☀❤❤❤<<<-+-ถนนสายนี้มี ตะพาบ-+-กิโลเมตรที่ 62-+- ภาพถ่ายเล่าเรื่อง-+-วันที่ แม่ ฉัน ป่วย-+->>>❤❤❤☀
โจทย์นี้ก็ไม่ยากครับ ขอภาพซักภาพ เอาที่ชอบ หรือมีความหลังมีเรื่องมีราวกับมัน แล้วก็เป็นเรื่องที่เราอยากจะเล่า แล้วเราก็เล่าเรื่องนั้นให้เป็นเรื่องเป็นราวจะเป็นภาพที่เอามาจากที่อื่นก็ได้แต่ว่า ถ้าถ่ายเอง หรือเป็นภาพถ่ายประจำตระกูล อะไรงี้ จะดีที่สุดภาพถ่ายอาม่าตอนอพยพมาจากเมืองจีน มาสร้างโรงสีข้าวที่ทุ่งบางเขนอะไรทำนองนั้นเป็ดสวรรค์ กลับมาพบกันอีกครั้งกับตะพาบตัวที่ 2 ของ น้องใหม่ค่ะ อิอิ กระดื๊บๆเตาะ แตะ ต่วมเตี้ยม ตาม พี่ๆ กันมาติดๆ บนถนนสายนี้ เอนทรี่นี้เหมือนจะตื้อๆ กับความคิดค่ะ โจทย์ไม่ยาก แต่... มีหลายเรื่องอยากเขียนน่ะสิเลือกยาก เหลือเกิน เวลาล่วงเลยจน มาถึงวันสุดท้าย ลงมือปั่นกันสดๆจากความคิดอีกครั้ง ฮ่าๆๆๆ ยังคงอยู่ในเดือนแห่งเทศกาล วันแม่ เลยเลือกเรื่องเกี่ยวกับ แม่ มาเขียนค่ะ เนื้อหางานเขียนครั้งนี้อาจยาวมาก หากมีเวลาก็ลองอ่านดู เป็นประสบการณ์จริงของตัวเองค่ะ ************************ ภาพถ่ายเล่าเรื่อง
วันที่ แม่ ฉัน ป่วย ภาพถ่ายทั้งหมดจากกล้องโทรศัพท์มือถือโนเกีย 5230 เครื่องเก่า
ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2553 เวลา 6.33 น. หน้าโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา หรือปัจจุบันคือ โรงพยาบาลพุทธโสธร
เมื่อวันที่ แม่ ฉัน ป่วย เพียงแค่รู้ว่า แม่ต้องเพชิญกับโรคร้าย จิตใจของลูกคนนี้ มันหล่นลงไปอยู่กับพื้น เลยก็ว่าได้ นั่นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกแรกที่ได้รับรู้ สภาพทางจิตใจ ในตอนนั้น ไม่ต่างอะไรกับลูกโป่งที่พองตัวลอยอยู่
ถูกทิ่มด้วยเข็มให้แตกแฟ่บหล่นร่วงลงมา แต่ยังคงเข้มแข็ง น้ำตาซึมอยู่ข้างใน ไม่หลั่งไหลออกมาให้แม่ได้เห็น
ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2553 เวลา 6.33 น
เพราะอะไร เพราะไม่อยากให้ แม่ ต้องคิดมากไปกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง ณ ตอนนั้นมีเพียงคำพูดปลอบประโลมใจ
ให้กำลังใจ แม่ ได้เท่านั้น แม่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ โรคนี้มีคนหายมาเยอะแล้วนะ แม่เพื่อนที่ทำงานเค้าก็หาย
สีหน้าของ แม่ รับรู้ได้ว่า แม่ คิดมาก กังวล เครียด พาให้เรา มีอาการเช่นเดียวกันกับแม่
ปี 2553 ช่วง เดือน กันยายน เป็นช่วงเวลาแห่งชีวิตที่ เรียกว่า ทุกข์ใจที่สุด
หลายเรื่องรุมเร้า แต่ที่หนักสุด คือเรื่องนี้ ที่สุดของชีวิตแล้ว แต่ละวันของการทำงาน ไม่เป็นอันทำงานจิตใจไปอยู่กับเรื่องนี้ตลอดเวลา
นั่งหาแต่ข้อมูล ยา สถานที่ วิธีการรักษา อาการในขั้นต่างๆของโรค
เรียกว่าตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าแม่ น่าจะเป็นโรคนี้เพราะผลตรวจยังไม่ออกมาอย่างแน่ชัด เมื่อได้รู้ผลตรวจอย่างชัดเจนแล้วว่า แม่ ป่วยเป็น มะเร็งเต้านม ต้องทำการผ่าตัด หมอนัดวันเข้าทำการรักษา
ก่อนหน้าเข้ารับการรักษาผ่าตัด เราได้ไปหา ยา หาหมอ ปรึกษา เพื่อน ผู้คน
ทุกคนที่รู้จักและที่เคยเพชิญกับโรคนี้มาก่อน เพื่อเป็นแนวทางการรักษา
เราไม่อายที่จะบอกใครว่าแม่เป็นโรคมะเร็ง แม่เองก็ไม่อายใครเช่นกัน เพราะคนส่วนใหญ่กลัวเรื่องการซุบซิบนินทาว่าร้าย เช่น ทั่วๆ ไปที่ชอบพูดกันว่า
"ตายแน่ ไม่รอดหรอก เป็นโรคนี้ยังไงก็ตายสั่งตายได้เลย" และก็ได้ผลดีขึ้นก่อนการผ่าตัด
ตามที่เคยเขียนไว้ในบล็อก บล็อกหมายเลข ๒ ผักกะสังช่วยแม่ แต่ก็ต้องไปรักษา ตามหมอนัดผ่าตัดออกไป
ก่อนถึงวันนัดผ่าตัดแม่ไปนอนรอเตรียมตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก่อนแล้ว 1 คืน หมอบอกว่ามาก่อนได้จะดีเพื่อเตรียมพร้อม เราไม่ได้ไปกับแม่ เพราะต้องทำงานเพียงแต่ตอนเช้า ขับรถไปส่งแม่ ที่โรงพยาบาล และกลับมาเตรียมของไปเฝ้าไข้ ทุกอย่าง เสื้อ ผ้า อุปกรณ์ในการใช้ชีวิตประจำวันถูกแพ็คลงในเป้ ใบโต 1 ใบ พร้อมออกเดินทางแต่เช้า
วันที่ 20 ตุลาคม 2553 ถึงวันเข้ารับการผ่าตัดรักษา ความเครียดยิ่งมากขึ้น คิดมากกว่าเดิม
คิดไปไกลเกิน ว่า หากวันหน้าไม่มีแม่ เราจะอยู่อย่างไร การผ่าตัด ใช้เวลาหลายชั่วโมงมาก ที่จำได้ประมาณ 4 ชั่วโมง แต่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก
และนานมากไปไหม นั่นคือคำถามที่คิดอยู่ในใจตลอดเวลาพร้อมสายตา ที่จับจ้องมองประตูห้องผ่าตัด อย่างไม่คลาดสายตา และแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ภาพแรกที่เห็น บุรุษพยาบาลเข็นเตียง ที่แม่ นอนออกมาจากห้องผ่าตัด แม่ ยังคงสลบอยู่
มีสายยางสองเส้นสีแดงเพราะเลือดที่กำลังไหลผ่านลงไปยังขวดที่แขวนอยู่กับขอบเตียง กระปุกเลือด 2 ขวด สายขวดน้ำเกลืออีก 1 ขวด น้ำตาเหมือนจะรินไหล แต่ก็กลั้นไว้ได้ เรายังคงเดินตามชิดขอบเตียงไปจนถึง ตึกพักฟื้นผู้ป่วย
ภาพถ่ายเมื่อ วันที่ 20 ตุลาคม 2553 เวลา 14.59 น.
บุรุษพยาบาลทำการจัดเตียงใหม่ พร้อมพยาบาลมาช่วยกันย้ายแม่ ขึ้นเตียงผู้ป่วยที่ตึกพักฟื้น แม่ เริ่มรู้สึกตัว แต่ยังคงมีฤทธิ์ยาสลบหลงเหลืออยู่สายตาลอย และเบลอๆ ยังพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง พร้อมสีหน้าซีดเซียว มือซีด ปากซีด บ่งบอกถึงความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวทำให้ใจดวงนี้ปวดร้าวตามไปด้วย
ภาพถ่ายเมื่อ วันที่ 20 ตุลาคม 2553 เวลา 14.59 น.
