คาถาพุทธภาษิตที่น่าจดจำ อช.เชว กิจ.จมาตป.ปํ ( อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง ) รีบทำความเพียรเสียแต่วันนี้ อต.ตนา โจทยต.ตานํ ( อัตตะนา โจทะยัตตานัง ) จงเตือนตนด้วยตนเอง อต.ตนา หิ สุทน.เตน นาถํ ลภติ ทุล.ลภํ( อัตตะนา หิ สุทันเตนะ นาถัง ละภะติ ทุลละภัง )มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ คือได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก อต.ตา สุทน.โต ปุริสส.ส โชติ( อัตตา สุทันโต ปุริสัสสะ โชติ )ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นเครื่องรุ่งเรืองของคน อต.ตานํ ทมยน.ติ ปณ.ฑิตา( อัตตานัง ทะมะยันติ ปัณฑิตา )บัณฑิตย่อมฝึกตน อนากุลา จ กม.มน.ตา เอตม.มง.คลมุต.ตมํ(อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง)การงานไม่คั่งค้างสับสน เป็นมงคลอันสูงสุด อนิพ.พิน.ทิยการิส.ส สม.มทต.โถ วิปจ.จติ( อะนิพพินทิยะการิสสะ สัมมะทัตโถ วิปัจจะติ )ทำเรื่อยไป ไม่ท้อถอย ผลที่ประสงค์จะสำเร็จสมหมาย อป.ปมต.ตา น มียน.ติ( อัปปะมัตตา นะ มียันติ )ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย อป.ปมาเทน สม.ปาเทถ( อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ )จงทำประโยชน์ให้สำเร็จ ด้วยความไม่ประมาท อป.ปมาโท อมตํ ปทํ( อัปปะมาโท อะมะตัง ปะทัง )ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อป.เปน พหุเกน วา( อะโมฆัง ทิวะสัง กะยิรา อัปเปนะ พะหุเกนะ วา )เวลาแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปเปล่า จะน้อยหรือมาก ก็ให้ได้อะไรบ้าง อโหรต.ตมตน.ทิตํ ตํ เว ภท.เทกรต.โตติ( อะโหรัตตะมะตันทิตัง ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ )ขยันทั้งคืนวัน ไม่ซึมเซา นั้นแลเรียกว่า มีแต่ละวันนำโชค อาปูรติ ธีโร ปุญ.ญส.ส โถกํ โถกํปิ อาจินํ(อาปูระติ ธีโร ปุญญัสสะ โถกัง โถกังปิ อาจินัง)ธีรชนสร้างความดีทีละน้อย ก็เต็มเปี่ยมด้วยความดี อาโรค.ยปรมา ลาภา( อาโรคยะปะระมา ลาภา )ความไม่มีโรค เป็นยอดแห่งลาภ อาสึเสเถว ปุริโส( อาสิงเสเถวะ ปุริโส )เป็นคนควรหวังเรื่อยไป กต.ตพ.พํ กุสลํ พหุ( กัตตัพพัง กุสะลัง พะหุง )เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง พึงสร้างความดีไว้ให้มาก กถม.ภูตส.ส เม รต.ติน.ทิวา( กะถัมภูตัสสะ เม รัตตินทิวา )วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ กม.มุนา วต.ตตี โลโก( กัมมุนา วัตตะตี โลโก )สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม กม.มุนา โหติ พ.ราห.มโณ( กัมมุนา โหติ พราหมะโณ )เป็นคนประเสริฐ เพราะการกระทำ โกธํ ฆต.วา สุขํ เสติ( โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ )ฆ่าความโกรธได้แล้ว นอนเป็นสุข ขโณ โว มา อุปจ.จคา( ขะโณ โว มา อุปัจจะคา )อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านเลยไปเสีย จิต.ตส.ส ทมโถ สาธุ( จิตตัสสะ ทะมะโถ สาธุ )การฝึกจิต ให้เกิดผลดี จิต.ตํ ทน.ตํ สุขาวหํ( จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง )จิตที่ฝึกแล้ว นำสุขมาให้ จิต.ตํ รก.เขถ เมธาวี( จิตตัง รักเขถะ เมธาวี )ผู้มีปัญญาพึงรักษาจิต ตญ.จ กม.มํ กตํ สาธุ ยํ กต.วา นานุตป.ปติ( ตัญจะ กัมมัง กะตัง สาธุ ยัง กัตวา นานุตัปปะติ )ทำกรรมใดแล้ว ไม่ร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำนั้นแลดี ททมาโน ปิโย โหติ( ทะทะมาโน ปิโย โหติ )ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ทน.โต เสฏ.โฐ มนุส.เสสุ( ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ )ในหมู่มนุษย์ คนที่ฝึกแล้วประเสริฐสุด ทฬ.หเมนํ ปรก.กเม( ทัฬหะเมนัง ปะรักกะเม )พึงบากบั่นทำการให้มั่นคง ทิน.นํ สุขผลํ โหติ( ทินนัง สุขะผะลัง โหติ )ของที่ให้แล้ว ชื่อว่าอำนวยสุขเป็นผลแล้ว เทวา น อิส.สน.ติ ปุริสปรก.กมส.ส( เทวา นะ อิสสันติ ปุริสะปะรักกะมัสสะ )ความเพียรของคนไม่ลดละ ถึงเทวดาก็กีดกันไม่ได้ ธม.มจารี สุขํ เสติ( ธัมมะจารี สุขัง เสติ )ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข ธม.มปีติ สุขํ เสติ( ธัมมะปีติ สุขัง เสติ )ผู้อิ่มใจในธรรม ย่อมนอนเป็นสุข ธม.เม ฐิโต ปรโลกํ น ภาเย( ธัมเม ฐิโต ปะระโลกัง นะ ภาเย )ตั้งอยู่ในธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวปรโลก ธม.โม สุจิณ.โณ สุขมาวหาติ( ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ )ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว นำมาซึ่งความสุข ธม.โม หเว รก.ขติ ธม.มจารึ( ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง )ธรรมนั่นแหละ รักษาผู้ประพฤติธรรม ธีโร จ สุขสํวาโส( ธีโร จะ สุขะสังวาโส )ปราชญ์มีการอยู่ร่วมเป็นสุข นต.ถิ ปญ.ญาสมา อาภา( นัตถิ ปัญญาสะมา อาภา )แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี นิช.ฌต.ติพลา ปณ.ฑิตา( นิชฌัตติพะลา ปัณฑิตา )ขุมกำลังของบัณฑิต คือการรู้จักพินิจ ปจ.จุป.ปน.เนน ยาเปน.ติ เตน วณ.โณ ปสีทติ( ปัจจุปันเนนะ ยาเปนติ เตนะ วัณโณ ปะสีทะติ )อยู่กับปัจจุบัน ผิวพรรณจะผ่องใส ปญ.ญํ นป.ปมช.เชย.ย( ปัญญัง นัปปะมัชเชยยะ )ไม่พึงละเลยการใช้ปัญญา ปญ.ญา เจนํ ปสาสติ( ปัญญา เจนัง ปะสาสะติ )ปัญญาเป็นเครื่องปกครองตัว ปญ.ญา นรานํ รตนํ( ปัญญา นะรานัง ระตะนัง )ปัญญาเป็นดวงแก้วของคน ปญ.ญา โลกส.มิ ปช.โชโต( ปัญญา โลกัสมิ ปัชโชโต )ปัญญาเป็นดวงชวาลาในโลก ปญ.ญา ว ธเนน เสย.โย( ปัญญา วะ ธะเนนะ เสยโย )ปัญญาแล ประเสริฐกว่าทรัพย์ ปญ.ญ สุตวินิจ.ฉินี( ปัญญา สุตะวินิจฉินี )ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยสิ่งที่ได้เล่าเรียน ปญ.ญาชีวี ชีวิตมาหุ เสฏฐํ( ปัญญาชีวิง ชีวิตะมาหุ เสฏฐัง )ปราชญ์ว่า ชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญา ประเสริฐสุด ปญ.ญาย ติต.ตีนํ เสฏฐํ( ปัญญายะ ติตตีนัง เสฏฐัง )อิ่มด้วยปัญญา ประเสริฐกว่าความอิ่มทั้งหลาย ปญ.ญาย อต.ถํ ชานาติ( ปัญญายะ อัตถัง ชานาติ )ด้วยปัญญา จึงจะรู้ว่าอะไรเป็นประโยนชน์ ปญ.ญายต.ถํ วิปส.สติ( ปัญญายัตถัง วิปัสสะติ )ดัวยปัญญา จึงจะเห็นอรรถชัดแจ้ง ปญ.ญาสหิโต นโร อิธ ทุก.เข สุขานิ วิน.ทติ( ปัญญาสะหิโต นะโร อิธะ ทุกเข สุขานิ วินทะติ )คนมีปัญญา ถึงแม้ตกทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏ.ฐาตา วิน.ทเต ธนํ( ปะฏิรูปะการี ธุระวา อุฏฐาตา วินทะเต ธะนัง )ขยัน เอาธุระ ทำเหมาะจังหวะ ย่อมหาทรัพย์ได้ ปณ.ฑิตา โสกนุทา ภวน.ติ( ปัณฑิตา โสกะนุทา ภะวันติ )บัณฑิตช่วยปัดเป่าทุกข์โศกความเศร้าของปวงชน ปุญ.ญํ โจเรหิ ทูหรํ( ปุญญัง โจเรหิ ทูหะรัง )ความดี โจรลักไม่ได้ ภเวย.ย ปริปุจ.ฉโก( ภะเวยยะ ปะริปุจฉะโก )พึงเป็นนักสอบถามหาความรู้ โภคา สน.นิจยํ ยน.ติ วม.มิโกวูปจียติ( โภคา สันนิจะยัง ยันติ วัมมิโกวูปะจียะติ )ทรัพย์สินย่อมพอกพูนขึ้นได้ เหมือนดังก่อจอมปลวก มา ชาตึ ปุจ.ฉ จรณญ.จ ปุจ.ฉ( มา ชาติง ปุจฉะ จะระณัญจะ ปุจฉะ )อย่าถามถึงชาติกำเนิด จงถามถึงความประพฤติ ยํ ลท.ธํ เตน ตุฏฐพ.พํ( ยัง ลัทธัง เตนะ ตุฏฐัพพัง )ได้สิ่งใด พึงพอใจด้วยสิ่งนั้น โยคา เว ชายเต ภูริ( โยคา เว ชายเต ภูริ )ปัญญา ย่อมเกิดเพราะใช้การ รต.โย อโมฆา คจ.ฉน.ติ( รัตโย อะโมฆา คัจฉันติ )คืนวันไม่ผ่านไปเปล่า ลพ.ภา ปิยา โอจิตต.เตน ปจ.ฉา( ลัพภา ปิยา โอจิตัตเตนะ ปัจฉา )เตรียมตัวไว้ให้ดีก่อนแล้ว ต่อไปก็จะได้สิ่งที่รัก นิป.ผน.นโสภิโน อต.ถา( นิปผันนะโสภิโน อัตถา )ประโยชน์งามตรงที่สำเร็จ นิพ.พานํ ปรมํ สุขํ( นิพพานัง ปะระมัง สุขัง )นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิวต.ตยน.ติ โสกม.หา( นิวัตตะยันติ โสกัมหา )คนใจการุณย์ ช่วยแก้ไขให้คนหายโศกเศร้า โนปลิป.