ในที่สุดเราก็ได้ขึ้นรถเดินเบียดผู้คนขึ้นไปหาที่นั่ง สายตาผู้โดยสารทุกคู่จับจ้องมาที่เรา โอ้!!..แม่เจ้าทำอะไรไม่ถูกเลย ต้องพยายามหลบสายตาผู้คนไปหาที่นั่งที่เบาะท้ายรถซึ่งมีฝุ่นเกาะกรัง ผ้าบุที่นั่งก็ขาดวิ่น สภาพแย่กว่ารถเมล์แดงบ้านเราหลายเท่าพอตั้งสติได้ ก็หยิบหนังสือมาดูรายละเอียดสถานที่ที่จะไป ซึ่งก็คือวัด Pashupatinath ในใจก็คิดว่า "แล้วไอ้วัดนี้มันอยู่ตรงไหนหว่าตรูจะไปลงตรงไหนดีเนี่ย" มองซ้ายแลขวา ไม่มีคนนั่งข้าง ๆ เลย เอาว่ะคนข้างหน้านี่แหละ "Excuse me sir. Do you knowPashupatinath temple?" พี่แกดูตั้งใจฟังมากว่าเราพูดอะไรแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งคงเป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนที่โดยสารรถเมล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาเท่าไหร่ทำให้ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เอาไงดีหว่า นั่งรถเลยมาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้จะเดินไปถามคนอื่นก็ดูแต่ละคนน่ากลัวทั้งนั้นเลย เราเลยขอนั่งสงบสติอารมณ์ พลางพยายามมองข้างทางไปพลางเผื่อจะเห็นสัญลักษณ์หรือป้ายอะไรบอกบ้าง สักพัก หลังรถจอดรับส่งผู้โดยสาร ณ ป้ายแห่งหนึ่ง ก็มีเด็กนักเรียน ม.ปลาย คนหนึ่งขึ้นมา เอาหล่ะว่ะ!! นี่แหละเหยื่อรายต่อไป ปล่อยเวลาให้น้องเค้าตั้งตัวได้ซักครู่ เราจึงเริ่มปฏิบัติการถามทันทีโชคดีที่น้องเค้ากำลังจะเดินทางไปโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนของเค้าจะเลยวัด Pashupatinath ไปอีก กำลังจะอ้าปากพูด น้องเค้าก็อ่านความคิดออก "I'll let you know when the bus stop"
เฮ้อ!!! โล่งอก รอดตายจนได้นั่งคุยกันได้ซักพักก็ถึงที่หมาย เรากล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจช่วยเหลือของน้องคนนั้น จ่ายเงินค่ารถเมล์โดยยื่นให้เด็กเก็บตังก์ไป 20 รูปีคิดว่าจะได้ตังก์ทอน ไอ้เด็กเก็บตังก์มันคงนึกว่าเงิน 20 รูปีคงจิ๊บจ๊อยสำหรับนักท่องเที่ยว มันเลยไม่ทอนคืนซักรูปีเดียว เล่นแบบนี้เราเลยพูดอะไรไม่ออกจะเถียงเอาเศษเงินไม่กี่รูปีก็รู้สึกเกรงใจไอ้น้องนักเรียนที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเรางกใช้บริการรถโดยสารถูก ๆ ของประเทศเขาแล้วยังจะงกกะไอ้แค่เงินแค่นี้อีก เอาว่ะ 20 รูปีก็ 20 รูปี ยังไงก็ยังดีกว่าเสียค่าแท็กซี่หลายเท่า พยายามไม่ใส่ใจ เดินมุ่งหน้าสู่วัด Pashupatinath โดยเดาเอาว่ามันน่าจะเป็นถนนเส้นนี้แหละ...
สองข้างทางที่เดินผ่านเต็มไปด้วยอาคารรูปทรงโบราณที่ถูกแบ่งซอยเป็นห้อง ๆ สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของชาวฮินดูแต่ละครอบครัว ส่วนของชั้นล่างถูกดัดแปลงให้เป็นร้านขายของระลึกเรียงรายไปตลอดแนวได้ยินเสียงแว่วใสกังวานของเด็กน้อยกำลังพูดกับคุณตาแก่ ๆ อยู่ เราเลยพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้นเห็นเด็กน้อยหน้าตาคมเข้มน่ารักกำลังยืนพูดเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ เราไปแอบยืนเตรียมตั้งกล้องเก็บภาพกะรอให้เด็กน้อยคนนั้นหันหน้าออกมาจ๊ะเอ๋เมื่อไหร่จะกดชัตเตอร์ทันที แต่ยืนรอตั้งนานเด็กน้อยก็ไม่ยอมหันหน้ามาซะที จะตะโกนเรียกก็เกรงคุณตาจะตกใจ เดี๋ยวจะหาว่าเรากำลังจะลักพาตัวเด็กเลยทำท่าโบกไม้โบกมือเผื่อเด็กจะมองเห็นอะไรเคลื่อนไหวข้างหลังบ้าง ในที่สุดก็สำเร็จ เด็กน้อยหันหน้ามามองเราด้วยแววตาที่สงสัยระคนกลัว สงสัยคงจะคิดว่าเราเป็นคนสติไม่ดีกระมัง แต่ขณะที่เด็กกำลังสงสัยอยู่นั้น เราก็เก็บภาพน่ารัก ๆ ของเด็กน้อยไว้ในกล้องเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว |