ฝั่งตรงข้ามทางเข้าวัดที่เข้ามามีประตูและบันไดคอนกรีตทอดยาวลงสู่แม่น้ำบักมาตีแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวเนปาลชาวฮินดูหลายคนกำลังยืนเกาะกำแพงวัดเพื่อมองกิจกรรมริมฝั่งแม่น้ำเบื้องล่าง ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าเค้ามีกิจกรรมอะไร บอกตามตรงว่า ณ เวลานั้นเกิดอาการกลัวถูกจับได้จนไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว อยากเก็บภาพก็เก็บไม่ได้ พยายามทำเวลาด้วยการรีบเดินรอบบริเวณวัดพร้อมกับกวาดสายเก็บบันทึกภาพที่เห็นไว้ในสมองอันน้อยนิดให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้รีบออกไป ทั้งที่ใจจริงแล้วยังไม่อยากออกไปเลย แต่ถ้าขืนอยู่ต่อไปมีหวังคงต้องโดนจับได้และโดนลงโทษแน่ ๆ
พอก้าวพ้นธรณีประตูออกมาด้านนอกวัดได้ อาการขนลุกซู่ยังคงไม่หายแต่รู้สึกโล่งอกเสียเหลือเกิน รอดตายแล้วตรู ไม่น่าเล้ย... เรารีบไปหยิบรองเท้ามาใส่แล้วรีบเดินออกไปในทันทีโชคดีที่ชายหนุ่มที่เราสอบถามตอนก่อนเข้าวัด ไม่ไปฟ้องเจ้าหน้าที่ ให้ไปวิ่งไล่จับเราในวัด ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหนแล้ว ถ้าเขายังอยู่เห็นทีต้องต่อว่าซักหน่อยข้อหาใช้ body language ไม่เคลียร์ รู้สึกเสียดายมาก ๆ ที่ไม่สามารถเก็บภาพบรรยากาศและความงดงามของศิลปะที่ตกแต่งด้วยงานแกะสลักแผ่นเงินแท้ฝีมืองช่างเนปาลโบราณที่มีอายุหลายร้อยปีออกมาด้วยได้ แต่อย่างน้อยเราก็มีโอกาสได้เห็นกับตาตัวเองซึ่งโอกาสที่จะได้เข้าไปภายในบริเวณวัดของนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ชาวฮินดูนั้นแทบไม่มีเลย จึงไม่แปลกที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงภาพและบรรยากาศภายในบริเวณวัดแห่งนี้ในหนังสือคู่มือนักท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ มาคิดดูอีกที ความสะเหร่อ เซ่อ ซื่อบื้อของเรามันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับดวง และเทคนิคการทำเนียนด้วย หากดวงไม่ดีปฏิบัติไม่เนียน ก็คงมีหวังได้ร้องไห้โฮ อย่างแน่นอน...แต่เรื่องสะเหร่อมันชักจะถี่เกินไปแล้วนะวันนี้
สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวฮินดู ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้เที่ยวชมสำหรับวัดแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถชมบรรยากาศรอบ ๆ บริเวณวัดแห่งนี้ได้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คงหนีไม่พ้นวิถีชีวิตของชาวฮินดู ความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาหรือแม้แต่พิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตาย
เราเดินตามนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเดินอ้อมไปยังจุดขายบัตร ชำระค่าบัตรเข้าชม 250 รูปี หนุ่มน้อยแต่งตัวซอมซ่อ เดินเข้ามาทักพร้อมเสนอตัวเป็นไกด์ เราตอบปฏิเสธไป โดยบอกไปว่าอยากเดินเที่ยวคนเดียว และไม่ยินดีที่จะจ่ายตังก์ด้วย อย่ามาเสียเวลาตามตื๊อเลย แต่หนุ่มน้อยคนนั้นก็ยังพยายามตามตื๊อไม่หยุด บอกว่าเค้าไม่คิดค่าบริการ แค่ขอเป็นเพื่อนเดินเที่ยวก็ได้ ซึ่งเราเองเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้วกับเรื่องพวกนี้ เพราะท้ายสุดคนพวกนี้จะต้องขอเงินอย่างแน่นอน จึงพูดไปแบบไม่ใยดีว่า Up to you, but I'll never pay you for any rupee!! หนุ่มน้อยยังคงแสดงสีหน้าเป็นปกติพลางพยายามสอบถามชื่อเสียง เรียงนามว่ามากจากไหน มากี่วัน มาเนปาลครั้งแรกหรือเปล่ามากับใคร ไปเที่ยวไหนมาแล้วบ้าง เขาพยายามอธิบายความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ซึ่งจากที่เราได้อ่านในหนังสือกับสิ่งที่หนุ่มน้อยคนนี้อธิบายดูมันแตกต่างกันพอสมควรเลยไม่ทราบว่าจะเชื่อข้อมูลแหล่งใดดี แต่ก็ลองฟังหูไว้หูละกัน โดยหนุ่มน้อยคนนี้บอกว่า ความหมายของชื่อวัดแห่งนี้ หมายถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพฮินดูเช่น วัว อีกา สุนัข ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะไม่ถูกรังแกหรือนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับชาวฮินดูโดยเด็ดขาด จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นสัตวเหล่านี้เดินหรือบินโฉบเฉี่ยวหากินไปมาภายในบริเวณวัดร่วมกับผู้คนโดยไม่ถูกรบกวนหรือไล่หนีเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นวัดแห่งนี้จึงเป็นแหล่งที่อยู่ที่สงบสุขที่สุดของเหล่าสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้นนั่นเอง |