The most powerful weapon is nothing but "LOVE"
เนปาล...มนต์หิมพานต์ยังตราตรึง ตอนที่ 26

ณ จุดชมวิวของวัดแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นกรุงกาฐมัณฑุในมุมสูงได้อย่างชัดเจน หากวันไหนที่ท้องฟ้าเป็นใจจะสามารถมองเห็นทิวเขาหิมาลัยที่โอบล้อมเมืองโบราณแห่งนี้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย แต่คงน้อยมากที่จะมีใครโชคดีขนาดนั้น อากาศเย็นสบาย แต่ลมค่อนข้างแรงไปหน่อยเสียงบทเพลงสวดรัดรึงโสตประสาท ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของขลุ่ยจีนผสานเสียงซอและกีต้าร์จีน ซึ่งความไพเราะของเพลงบทสวดนี้ดึงดูดถึงขนาดทำให้เรายอมควักเงินซื้อแผ่นซีดีที่เมืองปาตันไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังแล้ว ยิ่งได้ยินเสียงบทสวดดังกล่าวในสถานที่ที่สวยงามและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันสงบและงดงามเช่นนี้ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายเหมือนจะหลุดพ้นสู่ห้วงนิพพานและมันก็ทำให้เราตัดใจจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้สักที ต้องเดินวนเวียนอยู่ในบริเวณวัดรอบแล้วรอบเล่าทุกจุดทุกมุมล้วนแล้วแต่สวยงาม ร้านขายของที่ระลึกเต็มไปด้วยงานศิลปะ หัตถกรรมสร้อยกำไลที่ร้อยจากหินมีค่า ซีดีเพลงและภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเนปาล ทิเบตและหิมาลัยถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบงดงามดูผสานลงตัว ไม่ดูขัดเขินหรือขวางหูขวางตาแม้แต่น้อย เราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศอันวิเศษเช่นนี้ประหนึ่งว่าอยากจะเก็บทุกอณูความรู้สึกให้แทรกลึกลงในทุกเซลส่วนของร่างกาย เพื่อที่จะได้จดจำความรู้สึกเช่นนี้ไปตราบนานเท่านาน ด้วยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้อีกเมื่อไหร่ หรือนี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็สุดที่จะหยั่งรู้ ได้เวลาต้องไปที่อื่นแล้วหล่ะ จำต้องตัดใจเด็ดขาดเสียที...




คราวนี้เราใช้เส้นทางลงอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นลงสำหรับนักท่องเที่ยวปกติทั่วไปนั่นเอง และเราเพิ่งมารู้ตัวว่ามันต้องมีการซื้อบัตรเพื่อเข้าชมสถานที่แห่งนี้ด้วย เดินเที่ยวซะจนเต็มอิ่มแต่ที่ไหนได้ไม่ได้ซื้อบัตรค่าเข้าชม เนื่องจากเราหลงทางมา ไม่ได้ใช้เส้นทางที่คนอื่นเค้าใช้กัน ประมาณว่าสะเหร่อหรือเซ่อซ่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่ดันไปเจอทางขึ้นซึ่งเป็นเส้นทางที่ทางการไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้เนื่องจากไม่มีจุดขายบัตรเข้าชม แต่เพราะความไม่รู้ กอปรกับรูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่ใช่ฝรั่งดั้งขอเลยดูกลมกลืนไปกับผู้คนท้องถิ่น นั่นเองที่ทำให้เราได้เข้าชมโดยไม่ต้องจ่ายค่าบัตรเข้าชมซักรูปีเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว งานนี้เลยได้เที่ยวแบบฟรีๆ ไม่ต้องเสียตังก์...แบบนี้เรียกว่า สะเหร่อจนได้เรื่องรึป่าวก็ไม่รู้ซินะ

เดินอ้อมกลับมายังถนนใหญ่อีกครั้งพลางคิดว่าจะเดินทางไปไหนต่อดี และจะไปด้วยวิธีใด คำแนะนำจากนักศึกษาสาวตอนที่นั่งรถกลับจากโปขราบอกว่าหากต้องการประหยัดค่าเดินทางให้เลือกใช้บริการรถเมล์สาธารณะจะดีกว่า แต่ปัญหาของเราคือสถานที่ที่จะไปนั้นมันอยู่ตรงจุดไหนของกรุงกาฐมัณฑุกันแน่ขนาดนั่งรถเมล์ในกรุงเทพยังไม่เคยประสบผลสำเร็จเลย ไม่ลงก่อนถึงป้ายก็ต้องลงเลยป้ายอยู่ร่ำไป แล้วต่างที่ต่างเมืองเช่นนี้จะเหลือเหรอ ชักเกิดอาการหวั่น ๆ อยู่ลึก ๆ แต่เพราะคิดอยากจะทำอะไรที่นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เค้าไม่ทำกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง อีกทั้งต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางให้กับตัวเองด้วย เราจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของนักศึกษาสาวคนนั้น


แต่จะขึ้นรถฝั่งไหนดีหว่า ยืนเหรอหรา พยายามมองหาเหยื่อที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ พอดีไปเจอกับสองตำรวจจราจรซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางการจราจรที่เริ่มคับคั่งจอแจ แต่เพราะความสะเหร่อ หาได้สำนึกรู้ไม่ จึงเดินไปขัดจังหวะถามเอาดื้อ ๆ กลางถนน ลืมนึกไปว่าเค้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ส่งสัญญาณให้รถวิ่งผ่านไปมาอยู่ ตำรวจนายแรกที่เราเดินเข้าไปถามทำท่าหงุดหงิดเล็กน้อยตามมาด้วยอาการไม่สนใจ และทำงานต่อไป เราหน้าแตกเพราะความทะเล่อทะล่าของตัวเอง แต่ยังไม่รู้ตัวอีก เดินไปหาตำรวจจราจรอีกนาย ไม่รู้ว่าตำรวจนายนั้นจะรำคาญหรือเห็นใจก็ไม่ทราบ ผละจากหน้าที่ พาเราเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งบอกให้ยืนรอรถอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวรถก็มา แล้วเขาก็กลับไปทำงานของเขาต่อไป เราก็ยืนชะเง้อชะแง้ดูรถที่วิ่งผ่าน


รถผ่านมาแล้วก็ไป คันแล้วคันเล่า แต่ไม่รู้ว่าจะขึ้นรถคันไหนดี เพราะบนรถไม่มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษเลย พยายามตะโกนถามเด็กรถคันแล้วคันเล่า
Pashupatinath?! Pashupatinath?! เราตะโกนถามว่ารถจะไปวัดปศุปฏินาถหรือไม่ เด็กรถคันแล้วคันเล่าต่างก็ส่ายหน้าอย่างไม่ใยดี ผู้คนบนรถก็จ้องมองมาที่เราจนเราเกิดอาการประหม่า ท้อใจเหลือเกิน ฤา เราจะต้องยอมควักเงินเรียกแท็กซี่ซินะ แต่เพราะความอดทนอดกลั้น ด้านได้อายอดเรายังคงทู่ซี้ดันทุรังสอบถามรถคันแล้วคันเล่าต่อไป


จนในที่สุดตำรวจจราจรคนเดิมที่พาเราข้ามถนนมาหันมาเจอเรายังไม่ได้ขึ้นรถเสียที ทั้ง ๆ ที่รถก็ผ่านไปคันแล้วคันเล่า เขาจึงเดินข้ามถนนมาช่วยเรียกรถตอนแรกเด็กเก็บกระเป๋าจะไม่ให้ขึ้น เพราะเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวน่าจะมีเงินจ่ายค่าแท็กซี่ให้ไปส่งได้จนตำรวจจราจรคนดังกล่าวพูดแกมบังคับกับเด็กกระเป๋ารถเมล์


ในที่สุดเราก็ได้ขึ้นรถเดินเบียดผู้คนขึ้นไปหาที่นั่ง สายตาผู้โดยสารทุกคู่จับจ้องมาที่เรา โอ้!!..แม่เจ้าทำอะไรไม่ถูกเลย ต้องพยายามหลบสายตาผู้คนไปหาที่นั่งที่เบาะท้ายรถซึ่งมีฝุ่นเกาะกรัง ผ้าบุที่นั่งก็ขาดวิ่น สภาพแย่กว่ารถเมล์แดงบ้านเราหลายเท่าพอตั้งสติได้ ก็หยิบหนังสือมาดูรายละเอียดสถานที่ที่จะไป ซึ่งก็คือวัด Pashupatinath ในใจก็คิดว่า "แล้วไอ้วัดนี้มันอยู่ตรงไหนหว่าตรูจะไปลงตรงไหนดีเนี่ย" มองซ้ายแลขวา ไม่มีคนนั่งข้าง ๆ เลย เอาว่ะคนข้างหน้านี่แหละ "Excuse me sir. Do you knowPashupatinath temple?" พี่แกดูตั้งใจฟังมากว่าเราพูดอะไรแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งคงเป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนที่โดยสารรถเมล์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาเท่าไหร่ทำให้ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เอาไงดีหว่า นั่งรถเลยมาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้จะเดินไปถามคนอื่นก็ดูแต่ละคนน่ากลัวทั้งนั้นเลย เราเลยขอนั่งสงบสติอารมณ์ พลางพยายามมองข้างทางไปพลางเผื่อจะเห็นสัญลักษณ์หรือป้ายอะไรบอกบ้าง สักพัก หลังรถจอดรับส่งผู้โดยสาร ณ ป้ายแห่งหนึ่ง ก็มีเด็กนักเรียน ม.ปลาย คนหนึ่งขึ้นมา เอาหล่ะว่ะ!! นี่แหละเหยื่อรายต่อไป ปล่อยเวลาให้น้องเค้าตั้งตัวได้ซักครู่ เราจึงเริ่มปฏิบัติการถามทันทีโชคดีที่น้องเค้ากำลังจะเดินทางไปโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนของเค้าจะเลยวัด Pashupatinath ไปอีก กำลังจะอ้าปากพูด น้องเค้าก็อ่านความคิดออก "I'll let you know when the bus stop"


เฮ้อ!!! โล่งอก รอดตายจนได้นั่งคุยกันได้ซักพักก็ถึงที่หมาย เรากล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจช่วยเหลือของน้องคนนั้น จ่ายเงินค่ารถเมล์โดยยื่นให้เด็กเก็บตังก์ไป 20 รูปีคิดว่าจะได้ตังก์ทอน ไอ้เด็กเก็บตังก์มันคงนึกว่าเงิน 20 รูปีคงจิ๊บจ๊อยสำหรับนักท่องเที่ยว มันเลยไม่ทอนคืนซักรูปีเดียว เล่นแบบนี้เราเลยพูดอะไรไม่ออกจะเถียงเอาเศษเงินไม่กี่รูปีก็รู้สึกเกรงใจไอ้น้องนักเรียนที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเรางกใช้บริการรถโดยสารถูก ๆ ของประเทศเขาแล้วยังจะงกกะไอ้แค่เงินแค่นี้อีก เอาว่ะ 20 รูปีก็ 20 รูปี ยังไงก็ยังดีกว่าเสียค่าแท็กซี่หลายเท่า พยายามไม่ใส่ใจ เดินมุ่งหน้าสู่วัด Pashupatinath โดยเดาเอาว่ามันน่าจะเป็นถนนเส้นนี้แหละ...