ปติ โลเกน โตเยน ปทุมํ ยถา( โนปะลิปปะติ โลเกนะ โตเยนะ ปะทุมัง ยะถา )ไม่ติดโลก เหมือนบัวไม่ติดน้ำ วายเมเถว ปุริโส ยาว อต.ถส.ส นิป.ปทา( วายะเมเถวะ ปุริโส ยาวะ อัตถัสสะ นิปปะทา )เป็นคนควรพยายามเรื่อยไป จนกว่าผลที่หมายจะสำเร็จ วิเจย.ยทานํ สุคตป.ปสต.ถํ( วิเจยยะทานัง สุคะตัปปะสัตถัง )ให้ด้วยพิจารณา พระศาสดาทรงสรรเสริญ วิช.ชา อุป.ปตตํ เสฏฐา( วิชชา อุปปะตะตัง เสฏฐา )บรรดาสิ่งที่งอกงาามขึ้นมา วิชชาประเสริฐสุด วิช.ชาจรณสม.ปน.โน โส เสฏโฐ เทวมานุเส( วิชชาจะระณะสัมปันโน โส เสฏโฐ เทวะมานุเส )ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรรยา ชื่อว่าประเสริฐสุดทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา วิริเยน ทุก.ขมจ.เจติ( วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ )คนล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร สจิต.ตมนุรก.ขถ( สะจิตตะมะนุรักขะถะ )จงตามรักษาจิตของตน สจ.จํ หเว สาธุตรํ รสานํ( สัจจัง หะเว สาธุตะรัง ระสานัง )สัจจะ เป็นรสดียิ่งกว่าประดารส สติ ปโตโท ธีรส.ส( สะติ ปะโตโท ธีรัสสะ )สติเป็นปฏักของนักปราชญ์ สติ โลกส.มิ ชาคโร( สะติ โลกัสมิ ชาคะโร )สติเป็นความตื่นตัวในโลก สติมโต สทา ภท.ทํ( สะติมะโต สะทา ภัททัง )คนมีสติ เท่ากับมีของดีที่นำโชคตลอดเวลา สติมโต สุเว เสย.โย( สะติมะโต สุเว เสยโย )คนมีสติย่อมดีขึ้นทุกวัน สท.ธา ทุติยา ปุริสส.ส โหติ( สัทธา ทุติยา ปุริสัสสะ โหติ )ศรัทธาเป็นมิตรคู่ใจคน สท.ธีธ วิต.ตํ ปุริสส.ส เสฏฐํ( สัทธีธะ วิตตัง ปุริสัสสะ เสฏฐัง )ศรัทธาเป็นทรัพย์ประเสริฐของคนในโลกนี้ สพ.พทานํ ธม.มทานํ ชินาติ( สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ )การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งปวง สพ.พํ อิส.สริยํ สุขํ( สัพพัง อิสสะริยัง สุขัง )อิสรภาพเป็นสุขทั้งสิ้น สพ.เพสํ สหิโต โหติ( สัพเพสัง สะหิโต โหติ )คนดี บำเพ็ญประโยชน์แก่ปวงชน สมค.คานํ ตโป สุโข( สะมัคคานัง ตะโป สุโข )เมื่อคนพร้อมเพรียงกัน ความเพียรพยายามก็นำสุขมาให้ สมุฏ.ฐาเปติ อต.ตานํ อณุ อค.คึว สน.ธมํ( สะมุฏฐาเปติ อัตตานัง อะณุง อัคคิงวะ สันธะมัง )ตั้งตัวให้ได้ เหมือนก่อไฟจากเชื้อนิดเดียว สยํ กตานิ ปุญ.ญานิ ตํ มิต.ตํ สม.ปรายิกํ( สะยัง กะตานิ ปุญญานิ ตัง มิตตัง สัมปะรายิกัง )บุญที่ทำไว้เอง เป็นมิตรตามตัวไปเบื้องหน้า สยํ กตานิ ปุญ.ญานิ ตํ เว อาเวณิยํ ธนํ( สะยัง กะตานิ ปุญญานิ ตัง เว อาเวณิยัง ธะนัง )ความดีที่ทำไว้เองนั่นแล เป็นทรัพย์ส่วนตัวแท้ ๆ สํวิรุฬ.