The most powerful weapon is nothing but "LOVE"
เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 10

ด้วยความแค้น เรื่องนี้ต้องถึงหูครูอังคณา!! เรายังไม่จบ ต้องลองเช็คราคา โดยไปซื้อ apple สองลูกจากอาบังอีกคนปรากฏว่าราคาสองลูกตกแค่ 25 รูปีเท่านั้น ได้ apple มาแล้วมองกล้วยหกลูกในถุงกับราคา 150 รูปี อาการเจ็บกระดองใจมันแล่นปรี๊ดขึ้นสมองอีกรอบผ่านร้านไอ้เด็กแสบสองรอบแล้ว เพราะความโมโหจนหาทางกลับ guesthouse ไม่ได้ เห็นหน้ามันแล้วอยากกระโดดถีบทั้งรถทั้งคน เดินหลงทางผ่านหน้ามันมาครั้งที่สามล่ะเอาว่ะ ในเมื่อมันทำให้เสียสติ จนหาทางกลับ guesthouse ไม่เจอแล้วเราจึงตัดสินใจเดินไปด่ามัน "You are bad boy, give me more apple!!!" ไอ้เด็กแสบมันคงรู้สึกผิดบ้างแหละ และมันเองก็คงแปลกใจนิดๆ ว่าทำไมเราถึงไม่กลับเสียที เดินผ่านไปมาตั้งสองสามรอบแล้ว มันเลยกลัวเราจะกระโดดถีบมันจริงๆ กระมัง เลยรีบหยิบแอปเปิ้ลให้อีกลูกสองลูก แหมรู้งี้ขู่มัน ขออีกซักห้าลูกก็ดี ได้แอปเปิ้ลแล้วก็เดินหาทางกลับอีกรอบ คราวนี้กลับไปตั้งสติให้ดีก่อนยืนพินิจพิเคราะห์อยู่ตรงกลางแยกนานพอสมควรเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วตัดสินใจ เอาว่ะ เส้นนี้แหละไอ้เด็กแสบมันอยู่ตรงนั้น ถ้าเราไปเส้นนั้นคงไม่ใช่แน่ไปเส้นนี้นี่แหละ...... เฮ้อ!! ถึงจนได้ เย็นนี้อดกินมื้อเย็นอาศัยผลไม้ราคาสุดแพง กิน กิน กินซะให้พอกินให้หายเจ็บใจ อ้อ!! พอดีติดขนมขบเคี้ยวมาจากเมืองไทยมาเยอะเลยถือโอกาสกินคลายโมโหซะเลยกินเสร็จก็ลงไปจ่ายเงินที่ค้างไว้ 100 รูปีกับเจ้าหน้าที่ เนื่องเพราะเวลายังไม่ดึกมากแล้วก็ไม่มีอะไรต้องทำ เลยชวนเจ้าหน้าที่คุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยซักครู่ก็มีอาเจ๊ชาวเนปาลีเชื้อสายธิเบต มายืนคุยผสมโรงด้วยอีกคน


เจ๊บอกว่าเคยมาเที่ยวเมืองไทย ชอบอาหารไทยมากโดยเฉพาะปลาหมึก ปู กุ้ง อาหารทะเลเจ๊มักหลาย ๆ บอกว่าเกิดมาไม่เคยกินอาหารทะเลเพราะเนปาลไม่มีทะเล อาหารทะเลหายากและแพงมาก ๆ พอได้ไปเมืองไทยเจ๊เลยจัดซะเต็มที่พูดไปเจ๊ก็ทำท่าเหมือนน้ำลายจะหกออกมาด้วย เลยรู้ว่าเจ๊แกคงจะชอบจริง ๆ เจ๊บอก อยากกลับไปเที่ยวเมืองไทยอีกชอบเมืองไทย ของกินอร่อย ช็อปปิ้งสนุก แต่ขณะเดียวกัน เจ๊ก็ภาคภูมิใจในถิ่นมาตุภูมิของตัวเองไม่น้อยคุยว่าที่เนปาลตรงนั้นสวย ตรงนี้สวยมาก ๆ เส้นทางเทรคกิ้งเส้นนั้นเส้นนี้สวยสุดยอดแต่พอเราถามว่า "แล้วเจ๊เคยไปมาแล้วเหรอ เคยไปมากี่ที่แล้ว" เจ๊กลับตอบมาว่า ปล๊าวววว!! เจ๊ฟังเค้าเล่ามาอีกทีอ่ะพลางชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ ที่ตอนนี้กำลังให้ข้อมูลเรื่องการเดินทางผ่านแดนเพื่อข้ามไปยังประเทศอินเดียให้กับสองสาวฝรั่งวัยรุ่นอยู่เจ๊บอกว่าขานั้น Trekker ตัวจริงเลยหล่ะอยากรู้เรื่องอะไรถามได้หมดทุกเรื่อง

เจ๊แรงดีไม่มีตกจริงๆ คุยได้ตลอด แต่มันดึกแล้วนะเจ๊ เราไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ถ้ามีโอกาสคงได้มาจ้อเรื่องเมืองไทยให้ฟังอีก ว่าแล้วเราก็ขอตัวกลับไปอาบน้ำนอนเก็บแรงไว้สำหรับต่อสู้กับปัญหาต่อในวันพรุ่งนี้...หมดเวลาสำหรับการผจญภัยวันที่สองหลับฝันดีนะ...


วันอาทิตย์ที่19 ตุลาคม


เช้านี้เราตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งตามเสียงนาฬกาปลุกที่ตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน อากาศยามเช้าวันนี้ค่อนข้างหนาวเสียงอีกาส่งเสียงร้องปลุกหมู่มวลสหายวิหคเพื่อบินออกหากินในเช้าวันใหม่ถือเป็นบรรยากาศยามเช้าที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคย เพราะปกติอาศัยในเมืองใหญ่แทบไม่มีแม้เสียงไก่ขันฝืนอาบน้ำท้าความหนาวเหน็บก่อนออกเดินทางเพราะรู้สึกว่าถ้าได้อาบน้ำยามเช้ามันจะทำให้รู้สึกสดชื่นสบายตัวถึงแม้ว่าจะหนาวขนาดไหนก็ไม่หวั่น เดินออกจากห้องน้ำ เห็นนักท่องเที่ยวทยอยกันแบกเป้เช็คเอาท์ออกจาก guesthouse เพื่อเดินทางต่อแต่เช้าแต่ละคนดูสภาพก็รู้ว่าไม่มีใครอาบน้ำกันเลย เห็นจะมีแต่เรานี่แหละที่บ้าอาบน้ำคนเดียวเห็นคนอื่นทยอยกันออกไปแล้ว เราจะมัวโอ้เอ้ร่ำไรคงไม่ได้การ เห็นทีต้องรีบเสียแล้วเพราะเดี๋ยวไม่ทันรถ เช็คเอาท์ออกจากที่พักตอนหกโมงนิด ๆ เดินมุ่งหน้าสู่ถนน Kantipath จุดขึ้นรถสำหรับเดินทางไปยังเมืองโปขราจุดหมายต่อไปสำหรับการเดินทางทริปนี้


บรรยากาศยามเช้าตรู่เช่นนี้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปโปขรา ต่างก็แบกเป้ทยอยกันเดินไปยังจุดขึ้นรถนักท่องเที่ยวบางคนที่ประสงค์จะไป trekking ก็ติด porter หรือลูกหาบไปด้วย ส่วนเรานัดเจอลูกหาบที่โปขรางานนี้จึงต้องแบกเป้ด้วยตัวเองจนหลังโก่งอีกตามเคย ตามทางเดินเห็นคนจรจัดกำลังนอนเรียงแถวบริเวณหน้าอาคารแห่งหนึ่งทั้งสุนัขทั้งคนนอนขดตัวใต้ผ้าห่มเก่า ๆ ดูเป็นภาพที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่งในสายตาของนักเดินทางขาจรทั่วไปแต่สำหรับชาวเนปาลีเองแล้ว ดูพวกเค้าจะคุ้นชินกับภาพเหล่านี้ต่างคนต่างก็เดินผ่านไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