สองข้างทางที่เดินผ่านเต็มไปด้วยอาคารรูปทรงโบราณที่ถูกแบ่งซอยเป็นห้อง ๆ สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของชาวฮินดูแต่ละครอบครัว ส่วนของชั้นล่างถูกดัดแปลงให้เป็นร้านขายของระลึกเรียงรายไปตลอดแนวได้ยินเสียงแว่วใสกังวานของเด็กน้อยกำลังพูดกับคุณตาแก่ ๆ อยู่ เราเลยพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้นเห็นเด็กน้อยหน้าตาคมเข้มน่ารักกำลังยืนพูดเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ เราไปแอบยืนเตรียมตั้งกล้องเก็บภาพกะรอให้เด็กน้อยคนนั้นหันหน้าออกมาจ๊ะเอ๋เมื่อไหร่จะกดชัตเตอร์ทันที แต่ยืนรอตั้งนานเด็กน้อยก็ไม่ยอมหันหน้ามาซะที จะตะโกนเรียกก็เกรงคุณตาจะตกใจ เดี๋ยวจะหาว่าเรากำลังจะลักพาตัวเด็กเลยทำท่าโบกไม้โบกมือเผื่อเด็กจะมองเห็นอะไรเคลื่อนไหวข้างหลังบ้าง ในที่สุดก็สำเร็จ เด็กน้อยหันหน้ามามองเราด้วยแววตาที่สงสัยระคนกลัว สงสัยคงจะคิดว่าเราเป็นคนสติไม่ดีกระมัง แต่ขณะที่เด็กกำลังสงสัยอยู่นั้น เราก็เก็บภาพน่ารัก ๆ ของเด็กน้อยไว้ในกล้องเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว


ในที่สุดเราก็เดินมาถึงทางเข้าวัด ซึ่งภูมิทัศน์โดยรอบดูสวยงามตามสไตล์สถาปัตยกรรมเนปาลถือเป็นสถานที่ไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดอีกที่หนึ่งเลยทีเดียว วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของกรุงกาฐมัณฑุไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติตรีภูวันซักเท่าไหร่ จากวัดแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยเท้าเพื่อไปยังมหาสถูป Bodhanath ใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาที


วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดฮินดูที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญมากที่สุดของชาวเนปาล ชาวฮินดูเชื่อว่าพระศิวะเจ้า หรือพระอิศวร ถือประสูติที่นี่ และความสำคัญของวัดแห่งนี้อีกประการหนึ่งก็คือเป็นวัดที่พระราชวงศ์ของกษัตริย์เนปาลทรงมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชพิธีพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินีและพระบรมวงศานุวงศ์ก็ล้วนแต่จัดพิธีขึ้นที่นี่แทบทั้งสิ้น ล่าสุดได้มีการพระราชพิธีพระบรมศพของกษัติรย์เนปาลคือองค์พิเรนทราและพระราชินีไอศวรรย์พร้อมด้วยพระประยูรญาติ ซึ่งถูกปลงพระชนม์ลงพร้อมกันโดยฝีมือพระราชโอรสองค์โตคือกษัตริย์ทิพเพนทรา ซึ่งถือเป็นข่าวใหญ่ที่ช็อคคนทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2544 การกระทำการปิตุฆาตและมาตุฆาตนั้นถือเป็นบาปอันใหญ่หลวงโดยเฉพาะตามความเชื่อของชาวพุทธและฮินดู นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดแก่ชาวเนปาลทั้งประเทศ สุดท้ายผลจากการกระทำบาปอันยิ่งใหญ่ครั้งนั้นทำให้กษัตริย์ทิพเพนทรารู้สึกผิดมหันต์ หลังจากที่ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาแล้ว ด้วยความที่สำนึกถึงบาปที่ได้ทรงกระทำไว้จึงทำให้พระองค์พยายามปลิดพระชนม์ชีพของพระองค์เองโดยการใช้ปืนจ่อยิงที่ศรีษะ แต่พระองค์ไม่ได้เสียชีวิตในทันที คณะแพทย์ต้องพยายามยื้อชีวิตถึง 3 วันจนในที่สุดพระองค์ก็เสด็จสวรรคตชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้ เรื่องราวของพระราชวงศ์ของประเทศเนปาลซับซ้อนซ่อนเงื่อนและมีปัญหาหมักหมมมาตลอดระยะเวลายาวนาน ปัจจุบันเนปาลยกเลิกระบบกษัตริย์แล้วโดยสิ้นเชิง เชื้อพระวงศ์ถูกปลดยศฐาบรรดาศักดิ์เทียบเท่าสามัญชนธรรมดา เชื้อพระวงศ์บางคนระหกระเหินหนีไปอยู่ต่างแดน