สิ่งแรกที่แม่ ขอ มันช่างเหมือนในละครเสียจริงๆ แม่ ขอน้ำดื่ม โชคดีตรงที่ลูกคนนี้ ได้เตรียมการซื้อมาไว้พร้อมแล้ว แม่ บอกว่า มึน และ งง เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้ แม่ก็เอาผ้าที่ชุบน้ำมาปิดหน้าไว้ อาการก็ดีขึ้นมาตามลำดับ
ตึกคนไข้ที่แม่อยู่ พักฟื้นนั้นไม่ได้เป็นห้องพิเศษอะไร เป็นเพียงตึกของผู้ป่วยบัตรประกันสุขภาพเท่านั้น เตียงเหล็ก เก่าๆ ปูด้วยผ้าปูตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาล คลุมแผ่นยางอีกที
สภาพผ่านการใช้งานมาหลายปีมาก ซึ่งคุ้นตา เพราะเคยมาเยี่ยมคนป่วยอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่ว่าลูกคนนี้ไม่มีปัญญาหาห้องพักฟื้นพิเศษดีๆ ให้แม่ หรอกนะ เพียงแต่ว่า เป็นคำขอร้องของแม่ เอง แม่ บอกว่า ไม่ต้องจองห้องพิเศษ ให้ แม่ไม่ชอบอยู่ในห้องคนเดียว อยู่รวมๆ กันหลายคน สนุกดี
เวลาเราไม่อยู่หรือเดินไปเอายา หาซื้อของ จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว และแม่ก็ได้เพื่อนคุยได้เพื่อนเพิ่มมาหลายคน แลกเบอร์โทรกันไว้ด้วย
ตกกลางคืน เราก็นอนใต้เตียงแม่ โดยเอาเสื่อปูแล้วก็นอนกับพื้นนั่นแหละ ลำบากไหม ก็นิดหน่อย ไม่มีปัญหา ก็หลับได้ สบายดี สอง ทุ่ม เริ่มปิดไฟพยาบาลให้ คนไข้ได้พักผ่อน นอนหลับ เราเองก็ หลับๆ ตื่นๆ เพราะ เป็นห่วงแม่ ระแวงว่าแม่จะไปห้องน้ำหรือเปล่า หรือต้องการอะไรหรือไม่ ตื่นตี 3 ตลอดทุกวันที่อยู่ ถามว่า ง่วงไหม ล้าไหม เหนื่อยไหมก็ตอบได้เลยว่า ร่างกายน่ะ เหนื่อยล้า แต่ใจ มันไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เต็มใจที่จะทำ ภาพนี้ หลังจาการผ่าตัดผ่านไป เข้าสู่วันที่ 6 วันที่ 25 ตุลาคม 2553 เวลา 6.57 น.
ทุกเช้า จะมีพระเดินมาบิณฑบาตรให้คนไข้ได้ใส่บาตรกันถึงเตียงแม่ ใส่บาตรทุกวัน
โดยที่เราจะไปซื้อข้าวกับแกงถุง ขนมสด ผลไม้ ในร้านสหกรณ์ บางวันจะมีแม่ค้า
หอบหิ้ว ข้าว แกง ขนม จัดเป็นชุดมาขาย ให้พร้อมใส่บาตร
ช่วงที่แม่ พักฟื้นตรงกับวันปิยะมหาราช พอดีทางโรงพยาบาลได้จัดทำบุญตักบาตรอาหารแห้ง
เราก็ได้เข้าร่วมด้วยอีกเช่นกัน จัดการไปซื้อของแห้งมาแพ็ค ที่จำได้ ไม่มีอะไรมาก
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนม นม รวมๆ5 อย่าง ใส่ถุงซิป จัดเป็นชุดด้วยฝีมือเราเอง พอรุ่งเช้าเราก็พากันเดินไปอีกตึกที่จัดงาน เพื่อใส่บาตรและทำบุญกัน
การเดินของแม่ ไม่ค่อยจะสะดวกนัก เพราะ มีภาระ คือ ขวดใส่ เลือดและน้ำเหลือง 2 ขวด
กับขวดน้ำเกลืออีก 1 ขวด ที่ติดตัวตลอดเวลา แม้กลับบ้านแล้วก็ยังต้องติดเจ้าขวดเลือด 2 ขวดนี้
ไปตลอดจนกว่าแผลจะหาย และหมอจะสั่งให้เอาออก