รถทัวร์จากหลายบริษัทจอดเรียงรายตลอดแนวริมถนนเราเดินถามหารถทัวร์ของบริษัท Open Heart ก็ได้รับคำตอบว่าให้เดินไปเรื่อย ๆเดินมาจนเกือบจะเป็นคันหน้าสุดที่จะออกเดินทาง ในที่สุดก็เจอ เจ้าหน้าที่ขอดูตั๋วจากนั้นก็จัดการนำเป้ของเราขึ้นไปเก็บบนหลังคารถซึ่งมีสัมภาระของนักท่องเที่ยวและของชาวเนปาลีเองวางเรียงรายอยู่ข้างบนจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาไปนั่งยังที่นั่งที่จองไว้ งานนี้เราได้นั่งแถวที่สองเป็นที่นั่งเดี่ยวด้านซ้ายมือ สภาพรถก็คงเทียบไม่ได้กับรถปรับอากาศชั้นสองบ้านเราไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม แต่แค่นี้ก็ถือว่าดีถมถืดแล้ว เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีตั๋วยืนเหมือนรถโดยสารปรับอากาศชั้นสองที่เมืองไทย


สำหรับรถโดยสารที่จะเดินทางไปยังโปขรานั้นรถของทุกบริษัทจะวิ่งให้บริการเพียงวันละหนึ่งเที่ยวเท่านั้น และจะเริ่มออกเดินทางในเวลาเดียวกันคือประมาณเจ็ดโมงถึงเจ็ดโมงครึ่งแต่นักท่องเที่ยวควรจะไปให้ถึงก่อนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ส่วนบริการของบริษัทไหนดีกว่ากันนั้นคงต้องวัดดวงกันเอาเอง แต่เท่าที่เราใช้บริการมาทั้งขาไปและขากลับก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน พอได้เวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่งรถทุกขบวนก็เริ่มเคลื่อนล้อนำผู้โดยสารมุ่งหน้าสู่โปขราเมืองเล็ก ๆต้นทางสำหรับการปีนเขาหิมาลัย



ตามเส้นทางสู่โปขรา รถจะต้องวิ่งลัดเลาะตามไหล่เขาแทบตลอดเส้นทางช่วงแรก ๆ ของเส้นทางที่ไม่ไกลจากกาฐมัณฑุจะมองเห็นยอดเขาลังตัง สีขาวโพลนดูโดดเด่นตื่นตาตื่นใจมากยอดเขาปกคลุมไปด้วยหิมะแสงจากดวงอาทิตย์ทาทาบสีขาวบริสุทธิ์ของยอดเขาทำให้เห็นเป็นสีส้มอมเหลืองอร่ามบนปลายยอดงดงามเหลือเกิน นับเป็นหนึ่งในยอดเขาหิมาลัยยอดแรกที่เราได้เห็นในทริปนี้โชคร้ายที่ได้ที่นั่งฝั่งซ้าย จึงไม่สามารถเก็บภาพได้สะดวกงานนี้ได้แต่มองดูความงดงามและยิ่งใหญ่อย่างเดียวเท่านั้นนอกจากภาพยอดเขาลังตังแล้ว ภูมิประเทศสองข้างทางยังเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจีนาข้าวและแปลงพืชสวนขั้นบันไดของชาวบ้านที่ซึ่งตอนนี้มีต้นข้าวสุกสีทองอร่ามเต็มไปหมด แม่น้ำพิษณุมาตี (Bishnumati) สีฟ้าอมเขียวใสไหลเอื่อยคดเคี้ยวไปตามหุบเขาตลอดแนวถนนที่รถแล่นผ่านซึ่งมวลน้ำส่วนใหญ่เกิดจากการละลายของหิมะจากเทือกเขาหิมาลัยนั่นเอง บางช่วงของแม่น้ำจะมองเห็นกลุ่มนั่งท่องเที่ยวที่พิสมัยการผจญภัยกำลังล่องแก่ง บ้างก็พายเรือคายัคเพิ่มความตื่นเต้นท้าทายให้กับการเดินทางตามสไตล์แต่ละคนที่ชอบกิจกรรมแนวนี้

รถจอดให้ผู้โดยสารพักรับประทานอาหารเช้า เข้าห้องน้ำ ณ ร้านอาหารริมทางแห่งหนึ่ง ตอนประมาณเก้าโมงเช้า ซึ่งรถจะจอดประมาณยี่สิบห้าถึงสามสิบนาที ดังนั้นผู้โดยสารจะต้องบริหารเวลา



ของตัวเองให้ดีสำหรับมื้อเช้านี้เราอาศัยขนมขบเคี้ยวที่ติดมาจากเมืองไทย และ apple สองลูกที่เหลือมาจากเมื่อคืนแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างก็ยังไม่หิวมากนัก รอกินมื้อเที่ยงทีเดียวเลยดีกว่า ลงไปเข้าห้องน้ำเรียบร้อยเสร็จก็ขึ้นรถถึงกำหนดเวลารถก็ออกเดินทางต่อ


ประมาณเที่ยงครึ่งรถเกือบทุกคันก็จอดให้พักรับประทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งกำหนดเวลาในการกินมื้อเที่ยงรวมทั้งปฏิบัติภาระกิจส่วนตัวอื่น ๆ ภายในระยะเวลายี่สิบห้าถึงสามสิบนาทีเช่นเดิมถึงเวลานี้เราหิวจนตาลาย พอรถจอดปุ๊ป ก็คว้าเป้ใบเล็ก วิ่งแจ้นลงรถทันทีผู้โดยสารคนอื่นต่างก็จับจองที่นั่ง สั่งอาหารกินกันตามร้านอาหาร อาคันตุกะตัวคนเดียวเช่นเราจะทำยังไงดีหว่าทำตัวไม่ถูก จะสั่งอาหารยังไงดีหนอ บางร้านที่นั่งก็ถูกจับจองหมด ดูขนาดร้านอาหารเทียบกับลูกค้าที่เยอะขนาดนี้คิดว่างานนี้คงไม่ได้กินแน่ ๆ เลยเดินหาร้านอื่นต่อไป มาร้านที่สองมีแต่ชาวเนปาลีนั่งโซ้ยมื้อกลางวันด้วยมือบนโต๊ะอาหาร สภาพร้านอาหารก็ดูไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่งานนี้เราเลยขอบายอีกรอบ แต่ยังไม่หมดความพยายาม เพราะหิวมาก ไม่กินคงตายแน่ ๆ เอาว่ะใจเย็น ๆ ขอเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่าเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนเดินลงไปยังสวนใกล้กับร้านอาหาร เราเลยเดินตามไปกะว่าจะไปเข้าห้องน้ำซักหน่อย ก็พอดีไปเจอซุ้มอาหารกลางสวนอาหารถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ดูสะอาดสะอ้าน เพราะความหิวเราลืมคิดถึงเรื่องเข้าห้องน้ำในบัดดลขอกินก่อน!!! ตรงรี่ไปที่ซุ้มอาหารตอนแรกก็ไม่ทราบว่ามันเป็นซุ้มอาหารฟรีสำหรับผู้โดยสารของรถทัวร์บริษัทหนึ่ง เจ้าหน้าที่ขอดูตั๋วโดยสารเราเลยบอกว่าโดยสารมากับรถของ Open