bloggang.com mainmenu search





เพลง...ลาวคำหอม



....ป่วย....
....๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗....







๑๘๐. ตากลมหนาวยาวนานจนกาลคล้อย
ผู้เหม่อลอย..ผลอยหลับลงกับหมอน
หวัง..หลับกลางอุ่นอ้อม..ใครกล่อมนอน
หมายยินคำแว่ววอนออดอ้อนนั้น

๑๘๑. จึงค่ำนี้..ดื่มด่ำกว่าค่ำไหน
ด้วยวาบหวามหัวใจ...ด้วยไหวหวั่น
ลมเย็นต้องผิวเนื้อ..จนเหลือกัน
ก็ซมไข้ใกล้วันจะเดินทาง

๑๘๒. ให้ครอบครัวคุณอา, เพื่อนขาจร-
ล่วงหน้าก่อน, จะตามไปเมื่อไข้สร่าง
สาวน้อยเมื่อหนาวสั่นทั้งสรรพางค์
ก็สุดที่จะก้าวย่าง...ทิศทางใด

๑๘๓. ด้วยพิษไข้นอนซม...อารมณ์เหงา
หลับซึมเซาจมฝัน..พร่า-สั่นไหว
ห้วงฝันพาเสพทราบ..ด้วยภาพใคร
ที่เคียงใกล้คู่คราญตระการลักษณ์

๑๘๔. กรกุมเกี่ยวก้อยกัน..ท่ามงันเงียบ
ลมเย็นเยียบ, เร้ารุมเข้ากุมกัก
ราตรีอวลกลิ่นพร้อม, ละม่อมพักตร์-
ของใครที่ชะลอศักดิ์..ให้กักกุม

๑๘๕. ในฝัน..รูปแฝงเร้น..ไม่เห็นหน้า
ท่ามกลางราตรีพะนอ..มืดห่อหุ้ม
จนแรมจันทร์หันเรียว..เบี่ยงเสี้ยวมุม
ท่ามแสงนุ่มเย็นนั้น...ก็พลันพิศ..

๑๘๖. วาบหวิวหวั่นไหว..อกใจสาว
คล้ายเหน็บหนาว..เลือนล่วงจากดวงจิต
รูปเอยลักษณ์พิไล...ผู้ใกล้ชิด
เต็มโสภิตละเมียดละมุน...กลับคุ้นเคย

๑๘๗. รูปนั้น-อย่างช้าช้า..เบือนหน้าวก
เช่นรูปตนในกระจก..ค่อยผกเผย
ใจสะท้านเย็นเยียบ..สุดเปรียบเปรย
สุดเอื้อนเอ่ย..ไยเห็น..ดังเช่นนี้

๑๘๘. และอีกใครหนึ่งนั้น..เมื่อหันเห็น
ใจเอย..อย่างลอบเร้น..กลับเต้นถี่
แววอ่อนโยนในตา..กอปรท่าที
เกรงหลีกลี้หลบเร้น..แล้วเข็ญใจ

๑๘๙. แม้น..ต่างวัยใจเอยไม่เคยคิด
กลับต้องฤทธิ์อาวรณ์..จนอ่อนไหว
จึงแม้นจมฝันนาน..สักปานใด
ยังยอมใจกรำถวิล..ด้วยยินยอม

๑๙๐. ฟากฝัน..จันทร์อับแรงขับไข
คนป่วยใจอ่อนละมุน..ท่ามอุ่นอ้อม-
แห่งห้วงฝัน..รติรส..เกินอดออม
กับอ่อนหวานกรุ่นหอม...รอบล้อมใจ

๑๙๑. ผืนแผ่นน้ำลมพลิ้ว..เป็นริ้วเหลื่อม
ก่อนกระเพื่อมวงน้อย..ค่อยค่อยไหว
แต่อ่อนหวานรุมประชิดในจิตใคร
ค่อยค่อยปัดเป่าไข้...จากใครนั้น

๑๙๒. ไหววูบเงื่อนความหมายกำจายออก
คล้ายบ่งบอก..ความนัย..ความไหวสั่น
แห่งอารมณ์..สมยอมจะพร้อมปัน-
ความอบอุ่น, กีดกันทุกหวั่นเกรง

๑๙๓. เช้านี้จึงแม้นหนาว..ยังหนาวอยู่
หากเนตรคู่งามพิศ..เมื่อจิตเพ่ง
แววนั้นราว..เร้ารัวแก่ตัวเอง
ว่าจะเปล่งความสู่..ให้รู้นัย

๑๙๔. คล้ายว่าความแจ่มแจ้ง..ทั้งแหล่งหล้า
ถ้วนถิ่นฟ้าสำทับแรงขับไข
คล้ายความห่วงเปี่ยมล้น..จากคนไกล
จะรอให้มุ่งมั่นสัมพันธ์พร้อม


....มหาวิบัติแห่งอันดามัน....
....เช้าตรู่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗....







๑๙๕. เงียบงาม ณ ยามแสงขึ้นแต่งฟ้า
เริ่มบุปผามอมถิ่นด้วยกลิ่นหอม
ตรู่เช้านั้น..ภุมรินก็บินดอม-
เข้าออ-ห้อมตฤปหวานสำราญรส

๑๙๖. เมื่อเครื่องบินโผผ่านสู่ม่านเมฆ
ใจหนึ่งเฉกเช่นภู่ที่รู้บท
อารมณ์บางส่วนเสี้ยวแสนเลี้ยวลด
เข้าจ่อจดถึงใคร..ผู้ไกลตา

๑๙๗. เอื่อยอ่อยลมทะเล..คล้ายเห่กล่อม-
จะหลั่งหลอมมุ่งมาดใน..ปรารถนา
จนแผ่นน้ำกระเพื่อมพลิ้ว..เป็นริ้วมา
ก็รู้ว่าคือปฐม..แห่ง-ลมวก

๑๙๘. เมฆขาวลอยเคว้งคว้าง, ฟ้ากว้างใหญ่
แลลิบไกลสวยสะ..ผ่านกระจก
และเนตรหนึ่งในวาระ..หวั่นสะทก
สุดจะปกป้องใจ..จากใครแล้ว

๑๙๙. จากแผ่นผืนเรียบกว้าง..อยู่ข้างหน้า
ลมโชยช้าโยนเสียง..แต่เพียงแผ่ว
และบัดนั้นคลื่นอุทก..ก็ยกแนว
ขึ้นโถมแถวฟองขาว...เห็นวาววับ