ปัจจุบันเนปาลปกครองด้วยระบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ เราก็เพิ่งทราบจาก Krisna ลูกหาบที่โปขราว่าเนปาลล้มเลิกระบบกษัตริย์ไปเมื่อหกเดือนที่แล้วก่อนที่เราจะเดินทางมานี่เอง ดูท่าทางประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะพอใจไม่น้อยกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะก่อนหน้านี้อำนาจการเมืองส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์


















ซึ่งมีปัญหาการคอรัปชั่นฉ้อราชย์บังหลวงกันกว้างขวาง อันส่งผลให้การพัฒนาประเทศไม่พัฒนาไปตามแนวทางที่ควรจะเป็น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่อัตคัตขัดสน จนทำให้ประชาชนบางกลุ่มเกิดความรู้สึกต่อต้านและพยายามที่จะล้มล้างระบบการเมืองอันไม่เป็นธรรมกับประชาชนนี้ โดยกลุ่มต่อต้านนี้เรียกตัวเองว่ากลุ่มนิยมลัทธิเหมา ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะมาเนปาลก็เคยอ่านเจอในคู่มือท่องเที่ยวเหมือนกันว่านักท่องเที่ยวอาจจะโดนขูดรีดจากคนกลุ่มนี้เนื่องจากกลุ่มนิยมลัทธิเหมาต้องการเงินสำหรับสนับสนุนการขับเคลื่อนกิจการของกลุ่ม นักท่องเที่ยวจึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง การโดนขูดรีดของนักท่องเที่ยวจึงมีให้เห็นเกลื่อนกลาด แต่โชคดีที่เหตุการณ์ทุกอย่างมันสิ้นสุดลงก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงตั้งแต่หกเดือนที่แล้ว ทำให้การเดินทางครั้งนี้แทบไม่มีอุปสรรคเลยปัจจุบันชาวเนปาลส่วนใหญ่ค่อนข้างพอใจมากกับรูปแบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยมีผู้นำที่เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนิยมลัทธิเหมาเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งทุกคนเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการพัฒนาประเทศนับจากนี้จะมีประสิทธิภาพและแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมาแต่ในอดีตอย่างแน่นอน


จากข้อมูลที่ค้นเจอในหนังสือกล่าวถึงความหมายของ Pashupatinath ซึ่งเป็นชื่อวัดแห่งนี้ว่า "สัตว์โลกผู้ชายที่ยิ่งใหญ่" ในที่นี้น่าจะหมายถึงองค์ศิวะเทพ แต่ในความคิดส่วนตัวองค์พระศิวะท่านเป็นเทพ ไม่ใช่สัตว์โลกอย่างเรา ๆ จึงทำให้รู้สึกสงสัยกับความหมายที่แท้จริงของที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ไม่น้อย


เนื่องจากเป็นครั้งแรกในการมาสถานที่แห่งนี้ทำให้ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน เราสังเกตซุ้มประตูทางเข้าสถานที่แห่งหนึ่งมีประชาชนชาวฮินดูเดินเข้าออกไม่ขาดระยะ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราเดินไปถอดรองเท้าซึ่งมีที่วางอยู่บริเวณทางเข้าสอบถามชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวนั้นว่านักท่องเที่ยวเข้าไปได้หรือไม่ ได้รับคำตอบด้วยการพยักหน้าหงึก ๆกึ่งส่ายหน้านิด ๆ เราเคยศึกษาในคู่มือว่าหากแขกส่ายหน้านั่นหมายถึง "ตกลง" "โอเค" หรือ"ใช่" แต่อาการกึ่ง ๆ แบบนี้ทำเอางงอึ้งกิมกี่เลยนึกเข้าข้างตัวเองไปว่า เค้าคงอนุญาตมั้ง!!!


รู้สึกตะหงิด ๆ คัดค้านกับความรู้สึกถึงสถานการณ์ภายในหากเรายังดึงดันจะเข้าไป แต่เพราะเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมาก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา จึงตัดสินใจที่จะเข้าไป ณ บัดนั้น...





Create Date : 12 ธันวาคม 2558
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 12:25:42 น. 0 comments
Counter : 360 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2800697
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Simply is the best
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 2800697's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.