แห่งนี้ก็คือ Patan Durbar Square สถานที่ซึ่งองค์การ UNESCO ได้ประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของเนปาลแห่งนี้นี่เอง
จตุรัสแห่งนี้จะมีลักษณะเป็นลานกว้างรายล้อมด้วยวิหาร หรือวัดฮินดูต่าง ๆ ที่มีรูปทรงของสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เมื่อครั้งอดีตสถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ออกว่างานราชการของกษัตริย์แห่งราชวงศ์มัลละแต่ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมในงานเทศกาลต่าง ๆเช่นพิธีบูชายัญเทพแห่งฮินดู โดยในพิธีกรรมจะมีการฆ่าสัตว์เพื่อสังเวยไม่ว่าจะเป็นควาย แพะ แกะ ไก่ ซึ่งพิธีการบูชายัญใหญ่ ๆ ส่วนมากจะกระทำกันในช่วงตุลาคมนี่เองแต่เรากลับไม่มีโอกาสได้เห็น สงสัยพิธีคงจะเสร็จสิ้นไปหลายวันแล้ว ซึ่งเราถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะไม่ใคร่ที่จะเห็นสัตว์โดนเชือดเห็นเลือดทีไรอาการหน้ามืดกำเริบแทบหมดแรงอยู่ร่ำไป
นอกจากวัดหรือวิหารฮินดูต่าง ๆ บริเวณ Durbar Square แล้ว สถานที่ที่ไม่ควรพลาดอีกแห่งก็คือวัดทองหรือ Golden Temple หรือภาษาเนปาลีเรียกชื่อวัดนี้ว่า ควาบาฮาล ซึ่งต้องเดินต่อไปทางทิศเหนือของจุตรัสแต่ไม่ไกลเท่าใดนัก แต่เราเองก็เดินหลงอยู่นานพอสมควรแต่สุดท้ายก็หาไม่เจอตามเคย งานนี้อาศัยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ขายตั๋วตลอดเพื่อถามทาง
สำหรับวัดทองเป็นวัดของศาสนาพุทธ ที่ถือว่าเก่าแก่และมีความสำคัญมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเนปาลสร้างขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 โดยกษัตริย์ Bhaskar Verma บริเวณวัดไม่ได้กว้างใหญ่มากนักแต่ภายในวัดประดับประดาไปด้วยงานปั้นงานแกะสลักโลหะอันวิจิตรงดงามฝีมือศิลปินชั้นครูตามสไตล์ศิลปะเนปาล จากยอดหลังคาวัด 3 ชั้น จะมีสายทองยาวทอดตัวลงมาแต่ไม่ถึงพื้นคล้าย ๆ ตุงบ้านเรา แต่สายทองที่นี่ว่ากันว่าเป็นทองคำล้วน ๆรอบทางเดินจะมีกงล้อภาวนาเรียงรายโดยรอบโดยกงล้อแต่ละอันจะมีคำจารึกจากพระไตรปิฏกไว้ด้วยว่ากันว่าการเดินหมุนกงล้อภาวณาในทิศวนขวาแบบทักษิณาวรรตครบหนึ่งรอบเท่ากับการได้นั่งสวดมนต์จบ 40,000 จบเลยทีเดียวนับเป็นวิธีการเข้าถึงพุทธศาสนาอันแยบยลของชาวพุทธเนปาลทิเบตโดยเฉพาะ
ถึงแม้บริเวณวัดจะคับแคบแต่ก็เสมือนมีอำนาจลึกลับภายในดึงรั้งเราให้วนเวียนอยู่ในบริเวณวัดได้นานโขเลยทีเดียวนั่นคงเป็นเพราะความน่าสนใจในจริยาวัตรของบรรดานักบวชอุบาสกอุบาสิกาผู้เลื่อมใสในศาสนา ความงดงามในศิลปะภายในวัด รวมถึงบรรยากาศอันน่าเลื่อมใสศรัทธาเสียงเพลงสวดมนต์ของธิเบตที่เปิดจากร้านขายของที่ระลึกด้านนอกวัดฝั่งประตูทางเข้าอีกด้านหนึ่งของวัด ยิ่งทำให้บรรยากาศดูสงบ เต็มไปด้วยมนต์ขลังเป็นอย่างยิ่งงานนี้เราเลยประเดิมของที่ระลึกชิ้นแรก เป็นซีดีเพลงสวดสไตล์ธิเบต ชื่ออัลบั้ม "Tibetan Incantations :The Meditative Sound of Buddhist Chants" (แปลเอาเองนะ)เป็นเพลงสวดที่ไพเราะมาก ๆ เนื้อบทสวดมีประโยคสั้น ๆ ว่า "โอม มณี ปัทเม ฮุม" แปลว่า "ขออัญเชิญพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอันล้ำค่าดั่งแก้วมณีมาสถิตย์อยู่ในดวงใจอันบริสุทธิ์ดั่งดอกบัวของเรา"เนื้อเพลงสั้น ๆ ร้องซ้ำท่อนเดิม ๆ ประกอบกับเสียงดนตรีสไตล์จีน-ธิเบต ประเภทขลุ่ยสั้นเสียงแหลม เสียงซอและปีปะ ซึ่งเป็นกีต้าร์ของจีนหนึ่งเพลงจบก็กินเวลาไปกว่ายี่สิบนาที แต่เพราะความไพเราะจับใจ จึงทำให้คนฟัง ๆแล้วรู้สึกเหมือนใกล้จะหลุดพ้นจากกิเลสวัฏสงสาร สู่ห้วงแห่งนิพพานจริง ๆกลับมาเมืองไทย เปิดเพลงสวดฟังแล้วทำให้นึกถึงเนปาลขึ้นมาจับใจเพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่มีร้านขายของที่ระลึกส่วนใหญ่ ก็จะเปิดเพลงนี้คลอเคล้ากับบรรยากาศสุขุม ลุ่มลึก เยือกเย็น สงบและสันติทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเสมือนหนึ่งเดินหลงอยู่ในดินแดนหิมพานต์ยังไงยังงั้นเลยทีเดียวหลายคนอาจคิดว่าเราเว่อร์ไปหรือเปล่า แต่เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ |