รู้จักกับ "ทัดมาดอว์" กองทัพแห่งสาธารณรัฐสหภาพเมียนม่าร์ (พม่า)
ก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
(ตอนที่ 1)
โดยพันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ
(สงวนลิขสิทธิ์ในการทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้ใช้เผยแพร่เพื่อการศึกษา ค้นคว้าเท่านั้น)
สาธารณรัฐสหภาพเมียนม่าร์หรือ "พม่า" (เดิมในภาษาอังกฤษเรียกชาวพม่าว่า Bamar หรือ บาหม่า) มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์โลกมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในสมัยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยนั้น พม่านับเป็นมหาอำนาจแห่ง"อุษาคเนย์" (ไมเคิลไรท์ นักประวัติศาสตร์และไทยคดีศึกษาชาวอังกฤษเป็นผู้กำหนดคำว่า "อุษาคเนย์" ขึ้นมาแทนคำว่า "เอเชียอาคเนย์" หรือ "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ซึ่งมีคำว่า "เอเชีย" ที่เป็นคำในภาษาอังกฤษ เพื่อให้เป็นคำในภาษาไทยแท้ๆ โดยอุษาคเนย์มีอาณาเขตตั้งแต่พม่าไปจนจรดฟิลิปปินส์และจากเวียดนามไปจรดอินโดนีเซีย)
อาณาจักรพม่าแผ่ขยายอาณาเขตไปทั่วทิศานุทิศโดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง (Bayinnaung) หรือที่ออกเสียงพระนามตามสำเนียงพม่าว่า บาเยนอง มีความหมายว่า พระเชษฐาธิราช มีพระนามเต็มว่า บาเยนองจอเดงนรธา (ไทยออกเสียงเป็น บุเรงนองกะยอดินนรธา) แปลว่า พระเชษฐาธิราชผู้ทรงกฤษดาภิหาร พระองค์ได้แผ่ขยายอาณาจักรไปอย่างกว้างขวางจนได้รับสมญานามว่า "ผู้ชนะสิบทิศ" ซึ่งการแผ่ขยายอาณาเขตของพม่าได้ส่งผลให้เกิดการรบพุ่งกับกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ "สงครามเมืองเชียงกราน" เรื่อยถึงสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นของไทย
เมื่อเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคมอังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทะเลในยุคนั้นได้เข้าครอบครองพม่าในฐานะประเทศอาณานิคมและเล็งเห็นว่าพม่านั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการค้าเช่นเดียวกับอินเดียจึงได้ตั้งเมืองย่างกุ้ง (Yongon หรือ Rangoon) เป็นเมืองหลวง เพราะมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ติดชายทะเลสะดวกต่อการขนส่งสินค้าต่างๆ กลับสู่ประเทศอังกฤษ ครั้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองพม่าก็กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่ใช้เป็นการรบขั้นแตกหักระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่เคลื่อนทัพมาจากอินเดียและจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นที่รุกผ่านประเทศไทย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนี้เอง ที่กองทัพพม่าหรือ "ทัดมาดอ" หรือ ตั้ดมาดอ (Tatmadaw) ได้ถือกำเนิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยดังที่ พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกองทัพพม่าคนหนึ่งของประเทศไทยได้กล่าวว่า กองทัพพม่ามีวิวัฒนาการมาจากนายพล "อองซาน" (Aung San) บิดาของนาง อองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) ที่ร่วมกับสมัครพรรคพวกรวม 30 คนในนาม "กลุ่มสามสิบสหาย" (30 comrades) ก่อตั้งกองทัพพม่าขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กำลังรุกข้ามพรมแดนจากประเทศไทยเข้าไปในพม่าทำการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษที่กดขี่ข่มเหงชาวพม่ามาตลอดระยะเวลาแห่งการปกครอง
ในช่วงแรกนี้กองทัพพม่ามีชื่อว่า "กองทัพเอกราชชาวพม่า" หรือ บีไอเอ (BIA: the Burmese Independence Army) ชาวพม่าต่างให้การต้อนรับทหารพม่า "บีไอเอ" และทหารญี่ปุ่นในฐานะผู้ปลดปล่อยจากอาณานิคมอังกฤษด้วยการตะโกนว่า "โดบาม่าร์"(Dobamar) ซึ่งมีความหมายว่า "พวกเราชาวพม่า" คล้ายๆกับเมื่อครั้งที่กองทัพไทยร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นในสมัยนั้นและคนไทยมักตะโกนต้อนรับว่า "บันไซ ไชโย"
ต่อมาเมื่อกองทัพพม่า "บีไอเอ" ได้เข้าครอบครองดินแดนพม่าร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นแล้วได้มีการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนชื่อเป็น "กองทัพแห่งชาติพม่า" หรือ บีเอ็นเอ (BNA: Burma National Army) และกองทัพญี่ปุ่นได้แต่งตั้งให้นายพลออง ซาน เป็นผู้บัญชาการกองทัพพม่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติพม่าตามลำดับ
โรงเรียนทหารของกองทัพพม่าได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีทหารญี่ปุ่นเป็นครูฝึกสอน ทำให้รูปแบบการรบหลักนิยมและแนวคิดของกองทัพพม่าเป็นไปในแนวทางเดียวกับกองทัพพระมหาจักรพรรดิ์แห่งญี่ปุ่น จนถึงขนาดในพิธีสำเร็จการศึกษาของนายทหารพม่านั้นนายทหารญี่ปุ่นจะเป็นผู้มอบดาบซามูไรซึ่งถือเป็น "จิตวิญญานของนักรบญี่ปุ่น"(Japanese Fighting Spirit) ให้กับนายทหารพม่าเลยทีเดียวความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกองทัพแห่งชาติพม่าและกองทัพญี่ปุ่นทำให้พม่าประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาตลอดจนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในทุกสมรภูมิ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนายพลออง ซานก็เริ่มตระหนักถึงความจริงว่า ญี่ปุ่นนั้นกรีฑาทัพเข้ามาในพม่าก็เพื่อตักตวงผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และมากมายมหาศาล รวมทั้งยังกดขี่ข่มเหงชาวพม่ายิ่งกว่าพวกอังกฤษเสียอีก
ในที่สุดนายพล อองซานก็ตัดสินใจหันหลังให้กับญี่ปุ่นอย่างลับๆ และร่วมมือกับอังกฤษในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สองเป็นการกระทำที่ญี่ปุ่นเองก็คาดไม่ถึงว่านายพลออง ซานที่กองทัพญี่ปุ่นปั้นมากับมือ จะกล้าหักหลังกองทัพญี่ปุ่นกองทัพแห่งชาติพม่า โดยการสนับสนุนของอังกฤษเปิดฉากรุกเข้าใส่กองทัพญี่ปุ่นที่ชานกรุงย่างกุ้ง โดยที่ญี่ปุ่นไม่รู้ตัวมาก่อน จนในที่สุดก็สามารถยึดกรุงย่างกุ้งคืนจากญี่ปุ่นได้วีรกรรมความกล้าหาญและความเสียสละในครั้งนี้ทำให้นายพล อองซานได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาวพม่า
ภายหลังความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว นายพล ออง ซานก็เจรจากับอังกฤษเพื่อขอแยกตัวเป็นเอกราช ส่วนชนกลุ่มน้อยมากมายหลายชาติพันธ์ุที่เคยรวมอยู่กับพม่าในยุคอาณานิคมก็ปฏิเสธที่จะรวมเป็นแผ่นดินเดียวกับพม่า โดยเฉพาะชนเผ่ากระเหรี่ยง (Karen) ที่มีประวัติในการสู้รบกับพม่ามายาวนาน
ส่งผลให้เกิดการเจรจากับพม่าที่ปางหลวงจนเป็นที่มาของ "ข้อตกลงปางหลวง" หรือ ข้อตกลงป๋างโหล๋ง (PangluangAgreement) ซึ่งลงนามกันเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) หลังสงครามโลกครั้งที่สองเสร็จสิ้นได้ประมาณสองปี
โดยในข้อตกลงนี้ชนกลุ่มน้อยต่างยื่นข้อเสนอในการเป็นเอกราชหรือขอเป็นปกครองตนเองในดินแดนพม่า เช่น รัฐชิน (Chin) และ รัฐคะฉิ่น (Kachin) ตกลงเข้ารวมอยู่กับสหภาพพม่า แต่ขอเป็นเขตปกครองตนเอง สำหรับรัฐฉาน (Shan) ขอรวมกับพม่าเป็นเวลาเพียง10ปี เมื่อจัดการกิจการภายในเรียบร้อยแล้ว ก็จะขอแยกตัวเป็นอิสระ
ส่วนกะเหรี่ยงและมอญจะขอเจรจากับอังกฤษโดยตรงไม่ผ่านพม่า โดยเฉพาะกะเหรี่ยงซึ่งถือเป็นคู่ปฏิปักษ์ถาวรของพม่านั้นประกาศเจตนารมย์ชัดเจนว่าต้องการเป็นอาณานิคมของอังกฤษต่อไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชาติพันธ์ุที่ไม่ยอมเข้าร่วมในข้อตกลงนี้ เช่น ว้า ยะไข่ โกก้าง พะโอ ปะหล่อง เป็นต้น
ในรุ่งอรุณของวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) ขณะที่การก้าวสู่ความเป็นประเทศเอกราชของพม่ากำลังก้าวหน้าไปอย่างเรียบร้อยและเป็นรูปเป็นร่างตามแผนที่ได้วางเอาไว้ ขณะที่ นายพล อองซานกำลังร่วมประชุมที่กรุงย่างกุ้งเพื่อเตรียมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศที่จะประกาศใช้เมื่อได้รับเอกราชจากอังกฤษ กลุ่มมือปืน 4 คนก็บุกเข้าสังหารนายพลออง ซานถึงในห้องประชุม เขาถูกกระหน่ำยิงด้วยปืนกลมือทอมสัน กระสุนขนาด 9 มิลลิเมตรเป็นจำนวนถึง13นัด เจาะทะลุร่างของเขาจนเสียชีวิตคาที่ในวัยเพียง 32 ปีเท่านั้น นอกจากนายพลออง ซานแล้ว ยังมีผู้ร่วมประชุมอีก 6 คนเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อสิ้นนายพล ออง ซาน อังกฤษก็แต่งตั้ง นายพลอูนุ (ทะขิ่นนุ) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มสามสิบสหายร่วมกับนายพลออง ซาน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายพลออง ซาน และพม่าก็ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491)
(โปรดติตตามตอนต่อไป)