเวลาด้วยการรีบเดินรอบบริเวณวัดพร้อมกับกวาดสายเก็บบันทึกภาพที่เห็นไว้ในสมองอันน้อยนิดให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้รีบออกไป ทั้งที่ใจจริงแล้วยังไม่อยากออกไปเลย แต่ถ้าขืนอยู่ต่อไปมีหวังคงต้องโดนจับได้และโดนลงโทษแน่ ๆ


พอก้าวพ้นธรณีประตูออกมาด้านนอกวัดได้ อาการขนลุกซู่ยังคงไม่หายแต่รู้สึกโล่งอกเสียเหลือเกิน รอดตายแล้วตรู ไม่น่าเล้ย... เรารีบไปหยิบรองเท้ามาใส่แล้วรีบเดินออกไปในทันทีโชคดีที่ชายหนุ่มที่เราสอบถามตอนก่อนเข้าวัด ไม่ไปฟ้องเจ้าหน้าที่ ให้ไปวิ่งไล่จับเราในวัด ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหนแล้ว ถ้าเขายังอยู่เห็นทีต้องต่อว่าซักหน่อยข้อหาใช้ body language ไม่เคลียร์ รู้สึกเสียดายมาก ๆ ที่ไม่สามารถเก็บภาพบรรยากาศและความงดงามของศิลปะที่ตกแต่งด้วยงานแกะสลักแผ่นเงินแท้ฝีมืองช่างเนปาลโบราณที่มีอายุหลายร้อยปีออกมาด้วยได้ แต่อย่างน้อยเราก็มีโอกาสได้เห็นกับตาตัวเองซึ่งโอกาสที่จะได้เข้าไปภายในบริเวณวัดของนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ชาวฮินดูนั้นแทบไม่มีเลย จึงไม่แปลกที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงภาพและบรรยากาศภายในบริเวณวัดแห่งนี้ในหนังสือคู่มือนักท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ มาคิดดูอีกที ความสะเหร่อ เซ่อ ซื่อบื้อของเรามันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับดวง และเทคนิคการทำเนียนด้วย หากดวงไม่ดีปฏิบัติไม่เนียน ก็คงมีหวังได้ร้องไห้โฮ อย่างแน่นอน...แต่เรื่องสะเหร่อมันชักจะถี่เกินไปแล้วนะวันนี้


สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวฮินดู ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้เที่ยวชมสำหรับวัดแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถชมบรรยากาศรอบ ๆ บริเวณวัดแห่งนี้ได้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คงหนีไม่พ้นวิถีชีวิตของชาวฮินดู ความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาหรือแม้แต่พิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตาย


เราเดินตามนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเดินอ้อมไปยังจุดขายบัตร ชำระค่าบัตรเข้าชม 250 รูปี หนุ่มน้อยแต่งตัวซอมซ่อ เดินเข้ามาทักพร้อมเสนอตัวเป็นไกด์ เราตอบปฏิเสธไป โดยบอกไปว่าอยากเดินเที่ยวคนเดียว และไม่ยินดีที่จะจ่ายตังก์ด้วย อย่ามาเสียเวลาตามตื๊อเลย แต่หนุ่มน้อยคนนั้นก็ยังพยายามตามตื๊อไม่หยุด บอกว่าเค้าไม่คิดค่าบริการ แค่ขอเป็นเพื่อนเดินเที่ยวก็ได้ ซึ่งเราเองเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้วกับเรื่องพวกนี้ เพราะท้ายสุดคนพวกนี้จะต้องขอเงินอย่างแน่นอน จึงพูดไปแบบไม่ใยดีว่า Up to you, but I'll never pay you for any rupee!! หนุ่มน้อยยังคงแสดงสีหน้าเป็นปกติพลางพยายามสอบถามชื่อเสียง เรียงนามว่ามากจากไหน มากี่วัน มาเนปาลครั้งแรกหรือเปล่ามากับใคร ไปเที่ยวไหนมาแล้วบ้าง เขาพยายามอธิบายความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ซึ่งจากที่เราได้อ่านในหนังสือกับสิ่งที่หนุ่มน้อยคนนี้อธิบายดูมันแตกต่างกันพอสมควรเลยไม่ทราบว่าจะเชื่อข้อมูลแหล่งใดดี แต่ก็ลองฟังหูไว้หูละกัน โดยหนุ่มน้อยคนนี้บอกว่า ความหมายของชื่อวัดแห่งนี้ หมายถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพฮินดูเช่น วัว อีกา สุนัข ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะไม่ถูกรังแกหรือนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับชาวฮินดูโดยเด็ดขาด จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นสัตวเหล่านี้เดินหรือบินโฉบเฉี่ยวหากินไปมาภายในบริเวณวัดร่วมกับผู้คนโดยไม่ถูกรบกวนหรือไล่หนีเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นวัดแห่งนี้จึงเป็นแหล่งที่อยู่ที่สงบสุขที่สุดของเหล่าสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้นนั่นเอง
