Heart อาบังเจ้าของซุ้มอาหารเลยบอกว่า Open Heart จ่าย 250 รูปีเพราะความหิวจัด เลยไม่ลังเล จ่ายเงินให้กับอาบัง พร้อมกับรับจานหลุมสำหรับใส่อาหารตอนแรกกะว่าจะตักเยอะ ๆ ให้คุ้มกับจำนวนเงินที่จ่ายไปแต่เห็นสองสาวชาวเนปาลีก่อนหน้านี้เค้าตักกันคนละทัพพี งานนี้เลยไม่กล้าตักเยอะเอาว่ะ!! 3 ทัพพี ก็คงพอ จากนั้นก็เดินไปตักกับข้าวซึ่งมีอยู่ 3-4 อย่าง จำพวกผัดผักเขียว ๆ ตระกูลผักโขม ผัดมันฝรั่งใส่มะเขือเทศ กะหล่ำดอก หอมหัวใหญ่แล้วก็พริกหวานตระกูล capsicum มีน้ำแกงอะไรซักอย่างลักษณะข้น ๆ เหลือง ๆ น่าจะทำจากถั่วบดซึ่งคงจะเปรียบได้กับน้ำพริกบ้านเรา เพราะเห็นมีผักจิ้มจำพวกแตงกวาหัวไชเท้าหั่นสด วางใส่ถาดไว้ด้วย สุดท้ายก็เป็นแกงไก่ที่หนุ่มน้อยชาวเนปาลีกำลังตักใส่ถ้วยเล็ก ๆเตรียมไว้ให้กับลูกค้า ซึ่งมีไก่ติดกระดูกอยู่ 3-4 ชิ้นถือเป็นเมนูโปรตีนจากเนื้อสัตว์เพียงเมนูเดียวที่เห็น กลิ่นเครื่องเทศโชยติดจมูก เรารู้สึกกลัวๆ เหมือนกันสำหรับอาหารแขกมื้อแรกในทริปนี้ แต่เพราะอาหารดูค่อนข้างสะอาดและเพิ่งปรุงสุกใหม่ ๆ กอปรกับอาการหิวจนตาลาย พอหาที่นั่งได้ก็จัดการกับมื้อนั้นในทันที กินไปกินมาเอ..อาหารแขกนี่มันก็รสชาติใช้ได้เหมือนกันนะ โดยเฉพาะแกงไก่ใส่เครื่องเทศรสชาติเข้มข้นและอุดมไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศ กินกับเมนูมังสวิรัติอื่น ๆ ก็ดูเข้ากันไม่เลวทีเดียวเราคิดว่าเราคงสอบผ่านเรื่องอาหารแล้วและคิดว่าอาหารที่อุดมไปด้วยเครื่องเทศคงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป นั่งกินคนเดียวด้วยความเอร็ดอร่อยท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและเย็นสบาย รับแสงแดดอ่อนพอคลายหนาวกลางสวนที่เขียวขจี แลวิวยอดเขาหิมาลัยขาวโพลนเป็นฉากหลังทำให้มื้อกลางวันมื้อนั้นเป็นมื้อที่เราได้กินอาหารอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและสบายใจเป็นมื้อแรกในเนปาลกินเสร็จก็รีบเข้าห้องน้ำแล้วมารอขึ้นรถ พอครบกำหนดสามสิบนาทีรถก็เริ่มออกเดินทางต่อ คราวนี้รถวิ่งยาวแบบ non stop จนถึงโปขรา

สภาพสถานีรถโดยสารของเมืองโปขราเป็นเพียงลานจอดรถดินลูกรังกว้าง ๆ แค่นั้นเองถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่านี่คือสถานีรถโดยสารไม่มีอาคารสำหรับเป็นที่พักแก่ผู้โดยสารเลยมีเพียงตึกที่เป็นที่อยู่ของชาวบ้านที่เปิดเป็นร้านขายของชำอยู่รอบ ๆ ไม่กี่คูหาสำหรับสถานีรถโดยสารของเมืองโปขรานั้นมีอยู่หลายที่ แต่ละที่รถก็จะวิ่งในเส้นทางที่แตกต่างกันสำหรับรถโดยสารที่เดินทางระหว่างกาฐมัณฑุและโปขราจะตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของทะเลสาปเฟวาดังนั้นเมื่อรถจอดนักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศใต้เพื่อเข้าสู่ย่านที่พักในตัวเมืองงานนี้ใครใคร่เดินก็สามารถเดินได้ แต่ถ้าใครขี้เกียจเดินก็มีแท็กซี่มาจอดรับส่งสนนราคาก็ตั้งแต่ 150-200 รูปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อรองส่วนเรื่องที่พักนั้นมีทั้งโรงแรมเล็ก ๆ หรือ guesthouse มากมายเต็มไปหมดตั้งแต่เหนือจรดใต้ตามแนวทะเลสาปเฟวา สามารถเลือกหาได้ตามความพอใจสไตล์ใครสไตล์มันแต่เนื่องจากเรานัดเจอกับลูกหาบที่ Fish Tail Lodge ดังนั้นพอลงจากรถก็มีเจ้าหน้าที่ที่ Mr. N.G ได้นัดแนะให้มารับ มายืนรออยู่แล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นให้เรานั่งแท็กซี่ไปรอที่ Fish Tail Lodge ก่อนเพราะเขาต้องรอรับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางมากับรถโดยสารของบริษัทอื่นดังนั้นเราจึงต้องนั่งรถไปพร้อมกับคนขับรถตามลำพัง ระยะทางจากสถานีรถโดยสารถึง Fish Tail Lodge ก็คงประมาณสองกิโลเมตรได้


พอลงจากรถ พนักงานต้อนรับของ Fish Tail Lodge ก็พาเราไปดูห้องพัก ซึ่งเราบอกว่าจะไม่พักที่นี่แต่ก็ถือโอกาสลองดูห้องพักฆ่าเวลา สภาพห้องพักของ Fish Tail Lodge แห่งนี้ ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ห้องพักดูสะอาดสะอ้านมาก มีทีวีด้วยส่วนห้องน้ำเป็นแบบห้องน้ำรวม ราคาอยู่ที่ประมาณ 500 รูปีต่อคืนพนักงานต้อนรับถามว่าจะพักที่นี่มั๊ย เราบอกว่าไม่ดีกว่า เพราะอยากเดินหาที่พักเองอาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ พนักงานต้อนรับเลยรีบลดราคาให้เราอีกทันทีเหลือ 400 รูปีต่อคืน แต่เรายังคงยืนยันหนักแน่นว่าไม่พักพนักงานต้อนรับเลยหน้าเสียเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่าจะได้ลูกค้า พอผู้จัดการมาถึงเราเลยบอกว่าขอเจอหน้า porter หรือ Mr. Rambo หน่อย ก็พอดี Mr.Rambo เดินมาพอดี พอผู้จัดการแนะนำเสร็จ เราก็ทักทายทำความรู้จักกับ Mr.Rambo ทำการนัดแนะเวลาสำหรับการเดินทางไป Trekking พรุ่งนี้ Mr. Rambo ทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อรู้ว่าเราจะไม่พักที่นี่ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ ในตอนนั้น นี่หรือคือคนที่เราจะต้องพึ่งพาเขาไปตลอด 4 วันในการ Trekking แค่เราไม่พักที่ Fish Tail Lodge ทำให้เขาไม่พอใจขนาดนี้เชียว อาการและคำตอบต่าง ๆ ที่ว่าที่ลูกหาบแสดงออกมามันทำให้ต้องคิดหนักแต่เอาว่ะ...พรุ่งนี้ไอ้นี่มันอาจจะอารมณ์ดีขึ้น นัดแนะเวลาสำหรับการออกเดินทางพรุ่งนี้แปดโมงเช้าโดยเราต้องมาเจอ Mr. Rambo ที่ Fish Tail Lodge แห่งนี้ เสร็จเรียบร้อยก็จัดการจ่ายค่าแท็กซี่ 130 รูปีแล้วก็แบกเป้เดินหาที่พักต่อไป




Create Date : 16 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 12:35:41 น. 0 comments
Counter : 493 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2800697
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Simply is the best
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2800697's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.