The most powerful weapon is nothing but "LOVE"
เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 6

สภาพห้องเป็นเตียงเดี่ยวสำหรับหนึ่งคนพอดีง่าย ๆ ไม่มีอะไรเลย ห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำรวมผ้าห่มผ้าปูที่นอนก็ไม่รู้ว่าใช้อันเดิมกับแขกคนก่อนหน้าหรือเปล่าสำหรับคนที่พิถีพิถันเรื่องพวกนี้ก็อาจจะไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แต่สำหรับเราแล้วง่าย ๆ ยังไงก็ได้ แค่ไม่มีกลิ่นไม่มีคราบก็โอเคแล้ว อีกอย่างเรามีถุงนอนส่วนตัวมาด้วยไม่ต้องกังวล เก็บกระเป๋าเสร็จก็ออกจากห้องทันที หาอะไรกินก่อนดีกว่า เดินไปเจอร้านอาหารไทยพอดีชื่อ Yin Yang Restaurant อยู่ถนนเส้นเดียวกันกับ guesthouse ที่พักเลย เปิดดูเมนู โห! อาหารไทยแพงขนาดนี้เลยเหรอไม่รู้จะสั่งอะไร เลยสั่งผัดไทยนี่แหละว่ะ น่าจะถูกที่สุด จะลองเปรียบเทียบดูซิว่าผัดไทยที่สุวรรณภูมิกะผัดไทยที่นี่รสชาติมันจะเหมือนหรือต่างกันเช่นไร


รู้สึกวันนั้นเราจะเป็นลูกค้าคนแรกของร้านด้วยผู้จัดการร้านเดินหน้ายิ้มแป้นมาทักทาย บอกว่าร้านเพิ่งเปิด นั่งรออาหารประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงพออาหารมาก็รีบโซ้ยเพราะต้องทำเวลา กินเสร็จดูบิล ร้อง โห! อีกรอบ 548 รูปี (ค่าผัดไทย 395 รูปี+ค่าน้ำดื่ม 90 รูปี+Vat 13% 63 รูปี) รู้งี้ซื้อน้ำมาจาก guesthouse เถื่อนเมื่อคืนนี้ก็ดีแต่คงเพราะความรู้สึกอิ่มเพราะอาหารเยอะมาก รสชาติก็ใช้ได้ทีเดียวจึงหยวน ๆ กันได้แต่คิดว่าคราวหลังถ้ามาคนเดียวจะไม่เข้าร้านนี้อีกแล้วคิดถึงอาหารที่เมืองไทยชะมัด....แต่จริง ๆ แล้วคิดถึงบ้านอ่ะ อยู่บ้านปลอดภัยสะดวกสบายที่สุดเลย...


เมื่อท้องอิ่มก็ถึงคราวที่จะต้องลุยแล้วหล่ะ ก่อนอื่นต้องไปแลกเงินก่อนเพราะเงินที่แลกมาจากสนามบินเมื่อคืนจะหมดแล้ว อัตราแลกเงินเช้านี้อยู่ที่ประมาณ 78 รูปีต่อหนึ่ง US เป็นอัตราที่ดีกว่าแลกที่สนามบินเมื่อคืนแลกเงินเสร็จก็กางแผนที่ที่ยืมมาจาก Guesthouse ก็พอดีมีอาบังวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาหาทำมาเป็นถามนู่นถามนี่ เราเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าหมอนี่จะมาไม้ไหนกันแน่มารู้ทีหลังว่าอาบังวัยรุ่นคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของ Himalayan Scenery Treks & Expedition (P.) Ltd. บริษัทให้บริการนักท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่สนใจtrekking ตามเส้นทางต่าง ๆ ทั้งในเนปาลเองหรือแม้แต่ในธิเบตและภูฐานด้วย



จริงอยู่ทริปนี้เรามีแพลนจะไป trekking แน่นอนแต่ไม่ได้คิดจะอาศัย agency คิดว่าจะจัดการด้วยตัวเองซึ่งจริง ๆ แล้วก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงแต่เพราะความกลัวว่าจะโดนหลอก เจ็บแล้วจำเราเลยพยายามปฏิเสธอาบังวัยรุ่นไปแต่มันก็ไม่ยอม ตื๊อไม่หยุด พยายามเดินหลบซอกนู้นซอกนี้หวังจะให้มันรำคาญจนเลิกตามจนตัวเองหลงทางเสียเอง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกกะว่าจะเดินตามแผนที่ที่เจ้าหน้าที่ Guesthouse เขียนไว้ให้ พอหลงทางแบบนี้ก็ชักเริ่มเซ็ง จะเอายังไงกันแน่ว่ะ เลยบอกไปว่าไม่เอาแล้ว You ไม่ต้องมาเดินตาม ชวนคุยอยู่ได้ เสียสมาธิดูแผนที่หมดแต่มันก็ไม่ยอม มันบอกว่าเย็นนี้มันจะไปรอเราที่ Guesthouse ตอน 5 โมงเย็น แล้วค่อยคุยกัน เอากะมันซิ เรารีบบอกปัดมันไป OK OK แต่ในใจนั้นกระหยิ่มอย่างผู้มีชัย หุหุหุ จ้างเราก็ไม่มาตามนัดหรอกใครจะยอมโง่ให้แขกเชือดอีกล่ะ ประสบการณ์ก็เจอแล้วเมื่อวาน คิดว่าเราจะโง่รึ ฝันไปเถอะ ได้ช่องทางหนีแล้ว หุหุหุ คิดว่ามันคงจะไม่ตามอีกแล้ว ก็เลยถือโอกาสหาผลประโยชน์จากมันเล็กน้อยถามทางเสียเลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว เราตั้งใจจะไปดูสถานที่ที่จะขึ้นรถที่จะไปโปขราสำหรับเช้าพรุ่งนี้น่ะอาบังวัยรุ่นก็พาเดินไป แต่ก็ไปไม่ถึงไหนหรอก แค่ชี้บอกทางแค่นั้น ซึ่งจริง ๆที่อาบังมันบอกก็ถูกแล้วหล่ะ มันใกล้ ๆ แค่นี้เอง แต่เราเซ่อเองในตอนนั้นสรุปเช้านั้นก็ไม่รู้ว่าจุดที่จะขึ้นรถพรุ่งนี้อยู่ที่ไหน เลยถอดใจไม่หาแล้วเสียเวลาเปล่า แล้วค่อยมาหาใหม่ตอนขากลับจากเที่ยว ไปปาตันก่อนดีกว่าว่าแล้วก็เริ่มเป้าหมายใหม่ หารถ local bus เพื่อจะไปปาตันดีกว่า


ตายห่ะ...เราหลงทางอีกแล้วว่ะเดินจนน่องโป่งก็ยังหาที่ขึ้นรถไม่เจอ เดินไปเจอสี่แยก ก็ไม่รู้จะตัดสินใจไปแยกซ้ายหรือขวาเดินจนเริ่มท้อ ถามคนโน้นคนนี้ไปตลอดเส้นทาง คนบอกก็ได้แต่ชี้โน่นนี่ เพราะมันไกลอ่ะนะ แต่สุดท้าย ก็เจอในที่สุด แต่กว่าจะเจอก็เล่นเอาหอบแฮ่ก นี่ถ้ามากับเพื่อนมีหวังโดนเฉ่งโทษฐานงกเกินเหตุจนทำให้ตูเหนื่อยขึ้นรถได้ก็พยายามทำเนียนเสมือนหนึ่งเป็นชาวเนปาลีเพื่อจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตาคนบนรถเท่าใดนัก คือกลัวจะโดนชาร์จค่ารถแพงกว่าปกติน่ะลักษณะรถเป็นรถตู้บุโรทั่งธรรมดา ๆ open air เพราะแอร์รถไม่ทำงานอากาศไม่หนาวมากนักจึงเปิดหน้าต่างรับฝุ่นรับลมกันเต็มที่ นั่งรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงปาตันแต่คนอย่างเรานี่เหรอจะรู้ว่าถึงแล้ว ก็ไม่เคยมานี่นานั่งหน้าปั้นเจ๋อทำตัวเหมือนคุ้นเคยกับเส้นทางและสถานที่ดี จนคนขับรถทนหมั่นไส้ไม่ไหวถึงแล้วเพ่ นี่แหละปาตัน อ๊าว!! แล้วเพิ่งมาบอกมิน่าคนอื่นเค้าลงเกือบหมดแล้ว เหลือแต่เราคนเดียว (เอากับผมซิครับ บ๊องได้โล่ห์)อ้องานนี้จ่ายค่ารถเพียง 15 รูปีเท่านั้น! อันนี้ถูกใจที่สุด ฮ่า ๆ ๆ ๆ


จุดหมายแรกของเมืองนี้ก็คือปาตัน ดูร์บาร์ สแควร์ ซึ่งก่อนจะเข้าชม จะต้องซื้อตั๋วก่อน สนนราคาตั๋วก็ 250 รูปีโดยเจ้าหน้าที่จะให้ตั๋วพร้อมกับแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมกับรายละเอียดความเป็นมาของสถานที่นั้นๆ ด้วย

ปาตัน หรือละลิตปูร์ เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงกาฐมัณฑุเป็นระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ประวัติของเมืองนี้มีความน่าสนใจไม่น้อยเพราะถือเป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในจำนวน 3 เมืองภายในบริเวณหุบเขากาฐมัณฑุเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ถือว่ามีความโดดเด่นในด้านงานศิลปกรรมสูงที่สุดในเนปาลก็ว่าได้ซึ่งชื่อละลิตปูร์นั้น ความหมายก็คือเมืองแห่งศิลปะ หรือ city of fine arts นั่นเอง ศิลปินผู้รังสรรค์งานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดในเนปาลส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นชาวเมืองปาตันแทบทั้งสิ้นว่ากันว่าในจำนวนจตุรัสทั้งสามในหุบเขากาฐมัณฑุ ถือว่า Patan Durbar Square เป็นจตุรัสที่มีความโดดเด่นและมีความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมและงานศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุดจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เมื่อ 2,250 ปีก่อนหน้านี้พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนชมพูทวีปได้เดินทางมาแสวงบุญในดินแดนอันเป็นสถานที่ประสูติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งนี้พระองค์ได้เสด็จมายังบริเวณหุบเขากาฐมัณฑุและได้ทรงสร้างสถูปขนาดใหญ่ไว้ตามมุมเมืองปาตันแห่งนี้ถึง 4 องค์เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งพุทธบูชาและหลังจากนั้นชาวเมืองที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาก็ได้ร่วมแรงกันสร้างสถูปน้อยใหญ่ทั่วเมืองปาตันแห่งนี้นับได้มากกว่า 1,200 องค์นั่นแสดงให้เห็นว่าศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในดินแดนแห่งนี้ก่อนที่จะค่อย ๆ เสื่อมสลายไปเนื่องจากศาสนาฮินดูเข้ามามีอิทธิพลเหนือกว่าในภายหลังอย่างไรก็ตามจากอนุสรณ์สถานมากมายดังที่กล่าวมา อนุสรณ์สถานที่ถือว่ามีความสำคัญที่สุดของเมืองปาตัน

แห่งนี้ก็คือ Patan Durbar Square สถานที่ซึ่งองค์การ UNESCO ได้ประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของเนปาลแห่งนี้นี่เอง

จตุรัสแห่งนี้จะมีลักษณะเป็นลานกว้างรายล้อมด้วยวิหาร หรือวัดฮินดูต่าง ๆ ที่มีรูปทรงของสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เมื่อครั้งอดีตสถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ออกว่างานราชการของกษัตริย์แห่งราชวงศ์มัลละแต่ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมในงานเทศกาลต่าง ๆเช่นพิธีบูชายัญเทพแห่งฮินดู โดยในพิธีกรรมจะมีการฆ่าสัตว์เพื่อสังเวยไม่ว่าจะเป็นควาย แพะ แกะ ไก่ ซึ่งพิธีการบูชายัญใหญ่ ๆ ส่วนมากจะกระทำกันในช่วงตุลาคมนี่เองแต่เรากลับไม่มีโอกาสได้เห็น สงสัยพิธีคงจะเสร็จสิ้นไปหลายวันแล้ว ซึ่งเราถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะไม่ใคร่ที่จะเห็นสัตว์โดนเชือดเห็นเลือดทีไรอาการหน้ามืดกำเริบแทบหมดแรงอยู่ร่ำไป


นอกจากวัดหรือวิหารฮินดูต่าง ๆ บริเวณ Durbar Square แล้ว สถานที่ที่ไม่ควรพลาดอีกแห่งก็คือวัดทองหรือ Golden Temple หรือภาษาเนปาลีเรียกชื่อวัดนี้ว่า ควาบาฮาล ซึ่งต้องเดินต่อไปทางทิศเหนือของจุตรัสแต่ไม่ไกลเท่าใดนัก แต่เราเองก็เดินหลงอยู่นานพอสมควรแต่สุดท้ายก็หาไม่เจอตามเคย งานนี้อาศัยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ขายตั๋วตลอดเพื่อถามทาง


สำหรับวัดทองเป็นวัดของศาสนาพุทธ ที่ถือว่าเก่าแก่และมีความสำคัญมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเนปาลสร้างขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 โดยกษัตริย์ Bhaskar Verma บริเวณวัดไม่ได้กว้างใหญ่มากนักแต่ภายในวัดประดับประดาไปด้วยงานปั้นงานแกะสลักโลหะอันวิจิตรงดงามฝีมือศิลปินชั้นครูตามสไตล์ศิลปะเนปาล จากยอดหลังคาวัด 3 ชั้น จะมีสายทองยาวทอดตัวลงมาแต่ไม่ถึงพื้นคล้าย ๆ ตุงบ้านเรา แต่สายทองที่นี่ว่ากันว่าเป็นทองคำล้วน ๆรอบทางเดินจะมีกงล้อภาวนาเรียงรายโดยรอบโดยกงล้อแต่ละอันจะมีคำจารึกจากพระไตรปิฏกไว้ด้วยว่ากันว่าการเดินหมุนกงล้อภาวณาในทิศวนขวาแบบทักษิณาวรรตครบหนึ่งรอบเท่ากับการได้นั่งสวดมนต์จบ 40,000 จบเลยทีเดียวนับเป็นวิธีการเข้าถึงพุทธศาสนาอันแยบยลของชาวพุทธเนปาลทิเบตโดยเฉพาะ


ถึงแม้บริเวณวัดจะคับแคบแต่ก็เสมือนมีอำนาจลึกลับภายในดึงรั้งเราให้วนเวียนอยู่ในบริเวณวัดได้นานโขเลยทีเดียวนั่นคงเป็นเพราะความน่าสนใจในจริยาวัตรของบรรดานักบวชอุบาสกอุบาสิกาผู้เลื่อมใสในศาสนา ความงดงามในศิลปะภายในวัด รวมถึงบรรยากาศอันน่าเลื่อมใสศรัทธาเสียงเพลงสวดมนต์ของธิเบตที่เปิดจากร้านขายของที่ระลึกด้านนอกวัดฝั่งประตูทางเข้าอีกด้านหนึ่งของวัด ยิ่งทำให้บรรยากาศดูสงบ เต็มไปด้วยมนต์ขลังเป็นอย่างยิ่งงานนี้เราเลยประเดิมของที่ระลึกชิ้นแรก เป็นซีดีเพลงสวดสไตล์ธิเบต ชื่ออัลบั้ม "Tibetan Incantations :The Meditative Sound of Buddhist Chants" (แปลเอาเองนะ)เป็นเพลงสวดที่ไพเราะมาก ๆ เนื้อบทสวดมีประโยคสั้น ๆ ว่า "โอม มณี ปัทเม ฮุม" แปลว่า "ขออัญเชิญพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอันล้ำค่าดั่งแก้วมณีมาสถิตย์อยู่ในดวงใจอันบริสุทธิ์ดั่งดอกบัวของเรา"เนื้อเพลงสั้น ๆ ร้องซ้ำท่อนเดิม ๆ ประกอบกับเสียงดนตรีสไตล์จีน-ธิเบต ประเภทขลุ่ยสั้นเสียงแหลม เสียงซอและปีปะ ซึ่งเป็นกีต้าร์ของจีนหนึ่งเพลงจบก็กินเวลาไปกว่ายี่สิบนาที แต่เพราะความไพเราะจับใจ จึงทำให้คนฟัง ๆแล้วรู้สึกเหมือนใกล้จะหลุดพ้นจากกิเลสวัฏสงสาร สู่ห้วงแห่งนิพพานจริง ๆกลับมาเมืองไทย เปิดเพลงสวดฟังแล้วทำให้นึกถึงเนปาลขึ้นมาจับใจเพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่มีร้านขายของที่ระลึกส่วนใหญ่ ก็จะเปิดเพลงนี้คลอเคล้ากับบรรยากาศสุขุม ลุ่มลึก เยือกเย็น สงบและสันติทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเสมือนหนึ่งเดินหลงอยู่ในดินแดนหิมพานต์ยังไงยังงั้นเลยทีเดียวหลายคนอาจคิดว่าเราเว่อร์ไปหรือเปล่า แต่เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ





Create Date : 13 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 12:38:47 น. 0 comments
Counter : 505 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2800697
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Simply is the best
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2800697's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.