หนุ่มน้อยพยายามเดินตามพร้อมอธิบายนั่นนี่ให้เราฟังซึ่งบางเรื่องเราก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่อีกใจหนึ่งก็เกรงว่าหากเราตั้งใจฟังเกินไปนั่นหมายถึงเราต้องจ่ายเงินแน่ ๆ  เลยพยายามไม่แสดงสีหน้าว่าเราให้ความสนใจมากนักและคิดว่าหากพยายามปล่อยให้หนุ่มน้อยคนนี้เดินตามไปตลอด คงไม่ดีแน่เลยรีบพยายามพูดตัดบทแล้วเดินหนี ซึ่งตอนแรก ๆ ก็โดนตามติดแจจนเริ่มรำคาญรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว เราจึงตัดสินใจพูดออกไปว่า Don't disturb me, please !!! ในใจนึกสงสารระคนเกรงใจมาก อีกอย่างเค้าอาจจะเต็มใจเป็นเพื่อนเดินเที่ยวพร้อมกับให้ข้อมูลกับเราโดยไม่หวังผลตอบแทนก็ได้ แต่ทำไงได้ เราโดนแบบนี้มาเยอะแล้ว ไม่อยากจ่ายตังก์อ่ะ ซึ่งก็ได้ผลหนุ่มน้อยยืนหน้าจ๋อยไม่กล้าเดินตามอีกเลย มาคิดดูอีกทีรู้สึกผิดเหลือเกินที่ไปพูดกับเค้าโดยไม่ใยดีขนาดนั้น เรานิสัยแย่มากเกินจะให้อภัยจริง ๆ ขอโทษนะขอโทษจริง ๆ!!!


หลักจากผละตัวจากเด็กหนุ่มคนนั้นได้แล้ว เราตัดสินใจเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำบักมาตีเพื่อไปอีกฝั่งแม่น้ำ ภาพที่เห็นดูแปลกตา ตื่นตาตื่นใจกับวิถีความเป็นไปเป็นอย่างมาก ชาวบ้านบางกลุ่มกำลังประกอบพิธีกรรมอะไรซักอย่าง ธูปเทียนแพ กลีบดอกไม้หลากสีสันถูกนำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรม เชิงตะกอนสำหรับเผาศพว่างเปล่า บ้างก็มีลอมฟืนวางเตรียมไว้สำหรับการเผาที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่เพลาอันใกล้นี้ เหล่าสาธุ หรือฤาษีไว้ผมและเล็บมือยาวเฟื้อยนุ่งผ้าห่อศพย้อมสีเหลืองบ้าง ขาวบ้าง บ้างแต่งแต้มใบหน้าและร่างกายด้วยขี้เถ้าและสีต่าง ๆ บ้างก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน หรือไม่ปลีกวิเวกปฏิบัติโยคะด้วยท่วงท่าและลีลาต่าง ๆ อันเป็นวิธีปฏิบัติรูปแบบหนึ่งของการมุ่งสู่ความหลุดพ้น เหล่าสาธุพวกนี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากอินเดีย ซึ่งรูปแบบการแต่งกายของเหล่าสาธุแต่ละคนจะแตกต่างกันไป บางคนนุ่งน้อยห่มน้อยทาเนื้อตัวด้วยขี้เถ้าหรือมูลสัตว์ดูสกปรกในสายตาของผู้พบเห็นทั่วไปโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างแดน บางคนก็ดูสะอาดสะอ้านสวมเสื้อผ้ามิดชิดและไม่นิยมทาเนื้อตัวให้ดูสกปรกมอมแมม สาธุหนุ่ม ๆ บางคนที่เพิ่งฝึกการเป็นฤาษีจะค่อนข้างขี้อายไม่ค่อยกล้ามาเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะเท่าไหร่ ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเห็นเฉพาะเหล่าสาธุที่มีอายุมาก ๆ ที่วิชาแก่กล้าแล้วแทบทั้งสิ้น ซึ่งนั่นจึงทำให้ผู้คนเข้าใจว่าเหล่าสาธุ หรือฤาษีมีแต่คนแก่ ๆ เท่านั้นที่จะเป็นได้ แต่จริง ๆ แล้วการฝึกการเป็นฤาษีต้องฝึกตั้งแต่วัยหนุ่มกันเลยทีเดียว การนุ่งห่มผ้าห่อศพการนำขี้เถ้าหรือมูลสัตว์มาทาทั่วลำตัวนั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายในเชิงความเชื่อทางศาสนาแทบทั้งสิ้นไม่ใช่เพราะว่าคนเหล่านี้สติไม่สมประกอบหรือเป็นพวกโรคจิต เนื่องจากพวกเขามีความเชื่อว่าวัวเป็นพาหนะของเทพพระเจ้าดังนั้นเพื่อให้ได้เข้าถึงเทพเจ้าให้ได้มากที่สุดพวกเขาจึงยอมที่จะนำมูลวัวมาทาตามร่างกาย หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการเตือนสติว่าคนเราในที่สุดก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องกลายเป็นเถ้าถ่านไม่วันใดก็วันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาทไม่อยู่ในความโลภอยากได้ อยากมี อยากเป็นจนเกินไปนั่นเอง

สาธุบางคนพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อความอยู่รอดด้วยการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวที่มาขอถ่ายภาพพวกเขา หรือหากนักท่องเที่ยวคนใดแอบเก็บภาพแล้วฤาษีเหล่านี้รู้ตัวก็จะถูกเรียกขอเงิน แต่บางคนที่ค่อนข้างที่จะเคร่งในการประพฤติปฏิบัติก็จะพยายามหลีกเลี่ยง หากรู้ตัวว่าจะโดนถ่ายภาพก็จะเดินหนีทันที เราเจอสาธุหนุ่มวัยเกือบกลางคนคนหนึ่งสวมแว่นตาดำแบกวิทยุทรานซิสเตอร์เปิดเพลงฟังสบายอารมณ์รอบ ๆ บริเวณ เออ...นะ คงเป็นวิธีการบำเพ็ญตะบะอีกรูปแบบหนึ่งซินะ






ฝั่งแม่น้ำตรงข้ามวัด Pashupatinath นี่เองที่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายจะเห็นการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของชาวฮินดู มีสถูปขนาดเล็ก ภายในประดิษฐานศิวะลึงก์ตั้งเรียงรายไปตลอดแนว เราเลือกหามุมเหมาะๆ นั่งพักผ่อนพร้อมกับทอดสายตามองดูความเป็นไปเงียบ ๆ คนเดียว และในที่สุด ภาพที่เราคิดว่าจะไม่ได้เจอก็ปรากฏแก่สายตาจนได้นั่นคือพิธีกรรมฌาปณกิจศพ บรรดาชายฉกรรจ์กำลังหามร่างไร้วิญญาณมาวางริมแม่น้ำเบื้องล่างตอนแรกที่เราเห็นและรู้ว่าเป็นอะไร เราแทบอยากจะลุกเดินหนีไปในทันที เพราะมันชัดเจนเกินไป เมื่อวานเห็นที่บักตะปูร์มารอบหนึ่ง แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไม่ได้เห็นชัดเจนดังเช่นตอนนี้ แต่อารมณ์อยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าเลยพยายามทำใจนั่งมองการประกอบพิธีกรรม รู้สึกขนลุกและหดหู่กับภาพที่เห็นเหลือเกินนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นพิธีกรรมเกี่ยวกับศพอย่างใกล้ชิดเต็มตามากที่สุดร่างไร้วิญญาณของหญิงชรา ที่กำลังโดนถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างออกทีละชิ้นโยนลงแม่น้ำแขนและขาที่แห้งและซีดโผล่พ้นออกมาจากผ้าห่อศพ การถอดเสื้อผ้าของศพออกนั้นไม่ใช่ว่าจะถอดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ต้องมีการให้เกียรติผู้ตายโดยจะต้องมีการห่อศพให้มิดชิดจากนั้นญาติจะพยายามสอดมือเข้าไปถอดเสื้อผ้าของศพแล้วค่อย ๆ ดึงออกมาทีละชิ้นชาวฮินดูเชื่อว่าเสื้อผ้าของผู้ตายยังมีประโยชน์กับผู้ยากไร้คนอื่น ๆ การเผาเสื้อผ้าไปพร้อมกับศพจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์และถือว่าเป็นการยึดติดกับของนอกกายเกินไป ดังนั้นเหล่าญาติผู้ตายจึงต้องทำการถอดเสื้อผ้าของผู้ตายออกทั้งหมด เหลือไว้เฉพาะผ้าห่อศพเท่านั้น เรานั่งดูทุกขั้นตอนราวกับโดนต้องมนต์สะกดนักท่องเที่ยวต่างชาติบางคน ถึงขนาดตั้งกล้องวิดีโอถ่ายภาพพิธีกรรมนี้อย่างละเอียดทุกคนนั่งดูพิธีกรรมด้วยความสงบ ราวกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นเพียงฉากการแสดงฉากหนึ่งเด็กน้อยสองสามคนแก้ผ้ากระโดดเล่นน้ำบริเวณใกล้ ๆ กับศพที่นอนอยู่ริมแม่น้ำเรือพายของนักท่องเที่ยวชาวเนปาลีพายผ่านศพไปพร้อมหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมกับศพเดินไปมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างกับความรู้สึกของเราตอนนี้ลิบลับทั้งกลัว ทั้งหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เราพยายามควบคุมสติของตัวเองพยายามทำใจให้ได้ว่านี่คือธรรมดาโลก สักวันเราก็คงตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับศพหญิงชรานั่น พยายามนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นจนเริ่มรู้สึกทำใจได้ บังเกิดความสงบหนักแน่นและรู้เท่าทัน ด้วยการพิจารณาถึงกฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อใดที่เรารู้เท่าทัน สิ่งใด ๆ จะเกิดมันก็คงไม่เกินที่จิตจะต้านรับไหวได้โดยแน่แท้เชียว


ศพอีกศพถูกหามมาทำพิธีกรรมเฉกเช่นเดียวกัน แต่ละวันคงมีศพแล้วศพเล่าที่ถูกหามมาประกอบพิธีกรรมณ ที่แห่งนี้ จนผู้คนคงจะชาชินและเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว...


ความจริงแล้ววัดแห่งนี้มีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เรียกว่าบ้านรอความตาย อาคารสีขาวโพลนแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงหน้าเราอีกฝั่งของแม่น้ำบักมาตีนี่เองสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่หมดหนทางรักษาเยียวยาแล้วจะนำผู้ป่วยรายนั้นมาอยู่อาศัยจนกว่าจะสิ้นลมหายใจซึ่งชาวฮินดูมีความเชื่อว่าการได้มาอยู่ใกล้สถานที่ประสูติขององค์พระศิวะซึ่งก็คือวัด Pashupatinath แห่งนี้ ก่อนตายจะทำให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบเสมือนได้อยู่ในอ้อมกอดของเทพเจ้าก่อนจะจากโลกนี้ไปนั่นเอง โดยสถานที่แห่งนี้จะมีผู้ป่วยที่อาการใกล้ตายมาอาศัยอยู่ไม่ขาดระยะ โดยจะมีญาติและหมอมาคอยตรวจเช็คร่างกายจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ คนที่พอมีฐานะจะมีห้องส่วนตัวคล้ายเป็นห้องพิเศษในโรงพยาบาลส่วนคนที่ยากจน หรือหากห้องพิเศษมีไม่เพียงพอ ก็จะนอนเรียงรายรวมกันในห้องเดียว เราลองมโนนึกถึงสภาพของคนป่วยที่มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนใกล้ตายเช่นนี้คงทำใจลำบากไม่น้อย หากการได้มาอยู่ในอ้อมกอดของเทพเจ้าก่อนตายเช่นนี้จะทำให้ได้ขึ้นสวรรค์เราขอไม่ขึ้นสวรรค์ดีกว่า ยอมตกนรกนอนรอความตายอยู่ที่บ้านตัวเองดีกว่า เพราะไม่แน่หากผู้ป่วยได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ อาจสามารถยื้อชีวิตให้ยาวนานได้อีกไม่น้อยเป็นแน่ นึกแล้วก็น่าเห็นใจคนป่วยไม่น้อย เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางรายพูดแทบไม่ได้การจะขอร้องลูกหลานหรือญาติมิตรไม่ให้พาตัวเองมาสถานที่แห่งนี้คงเป็นไปไม่ได้เลยคงมีเพียงน้ำตาและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่พอจะสื่อความหมายออกมาได้แต่ก็คงไร้ประโยชน์อยู่ดี




Create Date : 17 ธันวาคม 2558
Last Update : 20 ธันวาคม 2558 11:31:04 น. 0 comments
Counter : 388 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2800697
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Simply is the best
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2800697's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.