เหถ เมธาวี( สังวิรุฬเหถะ เมธาวี )เล่าเรียนมีปัญญา จะเจริญงอกงาม สิก.เขย.ย สิก.ขิตพ.พานิ( สิกเขยยะ สิกขิตัพพานิ )อะไรควรศึกษา ก็พึงศึกษาเถิด สีลํ กวจมพ.ภุตํ( สีลัง กะวะจะมัพภุตัง )ศีล เป็นเกราะอย่างอัศจรรย์ สีลํ ยาว ชรา สาธุ( สีลัง ยาวะ ชะรา สาธุ )ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จ ตราบเท่าชรา สีลํ อาภรณํ เสฏฐํ( สีลัง อาภะระณัง เสฏฐัง )ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ สุกรํ สาธุนา สาธุ( สุกะรัง สาธุนา สาธุ )ความดี คนดีทำง่าย สุขส.ส ทาตา เมธาวี สุขํ โส อธิคจ.ฉติ( สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ )คนฉลาด ให้ความสุข ก็ได้ความสุข สุขํ วต ตส.ส น โหติ กิญ.จิ( สุขัง วะตะ ตัสสะ นะ โหติ กิญจิ )ไม่มีอะไรค้างใจกังวล มีแต่ความสุขหนอ สุขา สง.ฆส.ส สามค.คี( สุขา สังฆัสสะ สามัคคี )สามัคคีของหมู่ ให้เกิดสุข สุขา สท.ธา ปติฏฐิตา( สุขา สัทธา ปะติฏฐิตา )ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว นำสุขมาให้ สุขิโน วตารหน.โต( สุขิโน วะตาระหันโต )ท่านผู้ไกลกิเลส ช่างมีแต่ความสุข สุโข ปญ.ญาย ปฏิลาโภ( สุโข ปัญญายะ ปะฏิลาโภ )การได้ปัญญา นำมาซึ่งความสุข สุโข ปุญ.ญส.ส อุจ.ยโย( สุโข ปัญญัสสะ อุจจะโย )การสร้างสมความดี นำสุขมาให้ สุโข พุท.ธานมุป.ปาโท( สุโข พุทธานะมุปปาโท )ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้ทั้งหลาย นำสุขมาให้ ส.นก.ขต.ตํ สุมง.คลํ สุปภาตํ สุหุฏ.ฐิตํ( สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง )ประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี เช้าดี รุ่งอรุณดี สุภาสิตา จ ยา วาจา เอตม.มง.คลมุต.ตมํ( สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง )พูดดี เป็นมงคลอันอุดม เสย.โย อมิต.โต เมธาวี ยญ.เจ พาลานุกม.ปโก( เสยโย อะมิตโต เมธาวี ยัญเจ พาลานุกัมปะโก )มีศัตรูเป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรเป็นพาล ยาทิสญ.จูปเสวติ โสปิ ตาทิสโก โหติ( ยาทิสัญจูปะเสวะติ โสปิ ตาทิสะโก โหติ )คบคนเช่นใด ก็เป็นเช่นคนนั้น หิโต พหุน.นํ ปฏิปช.ช โภเค( หิโต พะหุนนัง ปะฏิปัชชะ โภเค )คนดีจัดการโภคทรัพย์ให้เป็นประโยชน์แก่คนจำนวนมาก Create Date :25 พฤษภาคม 2556 Last Update :25 พฤษภาคม 2556 8:52:25 น. Counter : 3954 Pageviews. Comments :0 twitter google Comment *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก