ภัยความมั่นคงอีกรูปแบบหนึ่งของประชาคมอาเซียนที่ รศ.ดร.สุเนตรกล่าวถึงคือ การขยายอำนาจของประเทศมหาอำนาจต่างๆเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
เนื่องจากอาเซียนในปัจจุบันเกิดช่องว่างทางอำนาจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยสังเกตุได้จากการที่ไม่มีประเทศมหาอำนาจใดสามารถสั่งการอาเซียนได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทำให้มหาอำนาจพยายามใช้อำนาจในรูปแบบต่างๆ
เช่น ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจเทคโนโลยี ความรู้ซึ่งถือเป็นอำนาจเชิงอ่อนโยน (Soft Power) หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างไม่ขาดสาย ทั้งจาก จีน สหรัฐฯ รัสเซีย อินเดียและสหภาพยุโรป
รวมถึงการขยายตัวคืบคลานเข้ามาทางด้านการทหารในรูปของการฝึกร่วม การค้าอาวุธ การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ต่างๆ ทั้งในรูปแบบการให้เปล่า และรูปแบบเงินกู้ระยะยาว จนทำให้เกิดการถ่วงดุลย์ทางอำนาจของมหาอำนาจในอาเซียนอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในพม่า เมื่อนางฮิลลารี่คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนพม่าเมื่อปี พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา
ตามด้วยผู้นำระดับสูงของอังกฤษและเกาหลีใต้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งกรณีสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในพม่าจะไม่เป็นอุปสรรคด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกต่อไป อีกทั้งพม่าจะไม่ถูกผลักให้ออกจากสังคมโลก แต่จะค่อยๆถูกดึงกลับเข้ามาอย่างช้าๆ บนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน
ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังขยายวงอำนาจเข้าสู่ประเทศพม่าและเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นคู่สงครามและความขัดแย้งในอดีต เพื่อหาทางถ่วงดุลย์อำนาจกับชาติตะวันตก ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ว่ามหาอำนาจจะเข้ามาอย่างไร
แต่อยู่ที่ว่าประชาคมอาเซียนจะวางตัวอย่างไร ในเมื่อปัจจุบันอาเซียนเองก็ยังมีปัญหากับมหาอำนาจดังกล่าวอยู่ไม่น้อย เช่น ปัญหาข้อพิพาทในหมู่เกาะทะเลจีนใต้ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน ที่นับวันจะหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน หรือปัญหาการเดินเรือในลำน้ำโขงเป็นต้น
ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่กองทัพกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน จะต้องเตรียมการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหากใช้รูปแบบของกองทัพ "อียู" ในสหภาพยุโรปเป็นแบบแผนแล้ว
จะเห็นได้ว่าเมื่อการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนเกิดขึ้น กองทัพจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ความขัดแย้งทางทหารบริเวณแนวชายแดนจะลดลง หรือหากจะเกิดขึ้นก็จะถูกจำกัดขอบเขตให้เป็นความขัดแย้งในระดับพื้นที่
กำลังทหารของอาเซียนจะถูกนำมาใช้เสมือนกองกำลังเฉพาะกิจในการจัดการปัญหาภายในอาเซียนเอง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนของประเทศสมาชิก ปัญหาโจรสลัดในช่องแคบมะละกา ปัญหาการก่อการร้าย หรือปัญหาด้านสาธารณภัย ทั้งภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ และภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติ ตลอดจนภารกิจทางทหารอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการสงครามหรือ MOOTW (Military Operations Other Than War)
นอกจากนี้ กำลังทหารของอาเซียนจะถูกนำไปใช้ในการจัดการด้านความมั่นคงนอกภูมิภาค ที่มีผลประโยชน์ของอาเซียนทับซ้อนอยู่เช่น ภารกิจการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบของสหประชาชาติ หรืออาจเป็นกรอบของอาเซียนเองในอนาคต รวมไปถึงภารกิจการปราบปรามโจรสลัดในโซมาเลีย เป็นต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าบทบาทกองทัพของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน จะถูกทำให้เปลี่ยนไปไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม กองทัพจะถูกทำให้มีความเป็น "สากล" หรือที่รศ.ดร.สุรชาติบำรุงสุข ให้คำจำกัดความว่า
".. ต่อไปกองทัพจะต้อง Go Inter .."
นายทหารทั้งระดับสัญญาบัตรและประทวน จะต้องมีความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถปฏิบัติงานร่วมกับทหารชาติอาเซียนอื่นๆได้
นายทหารฝ่ายเสนาธิการจะต้องเรียนรู้แนวคิดและหลักนิยมของกองทัพอาเซียนเป็นหลัก มากกว่าแนวคิดและหลักนิยมของกองทัพประเทศตนเพียงกองทัพเดียว ระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ของอาเซียนจะถูกหลอมรวมให้เป็นระบบที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันและสามารถทดแทนกันได้เมื่อจำเป็น
ในขณะเดียวกันผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพประเทศสมาชิกอาเซียนต้องปรับตัว และเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สั่งการและบังคับบัญชาหน่วยต่างๆ ที่มาจากประเทศสมาชิก
เหมือนเมื่อครั้งที่พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเอกวินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เคยกระทำมาแล้วในภารกิจรองผู้บัญชาการกองกำลังนานาชาติ และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ ในติมอร์ตะวันออก
รวมทั้ง พลเรือตรีธานินทร์ ลิขิตวงศ์ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองกำลังทางเรือของ "กองเรือเฉพาะกิจผสม151 (CTF 151) ในภารกิจปราบปรามโจรสลัดในอ่าวเอเดน น่านน้ำโซมาเลีย
สิ่งต่างๆ เหล่านี้นับเป็นความท้าทาย ที่กองทัพกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน จะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะเมื่อเงื่อนเวลาของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน และเงื่อนเวลาของภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ถูกนำมาผูกยึดติดกัน
กองทัพยิ่งต้องเร่งระดมสรรพกำลังและเตรียมกำลังพลให้พร้อมที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเป็นกองทัพอาเซียนอันทรงประสิทธิภาพและมีศักยภาพ ในการร่วมกันพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศสมาชิก และพร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกัน ในการเผชิญหน้าท้าทายกับภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ดังคำขวัญของอาเซียนที่ว่า "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม" (One Vision, One Identity, One Community)
//www.chanchaivision.com/2014/07/AEC-2015-Unfinished-140727.html
โดย: ชาญชัย IP: 27.55.72.149 28 กรกฎาคม 2557 19:54:02 น.