๒๐๐. คึกคึกระทึกเสียง..อยู่เพียงโสต
หากอุโฆษข่มหวัง..จนพังดับ
คลื่นน้ำโหม, แดดทอ..ลออรับ
ค่อยค่อยทับชีพถม..ลงหล่มน้ำ

๒๐๑. ทอดคะนึง..ท่ามอบอุ่นละมุนละม่อม
เนตรพริ้ม, จ่อมใจละลานด้วยหวานฉ่ำ
ครั้งคราวที่แย้มอร..เกิดซ้อนซ้ำ
ก็ทุกครั้งดื่มด่ำ...วาบซ้ำซ้อน

๒๐๒. ค่อยค่อยโถมแรงถั่ง..เข้าหลั่งไหล
เป็นแท่งน้ำสูงใหญ่..แล้วไพล่ผ่อน-
ลดระดับโซมซาบ..เหลือคราบนอน-
ของศพที่ม้วยมรณ์..บนขอนทราย

๒๐๓. จึง..บทเพลงทุกข์โศก..แห่งโลกต่ำ
ค่อยค่อยย้ำอาดูร..กลางสูญสลาย
เปล่งโศลกบทนิยาม..แห่งความตาย
ออกรำบายผ่านคลื่น..ครึกครื้นขบวน

๒๐๔. แท้เพียงทรายเม็ดน้อยที่ด้อยค่า
ต้องคลื่นถาโถมกระหน่ำ..ก็กำสรวล
ปลายสำนึกในน้ำ...ฤๅ-คร่ำครวญ-
ยอมรับความแปรปรวน..ทบทวนคิด

๒๐๕. แท้อ่อนแอ, แพ้-พ่าย..ง่ายดายนัก
เพียงน้ำกักจมลิ่ว..ชีพปลิวปลิด
ไร้กำลังวังชาจักฝ่าฤทธิ์
ช่วยชีวิตตัวตนให้พ้นภัย

๒๐๖. แท้มิได้ยิ่งใหญ่อย่างใจนึก
แค่น้ำลึก..คลื่นข่ม..ถึงล่มขัย
สายวารินไหลลามบอกความนัย
แม้นอาลัย..ยังต้อง..จำล่องลา

๒๐๗. แท้มิได้ยิ่งใหญ่เท่าไรหรอก
เพียงเศษเสี้ยวคลื่นระลอกก็ปอกค่า
ศพน้อยน้อยถึงวิบัติน้ำพัดพา
จำทอดถอนทรมา..ลอยบ่าไป

๒๐๘. แท้จริงแล้ว..ดับสิ้นในสินธู
รองร่างอยู่สมควร..อย่าหวนไห้
ด้วยก่อเกิดกายหยั่ง..กระทั่งใจ
หรือมิใช่ในน้ำอันคร่ำคา

๒๐๙. แท้จริงแล้ว..เพียงทัณฑ์ที่ผันเปลี่ยน
เคลื่อนคล้อยเวียนสุริยัน-ดาว-จันทร์-หล้า
เพื่อสังสารธารทุกข์ได้รุกมา
โลมทุกหน้าแนบเนื้อ...เป็นเหยื่อกาล

๒๑๐. ล้อเครื่องบินแตะพื้น, คนตื่นเต้น-
กับลอบเร้น..แอบซ่อน, แสนอ่อนหวาน
ละช่วงคาบภาพฝัน..แห่งวันวาน
ก็แผ่ซ่านสู่พักตร์...สุดกัก-ล้าง







๒๑๑. แว่ว..ยินเสียงภาพข่าว..นั้นยาวอยู่
เป็นภาพหมู่ซากปรัก..พัง, หัก-ขวาง
กลาดเกลื่อนความมอดดับ..ชีพอับปาง
ทอดเรือนร่างเห็นอุจาด..บนหาดทราย

๒๑๒. ทั้งถิ่นไทยต่างด้าว...ร่วมข่าวนั่น
สบตาพ่อ..แววประหวั่นก็พลันฉาย
นึกสังหรณ์ใจอยู่..ไม่รู้วาย
ผู้ล่วงหน้าจะเป็นตาย..หรือ..ร้าย / ดี

๒๑๓. ภาพข่าวฉายซ้ำซ้ำ...เฝ้าย้ำเรื่อง
ชีพปลิดเปลืองลบเลือน..อยู่เกลื่อนที่
ค่อยค่อยรู้เรื่องราว..ในข่าว-มี
ว่าปถวีสั่นคลอนมาก่อนนั้น

๒๑๔. ก่อนเคลื่อนคลื่นชลธี..ขยี้ขย้ำ
โถมหลากกระแสกระหน่ำเข้าห้ำหั่น
จึงชีพชนม์หมู่ผองราวต้องทัณฑ์-
ดับอยู่ท่ามขอบขันธ์ห้วงอรรณพ

๒๑๕. ละภาพผ่านเผยต้องสู่คลองเนตร
ก็ยินเหตุแจ้งอยู่ไม่รู้จบ
ละภาพความจาบัลย์..ก็ครันครบ
ค่อยตระหลบบทโศกขึ้นโบกโบย

๒๑๖. ละภาพการณ์ผ่านย้ำ..ซ้ำซ้ำหน
ล้วนภาพหม่นหมองไห้..ห้วงใจโหย
สิ้นกระแสมหาสินธุ์..ก็รินโรย-
เป็นน้ำตาปร่าโปรย...กับวางวาย

๒๑๗. แว่ว...พ่อติดต่อผ่านสถานทูต
ยินเสียงพูด..สับสนว่าคนหาย
พ่อบอกนามเพื่อนผอง - รวมน้องชาย
ก่อน-นิ่งงันเงียบคล้าย...เรื่อง-ร้ายแล้ว

๒๑๘. พ่อค่อยหันหน้ามอง, จับจ้องเห็น
กุมกอดมือเยียบเย็น..ใจเต้นแผ่ว
เขาหานานเต็มที...ไร้วี่แวว
เกรงจะแคล้วคลาดกัน..แต่วันนี้

๒๑๙. นั่งซึมรอต่อเครื่อง..ใจเงื่องหงอย
หวัง..ที่คอยคล้ายกระพริบ..อยู่ริบหรี่
จะซบร่างอยู่ก้น..ชลธี
หรือค้างขอนธรณี...หรือหนีทัน..?