ช่วงเวลาที่แม่ อยู่โรงพยาบาลก็นานพอดู 7 วันที่เราได้เฝ้าไข้ แม่อยู่พักฟื้นทั้งหมด 10 วัน
จริงๆก็อยากอยู่เฝ้าจนแม่ ออกจากโรงพยาบาล แต่แม่ บอกว่า
แม่อยู่ได้แล้ว ไม่มีปัญหา อีก 3 วัน หลังเลิกงานเราจะรีบไปหาทุกวัน จะกลับบ้านก็ต่อเมื่อหมดเวลาเยี่ยมไข้
สำหรับการดูแลเฝ้าไข้ในความรู้สึกกับสิ่งที่ได้ทำนั้นมันช่างเหมือนตอนแม่ดูแลเราตอนเด็กๆ เราได้ป้อนน้ำให้ ป้อนยาให้ เช็ดตัวให้ เหมือนทุกอย่างที่แม่เคยทำให้เรา แม่ดูมีความสุข แต่อาจขัดเขินเล็กน้อยเราหัวเราะและยิ้มให้กันเราพูดกับแม่ว่า แม่ ป้อนข้าวให้นะ ไม่ต้องเขินหรอก แม่ก็ขำ แล้วยิ้ม อืม ก็ได้ เอาคำเล็กๆหน่อยนะ เพราะความเคยชินที่เราคุยกันทุกวัน อย่างสนิทสนม พยาบาลถามว่า แม่กับลูกหรือพี่สาวกับน้องสาวกันแน่ คุยกันราวกับเป็นเพื่อนกัน ก็สนุกดี พยาบาลก็ใจดีแวะมาคุยด้วยตลอด หลังจากการผ่าตัดจบลงการรักษาต่อก็ เป็นไปตาขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมปกติ
เราพาแม่ไปรักษาต่อที่ศูนย์มะเร็งชลบุรี เข้ารับเคมีบำบัด กินยาสมุนไพรควบคู่ นั่งสมาธิ ไปวิปัสสนา เรียกว่าทำทุกอย่างที่ใครๆ ว่าดี และด้วยกำลังใจนั่นเอง กำลังใจที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น ทุกอย่างจึงเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ แม่ หาย เป็นปรกติ ผลตรวจ ไม่มีเชื้อแล้ว แต่ก็ทำงานหนักไม่ได้ เราจึงต้องช่วยแม่ ทุกอย่างที่แม่ทำเท่าที่จะพอมีเวลา
ภาพสุดท้าย จากบล็อกเดิม ถ่ายเมื่อวันแม่ที่ผ่านมา เมนูวันแม่
และก็ยังอยากให้แวะไปอ่านบล็อกเดิมอีกบล็อกที่ซึ้งใจกับความรู้สึกนี้ค่ะ จะกอดแม่อีกครั้ง
หากใครที่ยังไม่ได้ฟังเพลง ค่าน้ำนม ที่ สา ร้องเอาไว้ก็แวะเข้าไปฟังกันได้ค่ะ ตั้งใจทำเพื่อแม่ คนที่รักเรา ที่สุดในโลก
ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ ก็ยังคงมีความสุข บนความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้เสมอ แค่ภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพ เมื่อเวลาผ่านไปย้อนกลับมาดูครั้งใดก็สามารถเล่าเรื่องได้ยาวเสมอ สำหรับตัวเองแล้ว ความกตัญญูรู้คุณ พ่อ แม่ เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเรามีความสุขและไม่ว่าจะทำการใดๆ จะสำเร็จได้ด้วยดีเสมอ ขอให้ทุกคนรักและกตัญญูรู้คุณท่านเอาไว้มากๆ นะคะ
++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชมกันค่ะทักทายกันได้สบายๆ ยินดีต้อนรับนะคะมีความสุขที่ได้แบ่งปันค่ะ
Create Date : 17 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 17 สิงหาคม 2555 2:14:12 น. |
|
88 comments
|
Counter : 4184 Pageviews. |
|
|