.....พบหน้า....


๒๒๐. เมื่อยินเสียงโทรศัพท์..แล้วรับ-ฟัง
เสียงอีกฝั่ง..บรรยายข่าวร้ายนั่น
แววกังวลฉายวับขึ้นฉับพลัน
รับปากขันอาสา..ช่วยหาคน

๒๒๑. เก็บกระเป๋า..เดินทางแต่สางตรู่
หวังช่วยครู..หาน้องผู้ล่องหน
แม้นความหวังที่เหลือ..น้อยเหลือทน
ที่มุ่งขวนขวายช่วย...ก็ด้วยใจ

๒๒๒. ถึงที่พักโทรศัพท์...ลำดับแรก
ก็ยังแปลกใจอยู่...จนรู้ได้
คิดถึงคุณพี่, คุณครู...หรือผู้ใด
ดูเถิดใจกระตือรือร้นพิกลนัก...

๒๒๓. ที่ห้องโถงโรงแรม..ทั้งแก้ม-หน้า
เหมือนรอให้สายตา..ลอง-ฝ่าหัก
ใจเอยเมื่อ..ตาประนอม..ละม่อมพักตร์
ราวถูกกักกุมสิ้น..ทั้งวิญญาณ

๒๒๔. ขัดเขินกับความคิดในจิตตน
ต้องคอยป่น, ปัดปรุง-ความฟุ้งซ่าน
มองสาวน้อย..ตาประวิง..อยู่นิ่งนาน
ก่อนค่อยค่อยเบือนผ่าน...อ่อนหวานนั้น

๒๒๕. มือไหว้เคารพครู..กับผู้-พี่
เรื่องร้ายที่..เมื่อฟัง..ก็ยังหวั่น-
เกรงจะสายเกินการณ์..ด้วยผ่านวัน
หากรอด-คงคับขัน..แล้ววันนี้

๒๒๖. ใครหนึ่งเฝ้าชำเลือง..อยู่เบื้องหน้า
อย่างลอบเร้น..สายตา..ชายมา-ถี่
งันเงียบกิริยา..ท่วงท่าที
บุพการีทั้งคู่...ฤๅรู้ทัน

๒๒๗. งามเจ้าเอย..รับรู้แต่อยู่ใกล้
จนถิ่นห้วงดวงใจ..ถึงไหวหวั่น
ละม่อมหน้าสบซ้ำ..สุดจำนรรจ์
ราวจะสั่นโยกล่วงทั้งดวงมาน

๒๒๘. สบชม้ายชำเลืองคนเบื้องหน้า
เหมือนในตาวาบเงาคอยเผาผลาญ
คล้ายรอยยิ้มแฝงรับอยู่นับนาน
คลี่รอยหวานบ่มไล้หัวใจคน

๒๒๙. เกรงคุณพี่, คุณครูจักดูเห็น-
แววตาเร้นลอบชายอยู่หลายหน
เกรงนักแววตาใคร..ที่ไหววน
จะคอยปรนเปรอให้..น้อมใจรับ

๒๓๐. ราวประกายสายรุ้ง..ปลีกคุ้งฟ้า
เจ็ดสีจ้าเหลื่อมล้ำเป็นลำดับ
ทอดทอนัย..ผ่านเนตรเป็นเลศลับ
ประโลมหวานโจมจับให้อับจน

๒๓๑. ตกลงช่วยติดตาม..สอบถามข่าว
สืบสวนเสาะเรื่องราว, ครั้งคราวหน-
ที่เบาะแสบอกกล่าวมีข่าวคน-
สูญหายให้สืบค้น...ตราบจนรู้

๒๓๒. หรือจนกว่าจะพบ, เป็นศพซาก
ทิ้งร่างฝากสังสาร, เคลื่อนผ่านสู่-
ดินแดนแห่งโอภาส, พิลาสพบู
และมวลหมู่อัปสร..ลอยว่อนวน...



....รอบคำนึง







๒๓๓. ริ้วลมหนาวผ่าวผ่านอยู่นานเนิ่น
เข้าหยอกเอินแก้วประทิ่น..หอมถิ่น-หน
อีกหอมยิ่ง..หอมซึ้งจนอึงอล
พาใจวนว่ายหอมไม่ยอมร้าง

๒๓๔. ลมเอย..พลิ้วผ่านสู่ให้รู้สึก
โอนรำลึกซึ้งอยู่อย่ารู้ห่าง
กระซิบสื่อความนัยน้ำใจนาง
ร่วมสืบสร้างแต่ในน้ำใจเดียว

๒๓๕. เป็นหยาดน้ำใจหลั่ง..จากฝั่งทรวง
มอบตอบแทนแหนหวง..ให้หน่วงเหนี่ยว
ดั่งเช่นเชือกสองเส้นฟั่นเป็นเกลียว
เพื่อกอดเกี่ยวผูกพันนิรันดร์ไป

๒๓๖. หมายกรุ่นหอมกลิ่นแก้ว..ได้แผ่วผ่าน
สู่รูปคราญกล่อมขวัญ..จนหวั่นไหว
ก่อนลมผ่าวผ่านฤดีผู้มีใจ
ประโลมให้ดวงจิต..สัมฤทธิ์รู้

๒๓๗. ว่ามีปรารถนาหนึ่ง..คำนึงหนัก
จะฝ่าหักขวางขวาก..เห็นยากอยู่
เกิดแต่เมื่อรูปเห็น..และเอ็นดู
ร่วมน้อมสู่รุมรัดสัมผัสรอย

๒๓๘. ในท่ามกลางลมหนาว..กลับผ่าวร้อน
ด้วยอาวรณ์รุมแล้ว..แม้นแผ่วค่อย
หากหัวใจหนึ่งผู้..ย่อมรู้คอย
เต็มละห้อยห่วงเห็นไม่เว้นวาย

๒๓๙. แอบอ้อมกอดลมหนาวมายาวนาน
จนสะท้านใจอยู่ไม่รู้หาย
ที่หวังให้คลุมครอบอยู่รอบกาย
คือรูปหมายให้ละเมียดละไมทรวง

๒๔๐. เมื่อถวิล..มากครันเกินกั้นกีด
ทั้งประณีตเหลือแสน, ความแหนหวง-
ก็เริ่มไหลเข้าประดัง..ใจทั้งดวง
หอมก็หน่วงอกย้ำ..อยู่ค่ำเช้า

๒๔๑. หมายดวงใจ..งามพิสุทธิ์เป็นจุดมุ่ง
บ่มบำรุงส่วนเสี้ยว..ความเปลี่ยวเปล่า
คืนร่องรอยรูปเหมือน-ผู้เลือนเงา
จึงแนบเนาอ่อนหวานแห่งกาลนี้

๒๔๒. กาลที่ความงดงาม..ลุกลามอก
จะคอยปกปิดไว้ก็ใช่ที่
ใจเอย..ละห้อยหาและท่าที-
แห่งไมตรี..ฤๅจะส่ง..ถึงนงคราญ

๒๔๓. หลังลมหนาวผ่านระลอก..กรุ่นดอกแก้ว
ก็หอมรื่นทั่วแล้วทุกแนวผ่าน
และเหมือนความเต็มตื่นของชื่นบาน-
ได้จดจารถ้วนแล้ว..ทั่วแววตา


....โศกาสมัย......







๒๔๔. จนแจ้งข่าวสืบทราบ...ผู้สาปสูญ
จึง..อาดูรผ่านเยือน...จนเหมือนว่า
ความรักความอาทรแต่ก่อนมา-
จากคุณอาจะสิ้นเสียง..แต่เพียงนี้

๒๔๕. เริ่มแล้วความชอกช้ำ..การคร่ำครวญ
กลับย้อนส่วนโศกแหนเข้าแทนที่
แรงพิลาปท่วมใจ..ผู้ใยดี
ด้วยเทวษทุกข์ทวีเข้าบีฑา

๒๔๖. และบทโศกเริ่มแล้ว..เสียงแผ่วโหย
ท่ามกลางลมเฉื่อยโชย, โบกโบยหา
เป็นบทปลงสังเวช และเพทนา
ในคาบกาละล่ม...แห่งลมปราณ

๑๔
๒๔๗. ฮึมเห่..ทะเลกละจะกล่อม
พิเราะล้อมประดาลาญ
น้อมสู่พระผู้สิริพิศาล
ณ สถานพิมานสรวง

๒๔๘. ปลิดป่นละพ้นทุขะสภาพ
บุญะ-บาปสิบำบวง
ลอยสินธุสิ้นขณะทะลวง
ตละห่วงก็สูญหาย

๒๔๙. บทเพลงประเลงพฤติพิโยค
วตะโบกก็รำบาย
อาดูระพูนพละสยาย
อุระคล้ายบ่อาจขืน

๒๕๐. สร้อยเสียงประเดียงนยะประณีต
กละคีตประโลมคืน
กล่อมให้สมัยจิตะทะมื่น
ยุติขื่นและผ่อนคลาย

๒๕๑. ร่ำกลิ่นประทิ่นกุสุมะพรรณ
ทุขะนั้นก็รำบาย
โดยเนตรและเลศรหัสะฉาย
ดุจะหมายละลายหมอง

๒๕๒. อบอุ่นละมุนรติพิสัย
ตละใจก็จับจอง
ลอบเร้นบ่เว้นระยะจะมอง
นยะผองก็เริ่มเผย

๒๕๓. สืบสร้างระหว่างขณะเทวษ
ทุรเภทะรำเพย
โอ้..ใจไฉนจะละจะเลย
จะละเชยจะล่วงชม

๒๕๔. โอ้..งามละลามขณะถวิล
ระอุจินตะจ่อมจม
แว่วเพียงก็เสียงอุระระงม
เพราะภิรมยะรัดรึง



....ความรัก....







๒๕๕. เกิดแต่เมื่อใจหนึ่งถูกตรึงล่าม
ผ่านคาบยามด้วยฤทธิ์แรงคิดถึง
มีอ่อนโยนอบร่ำห้วงคำนึง
อีกซาบซึ้งแอบอำอยู่ค่ำเช้า

๒๕๖. ราวแรงรื่นรมยาคันธารส
นั้นโหมบทบาทเยือน..ไม่เหมือนเก่า
โอนอ่อนหวานซ่านแล้วแม้นแผ่วเบา
หากอ่อนโยนรุมเร้า...อยู่เช้าเย็น

๒๕๗. จะรับรู้บ้างไหม..ว่าใจหวั่น
จากบีบคั้นรอคอยละห้อยเห็น
จะรู้ไหมเหงาเงียบเกินเปรียบเป็น
จากลอบเร้นอาวรณ์..แอบซ่อนนัย

๒๕๘. หวั่นแต่สองแววตา..เกินกว่าซ่อน
จะเผลอเผยนัยซ้อนยามอ่อนไหว
หวั่นทรวงร่ำรัวร้องเสียงก้องไกล
จนหนึ่งใครผู้ถวิล..อาจยินความ

๒๕๙. หวั่นเกรงใจร่ำรอ..เผยต่อหน้า
บอกห่วงหาเกินกักเกินหักห้าม
เกรงตาเผยความนัยจนไหววาม
ใจจักหวามตามตาละล้าละลัง

๒๖๐. รู้หรือไม่อาวรณ์ที่ซ่อนอยู่
เริ่มช้อยชูงดงามขึ้นตามหวัง
รู้หรือไม่ปรารมภ์เคยข่มบัง
จักเริ่มเรื้องกำลังเข้าสั่งการ

๒๖๑. เผยออกฤๅ..ความนัยเพื่อใครรู้
จะเก็บอยู่ไยเล่าให้เผาผลาญ
เผยเถิดแม้นขัดเขินมาเนิ่นนาน
ใจฤๅจักร้าวรานกับการณ์นี้

๒๖๒. เดียรดาษพรรณผกาในป่าหอม
เพื่อด่ำดอมภุมรินย่อมบินปรี่
ที่อบอวลน้ำใจและไมตรี
ย่อมสุดที่คำพจน์จะลดรา

๒๖๓. ย่อมดื่มด่ำบริบทเกินปลดปล่อย
จนเฝ้าคอยทาบทวงด้วยห่วงหา
ภุมรินแหนหอม..ใจน้อมมา
เป็นใจแหนคุณค่า..เกินกว่าล้าง

๒๖๔. รู้กันแล้วใช่ไหม..อกใจนี้
อกใจที่แหนหอมไม่ยอมห่าง
เผยออกสิ้นพจน์คำเคยอำพราง
เพื่อมอบวางสู่ขวัญ..ในวันนี้






....สองฝั่งฟ้า....


๒๖๕. ร่างคุณอา..มอดไหม้..ด้วยไฟเผา
เหลือความเปล่าเปลี่ยวแสน..เข้าแทนที่
สุดสิ้นความทุกข์ใด..ที่ใจมี
เหลือชั่ว, ดีย้อนย้ำ...ให้คำนึง

๒๖๖. ก็เท่านี้..แค่นี้..หนอชีวิต
หลังชีพชนม์ป่นปลิด...ที่คิดถึง-
ย่อม-ความดี, คุณค่า..ที่ตราตรึง
เคยซาบซึ้ง..กรณีอย่างที่เป็น

๒๖๗. จวบถึงยามต้องจาก...จำพรากรอย
ดูเถิดเนตรใครชม้อย..ละห้อยเห็น
ก้าวผ่านบันไดเทียบ...ใจเยียบเย็น
และแววเต้นในตา..ช่างอาวรณ์

๒๖๘. เครื่องบินเสียงอึงอื้อ, คน-มือไหว
และทรวงหนึ่งอาลัย..เกินไถ่ถอน
ทุกช่วงต่าง..โลกต่ำ-ห้วงอัมพร
คือช่วงตอน...แรงถวิลคอยดิ้นรน

๒๖๙. ค่อยค่อยผิดสังเกต...รอยเลศนัย-
ลูกสาวใจเหม่อลอย..อยู่บ่อยหน
และอีกหลายครั้งคราว..เนตรวาวจน-
คล้ายอ่อนหวานปลาบปน..พิกลนัก

๒๗๐. และคล้ายคล้ายภาพเหมือน..อันเลือนราง
ค่อยค่อยสร้างพันธะ..ให้ประจักษ์
ผ่านแววตาเว้าวอน..ไม่ผ่อน-พัก
ใจหนึ่งก็ซึ้งหนัก..สุดหักล้าง

๒๗๑. ตาหลับพริ้ม..สาวน้อย-แม่พลอยพิศ
ในห้วงจิต..เอ็นดู..ไม่รู้สร่าง
แม้นเหมือนรู้เงื่อนงำ..ลูกอำพราง
แต่ก็วางใจอยู่...เพราะรู้ใจ

๒๗๒. เกิดขึ้นแต่เมื่อไร...แปลกใจอยู่
มารับรู้-ผูกพัน, ความหวั่นไหว
ก็เมื่อถึงยามพราก..ต้องจากไกล
แววอาลัยลอบเร้น..เผย-เห็นรอย

๒๗๓. จากเด็กหญิงตัวน้อย..เฝ้าคอยอ้อน-
ให้”ใคร”ย้อนมาสนุก..อยู่ทุกบ่อย
อยู่เล่นหัว, หยอกล้อ..จนรอคอย-
อย่างเงียบหงอยเมื่อ”ใคร”..นั้นไกลตา

๒๗๔. ผูกพันใกล้ชิดสนิทสนม
เฝ้าปรารมณ์รูปรอยละห้อยหา
กระทั่ง”ใคร”ห่างลับ..ไม่กลับมา
ก็คล้ายว่า..คอยอยู่..ไม่รู้วัน

๒๗๕. พบอีกครั้งเมื่อโต..เป็นสาวรุ่น
ตาอ่อนโยน, อบอุ่น-สบ-วุ่น-หวั่น
เพรงสัญญาเหลื่อมซ้อนแต่ตอนนั้น
เชื่อมสองขวัญ..ผูกไว้ด้วยนัยเดียว

๒๗๖. อยู่ไกลห่างต่างฟ้า..ถิ่นอาศัย
ทั้งต่างวัย..กลับพ้องมาข้องเกี่ยว
หนึ่ง..ร้างคนเคียงคู่..ยอมอยู่เดียว
หนึ่ง..เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว..อยู่เดียวดาย

๒๗๗. อัสสาสะในครานิทราสนิท
พาดวงจิตดุ่มด้น..ร่วมขวนขวาย
พลิ้วผ่านผืนเศวตพัสตร์..สะบัดปลาย
จนเกษายาวสยายสะบัดลม

๒๗๘. ล่องลอยสู่ฟ้าใหม่ที่ไกลห่าง
ในท่ามกลาง..หอมหวานแผ่ซ่าน-บ่ม
สุมาลีโค้งค้อม...ใจจ่อมจม-
ลงแนบน้อมอภิรมย์...เกินข่มลา

๒๗๙. สุดรอคอยค่อยเห็นว่าเป็น”เขา”
กี่ภพกาลผ่านเล่าที่เฝ้าหา
เหมือนพิมพ์ภาคฝากมั่นลงสัญญา
ให้ตรึงตราแต่ในน้ำใจเดียว

๒๘๐. สุดอาวรณ์จะซ่อนแล้วในแววเนตร
จึงผันเลศนัยแผ่ให้แลเหลียว
หวังเชื่อมสายสัมพันธ์ช่วยขันเกลียว
ร่วมโน้มเหนี่ยวคำนึงจดถึงกัน

๒๘๑. เหมือนโดดเดี่ยวเปลี่ยวว้างจักจางหาย
แต่เมื่อสายตาประนอม..เข้ากล่อมขวัญ
แฝงอาทรค่าล้ำเป็นกำนัล
ร่วมเสกสรรจินตนาให้ตราตรึง

๒๘๒. อันว่าเล่ห์เสน่หาเมื่อปรากฏ
ก็สุดลดทอนพิษ..ความคิดถึง
ท่วมในอก..เกินคำ..อาจรำพึง
มีแต่ซึ้ง..อาลัย..คอยไหวเวียน

๒๘๓. หลับตาลงแต่ละครั้งก็ยังอยู่
คือรอยอุ่นวาบสู่ไม่รู้เปลี่ยน
จะลบเลือนเหมือนยากเกินพากเพียร
จะกร่อนเกรียน...คงเมื่อขันธ์ถึงวันวาย

๒๘๔. หลับเนตรพริ้มอิ่มแก้มนั้นแกมเรื่อ
ก็โดยเชื้ออาวรณ์..กำจรหมาย
สนองตอบเสน่หาในตาชาย
สบแววฉาย..ก็ถึงเพ้อ..ใจเหม่อลอย



....อาลัยแห่งใจชาย....







๒๘๕. โฉมเอยโฉมนุชเจ้า....จอมใจ
แต่จำพรากจากไกล............เนิ่นแล้ว
ป่านนี้จักเป็นไฉน................นุชแม่
ใครจะกล่อมถนอมแก้ว........กอดให้-หนาวหาย ฯ

๒๘๖. เล็งดวงสุริยะแปล้......ปลาบฉาย
ยิบยิบระยับปลาย...............พฤกษ์พร้อย
ปานเพชรทับทิมราย............ราวป่า
เช่นพิศเม็ดถนิมห้อย............ห่วงสร้อยคอสมร ฯ

๒๘๗. รอนแสง-รอสู่อ้อม.....อัสดง
โอนฤทธิ์มหิทธิภาคลง.........ลับฟ้า
ดวงวันย่อมคืนวง................เวียนกลับ
ใครหนึ่งแต่ลับหน้า.............จักย้อนกลับหรือ ฯ

๒๘๘. ไกลศรีกุสุเมศเนื้อ.....นงพาล
ห่างรูปห่วงรมยะมาน...........มอดเชื้อ
หากเพียงแค่หิมพานต์.........ขวางใช่ ไกลนา
รอ..แต่ใจนิ่มเนื้อ...............ร่วมน้อมตอบสนอง ฯ

๒๘๙. ราตรีลีลาศด้วย.........แสงจันทร์
ทอทาบแต่งพฤกษ์พรรณ.....พุ่มไม้
คำนึงนิ่มนวลวรร-...............โณภาส
เดือนขจ่างพักตร์แจ่มใกล้.....กล่อมเฝ้าเร้าฝัน ฯ

๒๙๐. วงจันทร์จำรัสฟ้า.......คนครวญ
หลงว่าวงพักตร์นวล............แจ่มเนื้อ
หอมเอยแอบลมหวน..........อวลกลิ่น
หลงว่ากลิ่นนวลเอื้อ............อบให้เสพหอม ฯ

๒๙๑. ดวงเดียวคือเกศแก้ว...กามน
ดินจดฟ้าบวงบน.................บอกรู้
กี่ภพชาติวัฏฏะวน...............เวียนอยู่ ก็ดี
ขอสบแม่ยอดชู้.................ทุกเวิ้งกรรมเวร ฯ

๒๙๒. ฤๅรอยโฉมแม่เจ้า......ใจรัก
รุมอุระเกินฝ่าหัก.................รติห้อม
นอนนั่งหม่นหมองพักตร์.......เผือดเทวษ ถวิลฤๅ
ถวิลสบรอแนบน้อม.............นอบรู้อาลัย ฯ

๒๙๓. โอ้ปรานีนิ่มเนื้อ.........โกมล
แต่สบสยบจำนน.................นุชเจ้า
ตาเอยจักคลายปรน.............เปรอรูป ไฉนฤๅ
เห็นแต่คอยพิศเฝ้า...............ฝากน้ำใจถนอม ฯ

๒๙๔. คิดคืนคิดค่ำเช้า..........ฤๅวาย
ยิ่งกรุ่นสุมาลีกราย...............กลิ่นต้อง
หอมหวานผุดถวิลราย...........รุมอก
รุมแทรกจนสุดป้อง..............ปัดให้คะนึงหาย ฯ

๒๙๕. ยามดึกสงัดสิ้น..........เสียงคน
มารุตระเรื่อย, ชล...............ฉ่ำหล้า
ถวิลหนึ่งอกหนึ่งคน.............ครวญคร่ำ
เนื้อเหน็บหนาวจักคว้า..........ฝากอ้อมทรวงใคร ฯ

๒๙๖. สาวน้อยมาโนชญ์หน้า....แนมสุวรรณ พี่เอย
ลมจะโลมผิวพรรณ.............ผ่าวเนื้อ
ใครเลยจะโลมขวัญ............กอดกระชับ
อ้อมอกเอาอุ่นเอื้อ..............อ่อนน้องตระกองนอน ฯ

๒๙๗. ป่านนี้ใครจักอุ้ม.........แอบนอน
โอบร่างตระกองกร..............กอดเนื้อ
กระซิบฝากคำวอน..............หว่างโสต
จุมพิตโอษฐ์อิ่มเอื้อ.............นิ่งช้า-นานชม ฯ

๒๙๘. วอนฝากอัครเรศน้อง...นางเดียว
ฝากทิพท่านแลเหลียว..........สักน้อย
คืนนี้ท่ามจันทร์เรียว.............รอนรูป
จงจิตหนึ่งเคลิ้มคล้อย..........ผ่านฟ้าพะนอฝัน ฯ







๒๙๙. ธูปเทียนประทีปตั้ง.....บุษบา เพลิงเอย
จุดแจร่มชวาลา..................ร่วมน้อม
รำลึกพุทธปฏิปทา...............บูชิต พระเอย
สัททะตั้งมั่นพร้อม...............พรั่งพร้อมสิ่งสักการ ฯ

๓๐๐. จิตประเทิงทัศนะเอื้อ...อธิษฐาน
หากคู่เคยสาบาน................บอกไว้
ทุกรอบวัฏฏะสงสาร............จักสบ กันนา
จะอยู่ไกลหรือใกล้..............ย่อมต้องมาเจอ ฯ

๓๐๑. ขอกุศลเสี่ยงตั้ง.........สัตยา ธิษฐานแฮ
ปลุกบำบวงพจนา................เนิ่นย้อน
เข้าอำอกพนิดา..................ดวงสวาดิ
ให้ระรุมรุ่มร้อน...................หยั่งรู้ปรารมภ์ ฯ

๓๐๒. ร่ำแบ่งบุญภาพพร้อง...รำพัน
ถวิลนึกคะนึงขวัญ...............เนตรแก้ว
ภพก่อนนิราศกัน................กรรมพราก แม่เอย
ภพปัจจุบันอย่าแคล้ว...........คลาดห้องห่างสมร ฯ

๓๐๓. ดาวเดือนกระดากฟ้า…เฟือนสี
จวนรุ่งดวงรัชนี...................เริ่มคล้อย
คะนึงโฉมจำพรากลี-............ลาลับ นานแม่
เย็นหยาดน้ำค้างย้อย...........ยะเยือกขั้วหัวใจ ฯ

๓๐๔. เดือนพ้นอุรภาคเพี้ยง...ภินทนา
หมายเปล่าเปลี่ยวคะนึงหา.....ต่างห้อง
แรงกระพริบดาริกา..............ต่างประทีป
หอมกรุ่นสุมาลย์ต้อง............ต่างอ้อมทรวงขวัญ ฯ

๓๐๕. หวนกมลมาเลศสร้อย..สงสาร พี่เทอญ
แต่จำพรากทรมาน..............ยิ่งแล้ว
ฝากลมช่วยกล่าวขาน..........คำสู่ ทรวงนา
มอบรัก...มอบใจแก้ว..........กลับย้อนแหล่งสยาม ฯ



....สต็อคโฮล์ม....
....ฤดูร้อน...มิถุนายน ๒๕๔๘....







๓๐๖. ใครหนึ่งเดินทอดน่อง...คล้ายท่องเที่ยว
ก้าวไปอย่างโดดเดี่ยว...ดูเปลี่ยวหงอย
หากมั่นคงเพียงพอ..กับรอคอย-
ของอีกใจที่ละห้อย...ตาพลอยชะเง้อ....

๓๐๗. ในสวนสาธารณะที่ชานกรุง
มีใจมุ่งหมายปอง..เฝ้ามองเหม่อ
มีอบอุ่นอ่อนไหว...จะได้เจอ
มีพร่ำเพ้อในอก..สะทกสะท้อน

๓๐๘. ระหว่างเส้นทางเท้า..ย่างก้าวเหยียบ
ก็พูนเพียบอาลัย...เกินไถ่ถอน
เส้นทางทอด..เสน่หา, ความอาวรณ์-
ก็โหมตอน...เติบตั้งเกินรั้งลง

๓๐๙. ละย่างยก..อบอวลทั้งส่วนจิต
ปฏิพัทธ์เริงฤทธิ์..เกินคิดบ่ง
แต่ละเมอครวญคร่ำ..เฝ้าจำนง-
ขอร่วมวงเวียนว้ฏฏ์..เป็นสัตยา

๓๑๐. แต่พ่อยื่นโทรศัพท์..ให้รับสาย
นึกว่าเพื่อนนัดหมาย..กลับคล้ายว่า-
ปลายสายเงียบไปนาน..พอผ่านมา-
พ่อส่งให้เจรจา...ช่วยพาที

๓๑๑. ก่อนจะยินเสียงชาย..อีกฝ่ายหนึ่ง
จนอ้ำอึ้ง..อึงอวลในส่วนที่-
แรงภิรมย์, รอบเขษมความเปรมปรีดิ์-
นั้นล้นปรี่วาบแล้ว..ในแววตา

๓๑๒. เก้อเขินสะเทิ้นไปทั้งใจกาย
หลังแว่วเสียงนัดหมาย..ก็บ่ายหน้า-
ไปลบเลือนทรมาน..ที่ผ่านมา
คลายเงื่อนปมพันธนา..ค้างคาใจ

๓๑๓. เฝ้ารอคอยอ่อนไหวอยู่ในที่-
อ่อนหวานแห่งดวงฤดี..เริ่มรี่ไหล
แต่เมื่อความอ่อนโยน..จากคนไกล
ผ่านมาให้สัมพันธ์อย่างมั่นคง

๓๑๔. ค่อยค่อยผ่านช่อกุสุม..ปวงพุ่มพฤกษ์
โอนรำลึกทุกหลืบ..คอยสืบส่ง
ด้วยความงดงามล้ำ..ผู้จำนง-
ร่วมค้ำคงจุดหมาย..ที่ปลายจร

๓๑๕. ค่อยค่อยผ่านแสงอุสุมอันรุมเร้า
จนหนึ่งเงารูปถวิล..หมายยินอ้อน-
นั้นปรากฏโฉมอยู่..เหมือนรู้วอน-
เว้าในจิตที่รุมร้อน..หันย้อนมา...

๓๑๖. คนสองคน, สองใจ..ความนัย-หนึ่ง
มีซาบซึ้ง, โอนอ่อน, อาวรณ์หา-
มีห่วงเห็น, ห่วงใย, เมื่อไกลตา
อาจพรรณนา...ฤๅถึง-สักครึ่งใจ

๓๑๗. โสตเอย...เมื่อสดับ.ย่อมรับรู้-
ที่เต้นอยู่..แว่วสั่น..จากหวั่นไหว-
อันเร่งเร้ารอบถวิล...เมื่อกลิ่นไอ-
อ่อนโยนของคนไกล..เริ่มใกล้มา

๓๑๘. ลุกขึ้นยืนรับหน้า..สบตา-เขิน
อีกฝ่ายเพ่งมองเพลิน..ก่อนเดินหา
รับไหว้, จับมือไว้...ยิ้ม, นัยน์ตา-
ทอดสบ..เนิ่นนานช้า..รูปหน้านั้น...

๓๑๙. ผกายเนตรลึกล้ำ..ระส่ำไหว
เมื่อหนึ่งหน้าโน้มใกล้..หนึ่งใจสั่น
ค่อยค่อยโอบกอดร่าง..ท่ามกลางพรรณ
จุมพิตแก้มเนียนหนั่น..กล่อมขวัญน้อย







๓๒๐. มองออดอ้อน..สบตา-แววตาเต้น
เกินซ่อนเร้นรติบท...จึงปลดปล่อย-
แรงอาลัย, อาวรณ์ให้ย้อนรอย-
ทดแทนการรอคอย..ละห้อยนั้น

๓๒๑. ใต้อ้อมกอดละม่อมละมุน..แก้มอุ่นแอบ
เมื่อปากหนึ่งโน้มแนบ, ก็แทบสั่น-
กับอ่อนหวานซ่านซึ้ง..เร้ารึง, พลัน-
ก็โลมขวัญอ่อนระทวย..ลงด้วยใจ

๓๒๒. แตะตื่นความซาบซึ้ง..คำนึงหา
ที่โหมบ่า..เกินการณ์จะต้านไหว
จึงสองแขนกระหวัดรอบ..โอบตอบใคร
ด้วยอาลัยเสน่หา..เกินกว่าเร้น

๓๒๓. เรียวปากอิ่มจบแต้ม..ตรงแก้มชาย
เนตรเขียวขาบผ่องผกาย..ก็ฉายเห็น-
ความรื่นรมย์หอมหวาน..ที่ผ่านเป็น
แทนขื่นเข็ญ..เฝ้าหมาย..แต่ฝ่ายเดียว

๓๒๔. แปลกใจตนเหลือเอ่ย...คนเคยอุ้ม-
กลับเร้ารุมใจสาว..พาเปล่าเปลี่ยว-
นั้นเริดร้างห่างกาย, ความดายเดียว-
ทุกส่วนเสี้ยว..ก็ถูกกลบจนลบกลืน

๓๒๕. อบอุ่นในอ้อมกอด..การพลอดพร่ำ
แทนเก็บงำอารมณ์..คอยข่ม-ขืน
การรอคอยละห้อยห่วง..ทุกช่วงคืน
ก็ถูกถมเต็ม-ตื้น ด้วยรื่นรมย์

๓๒๖. ยอมรับว่า..แสนรัก..เสียหนักหนา
มองใกล้ใกล้เต็มตา..ก่อนหน้าก้ม-
ลงมาจบหวานหอม..ใจจ่อมจม-
กับเนตรคมเขียวขาบ..ไหววาบรับ

๓๒๗. หอมหน้าผาก, ตาระยับ..ค่อยหลับพริ้ม-
เรียวปากอิ่มจบซ้ำเป็นลำดับ
แรงอาวรณ์..เริงรุดจนสุดนับ
ตราบระทวยร่างทับลงกับทรวง

๓๒๘. กอดร่างน้อยแนบกระชับอยู่กับอก
เกินถ้อยยกอาจแทนความแหนหวง
ที่หวาดหวั่นเงียบเหงา..ก็เปล่าปวง
จะอาจล่วงกำลังมาสั่งการ






๓๒๙. ซบหน้าแอบ-แนบแขน..เหนี่ยวแขนเกาะ
เรียวนิ้วเลาะไล้แก้ม..คนแย้มหวาน
เหมือนแว่วเพลงแผ่วประโลม..ผู้โฉมคราญ
แก้มเนียนเลือดก็ซ่าน..ขึ้นผ่านตา

๓๓๐. ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน...ผู้เลือนลับ
คิ้วจมูกเนตรระยับ..ราวกับว่า-
ผู้คุ้นเคยแต่ก่อน..ได้ย้อนมา
ตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้...

๓๓๑. ค่อยค่อยเหนี่ยวร่างน้อย..ให้พลอยลุก
เรียวร่างพลัน..โผซุก, โถมรุกไล่
ต้องคว้ากอด..ร่างหมุนซบอุ่นไอ
จึงยอมให้จูงย่าง..เส้นทางเดิน

๓๓๒. เดินมาส่งระยะหนึ่งเกือบถึงบ้าน
ช่วงเวลาผันผ่าน..ใช่นานเนิ่น
เมื่ออาวรณ์ลึกล้ำ..ที่ดำเนิน
พาเผชิญ,รับรู้, ร่วมดูแล

๓๓๓. จะมาพบคุณพี่..พรุ่งนี้เช้า
วันนี้เฝ้าหลบเลี่ยง...ก็เพียงแค่-
ขอใครหนึ่งยืนยัน..ไม่ผันแปร
ใจยังคงแน่วแน่..อย่างแท้จริง

๓๓๔. แว่วว่าจะไม่คอยให้เรียนจบ
จะมาพบ, พาทีกับพี่หญิง
จะขอขวัญเนื้ออ่อน..ไว้ผ่อนพิง-
หัวใจและทุกสิ่ง..จนตราบวาย

๓๓๕. แสนอาวรณ์อ้อยอิ่ง..ใจหญิงสาว
เมื่ออุสุม..อบอ้าวนั้นผ่าวผาย
เรียวนิ้วแตะลูบไล้..อกใจชาย
ตาสบตา..เชื่อมผกายเป็นหมายเดียว

๓๓๖. วัยเพิ่งย่างสิบเก้า..หากเงาร่าง-
รูปสรรพางค์เนียนนวล..ทุกส่วนเสี้ยว
งามเอยราวดั่งยูง...รูปสูงเพรียว
เนตรขาบเขียวก็ลึกล้ำเป็นกำลัง

๓๓๗. คนเป็นแม่ชะแง้มองจับจ้องดู
เห็นแปลกอยู่..เนตรวาบแววปลาบปลั่ง
หน้าตาก็เริงรื่นสดชื่นดัง-
ราวว่าความสมหวัง..เปล่งทางตา

๓๓๘. พรุ่งนี้..จะมีคนมาหาแม่
ปากพูด..เบือนหน้าแล..ชะแง้หา-
จนแม่กอดไว้มั่น..ให้หันมา-
มองค้นหา..เพียงครู่ก็รู้นัย

๓๓๙. พี่เขา-ใช่ไหม...ที่จะมา
เยี่ยมเยียนธรรมดา..หรือว่าไม่ ?
แล้วลูกรู้เรื่องอ้างได้อย่างไร
หรือออกไปพบกัน...ในวันนี้...

๓๔๐. วันรุ่งขึ้นพาแม่..มาแต่เช้า
คนแอบเฝ้า..ชื่นกมล..เสียล้นปรี่
ก่อนค่อยเผยปรารถนา..บอกท่าที
ค่อยค่อยชี้ให้เห็นความเป็นไป

๓๔๑. แว่วเสียงแม่-ยิน-เห็นว่าเอ็นดู
น้องชายผู้..มุ่งมั่นไม่หวั่นไหว
หากยังเด็กเล็กนัก..ก็หนักใจ
เกรงยังไม่เหมาะพ้อง..จะครองเรือน

๓๔๒. จนสบแววอาลัย..ก็ใจอ่อน
แต่ละตอน..สีหน้า..แววตาเจื่อน
ภาพเนตรลูกออดอ้อน...ราวย้อนเตือน
วาบวามเหมือนดลใจ...ทำให้ยอม

๓๔๓. ให้คุณแม่อยู่คุยกับคุณพี่
และใครที่เนตรเคลียคลอ..ร่วมหล่อหลอม
ผ่องผกายหวานล้ำ..ให้ด่ำดอม
ค่อยจูงมือผ่านหย่อม..พะยอมพรรณ

๓๔๔. นานช้าแต่จำพรากเหมือนจากลับ
จนรอบวัฏฏ์เวียนกลับ..ร่วมรับ..ขวัญ
นานช้าแต่สบเนตร..รู้เลศกัน
นับนานนั้น..แค่คาบช่วง..สองดวงใจ


อวสาน

Create Date :21 กรกฎาคม 2554 Last Update :7 ธันวาคม 2564 7:42:25 น. Counter : Pageviews. Comments :3