bloggang.com mainmenu search




สวัสดีค่ะ






เนื่องด้วยจากการไปรับประทานบุฟเฟท์ที่เลอเมอริเดียน กรุงเทพฯ แล้วได้ voucher พัก Le Meridien เชียงใหม่มาฟรี 1 คืน ซึ่งต้องใช้ภายใน 31 ต.ค. 52 นี้ก็เลยทำให้เกิดทริปนี้ขึ้นค่ะ

โดยนอกจากจะไปเชียงใหม่ (ซึ่งสองคืนแรก ต้องไปนอนบ้านคุณพ่อคุณแม่สามี) แล้ว ก็วางแผนว่าจะไปแพร่-น่าน เพื่อจะไปไหว้พระธาตุประจำปีเกิดของปีเสือ (พระธาตุช่อแฮ) และปีเถาะ (พระธาตุแช่แห้ง) ด้วย ที่ต้องไปไหว้สองพระธาตุนั้น เพราะไม่แน่ใจว่า วันเกิดตัวเองนั้น หากใช้เกณฑ์ของภาคเหนือวัดแล้วเราต้องเกิดปีไหนแน่ เพื่อความชัวร์ ก็เลยไปไหว้ซะสองพระธาตุเลยแล้วกัน



สำหรับรีวิวทริปเหนือนี้ก็ขอเปิดตัวด้วยการรีวิวที่พักใหม่เอี่ยมพอสมควรให้ดูกันนะคะ (เพิ่งเปิดเมื่อกุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ) ซึ่งตอนแรกที่วางแพลนจะไปก็ว่าจะไปพักที่รร.เทวราช (มีคนแนะนำมา โดยบอกว่าเขารีโนเวทใหม่แล้ว ไม่เก่าแล้ว)


แต่เนื่องด้วยงานไทยเที่ยวไทยเมื่อต้นปี ในห้อง Blue Planet มีคนมาโพสต์โบรชัวร์ของที่นี่ (ซึ่งที่นี่เปิดเมื่อกุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมานี่แหละค่ะ) ราคาก็น่าสนใจ กล่าวคือ 1000 สำหรับห้อง standard และ 1300 สำหรับห้อง superior และ 1500 สำหรับ deluxe แต่ราคานี้ใช้ได้ถึงวันที่ 31 ต.ค. 52 เท่านั้น


ทว่า..ข้าพเจ้าจะได้ไปค้างอ้างแรมที่น่านก็ 1 พ.ย. 52 นี่สิ ไปๆ มาๆ ก็ต้องจ่ายราคา 1300 บาทสำหรับห้องสแตนดาร์ดค่ะ (ซึ่งถูกกว่าในเว็บที่ขายอยู่ที่ห้องละ 1400 บาท เหอๆ ) ส่วนจะคุ้มค่าไม่คุ้มค่าอย่างไร เชิญชมรีวิวได้เลยนะคะ



เว็บไซต์โรงแรมนะคะ

//www.nanboutiquehotel.com/












เริ่มจากการเดินทางค่ะ หลังจากออกจากเชียงใหม่ในเวลาใกล้เที่ยง (ด้วยเหตุการณ์บางประการ ซึ่งจะขอกล่าวต่อไปในรีวิวร้านอาหาร) ก็วิ่งเส้นลำปาง-แวะไหว้พระธาตุช่อแฮที่แพร่ มาถึงน่านก็เย็นพอสมควรค่ะ รร.นี้จะตั้งอยู่บนถนนข้าหลวงนะคะ เป็นถนนที่อยู่ขนานกับถนนสุมนเทวราช

พอดีว่ามีโบรชัวร์จ.น่านตอนที่เค้าให้มาจากบู๊ท ก็เลยดูแผนที่ของจ.น่านประกอบกับแผนที่ในโบรชัวร์รร.และโทร.ถามทาง ก็ไปถูกจนได้ค่ะ แหะๆ
(เบอร์โทร.โรงแรม 054-775532 นะคะ)



ถึงซะที


















เลี้ยวเข้าไปไม่ลึกเลยก็เจออาคารที่พักแล้วค่ะ หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ขอกวาดเก็บรูปนิดหนึ่งนะคะ

รูปแรกฝั่งซ้ายคือตัวตึกที่พักอีกตึกหนึ่ง ส่วนที่มีมุขยื่นออกมานี่เป็นล็อบบี้เล็กๆ ค่ะ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของตึกที่พักเช่นกัน


















รูปนี้คือห้องพักของตัวตึกเดียวกับล็อบบี้นะคะ




















มองย้อนกลับไป ลานจอดรถค่อนข้างกว้างขวางพอสมควรค่ะ ที่จอดก็มีทั้งในร่มและแบบไม่มีหลังคา

















เข้าล็อบบี้กันดีกว่าค่ะ อยู่ชั้นล่างนะคะ















ล็อบบี้เล็กๆ แต่น่านั่งดีค่ะ ดูสบายๆ ดี






















ท่าทางเจ้าของที่นี่จะชอบของกระจุ๋งกระจิ๋งน่ารักๆ นะคะ (มีอยู่ช่วงหนึ่งเราจะเปลี่ยนพีเรียดการพักห้อง ก็เลยได้โทร.คุยกับเจ้าของด้วย เจ้าของน่ารัก อัธยาศัยดีมากค่ะ)




















หลังจากได้กุญแจห้องและคูปองอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว (ตอนแรกเราจะขออัพเป็น Superior ก็เต็ม พอถาม Deluxe แต่ปรากฏว่าเต็มอีกค่ะ (มีกรุ๊ปคนใหญ่คนโตอะไรก็ไม่ทราบค่ะเข้ามาพักช่วงนั้นพอดี ใหญ่แบบที่วิ่งกันแค่ 2-3 คัน แต่มีรถตำรวจดูแลด้วยน่ะ)ก็เลยต้องยอมพัก standard เหมือนเดิม


แล้วก็ตอนแรกเค้าจัดเป็นห้องเตียงแบบ twin คือมีสองเตียงให้ค่ะ แต่เราขอเปลี่ยนเป็น double แทน จากชั้นสองก็เลยกลายเป็นชั้นล่างแทนค่ะ)



เจ้าหน้าที่ก็พาเดินไปที่ตึก Napa ค่ะ



















เราดันเอากระเป๋าล้อลากไปง่ะ (คือก่อนหน้านั้นไปพัก Le Meridien เชียงใหม่ มาไงคะ แหะๆ แต่ยังไม่ทำรีวิวนะคะ จะรีบทำตามมาค่ะ) ที่จริงถ้าพักตึก Napa หรือพักชั้นบนก็ลำบากแหละ เพราะไม่มีลิฟท์ค่ะ แล้วพื้นจากล็อบบี้เดินไปตึก Napa ก็เป็นงี้ค่ะ คือโรยกรวดง่ะ



แต่เจ้าหน้าที่น่ารักมากค่ะ ช่วยหิ้วไปจนถึงห้องเลย (เลยทิปไปเล็กน้อย แหะๆ)



















ห้องที่เราได้คือห้อง N5 ค่ะ เป็นห้องชั้นล่างนะคะ แต่ยกพื้นขึ้นไปหน่อยหนึ่ง





















ที่เสียบให้ไฟทำงานอยู่ทางซ้ายมือค่ะ แต่ไม่ดีอยู่อย่างคือ เป็นระบบแบบ เอาออกปุ๊บ ดับปั๊บ ซึ่งเราว่าไม่ดีต่อระบบไฟนะคะ ที่จริงน่าจะทำให้ดีเลย์นิดหน่อยน่ะ แหะๆ


ใกล้ๆ กันก็จะมีป้ายห้ามรบกวนค่ะ น่ารักดี




















ซึ่งถ้าพลิกไปอีกฝั่งก็จะบอกให้แม่บ้านมาทำความสะอาดค่ะ




















ผังของห้องเรา ณ ตึกนี้ค่ะ อยู่ริมสุดของชั้นล่าง





















เปิดเข้าไปปุ๊บก็เจอห้องแบบนี้ค่ะ ใช้ได้อยู่



















ส่องไปทางปลายเตียง ก็มีทีวีจอแบน โต๊ะเครื่องแป้ง (โทรศัพท์วางอยู่) ตู้เย็น และห้องน้ำค่ะ


















มาถ่ายจากหน้าห้องน้ำ ก็จะเห็นว่ามีเดย์เบดอยู่ริมหน้าต่างด้วยนะคะ



















โคมไฟ ทีวี (มีเคเบิ้ลอยู่นะคะ) รีโมทอยู่หน้าทีวีเลยนะคะ โทรศัพท์อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง (โต๊ะเครื่องแป้งเล็กไปนิดแต่ก็โอเคอยู่ค่ะ)

















มีชา-กาแฟ พร้อมกาน้ำร้อน บริการฟรีค่ะ ตู้เย็นแบบเครื่องเล็กๆ หน่อย

ส่วนบนหิ้งก็มีไพรซ์ลิสต์บอกว่า อะไรราคาเท่าไหร่นะคะ






















ตู้เย็น - มีแต่น้ำเปล่าที่ให้ฟรีสองขวดค่ะ คงไม่กล้าใส่อะไรมามาก เพราะเท่าที่ดู เจ้าหน้าที่ค่อนข้างน้อยค่ะ พนักงานที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ยังต้องยกกระเป๋าให้เลย (ได้แต่ทิปให้ไปค่ะ แต่สงสารอยู่เหมือนกัน เพราะกระเป๋าเราก็หนักพอควรง่ะ แหะๆ แต่น้องผู้ชายคนนี้น่ารักมาก บริการดี สุภาพ ที่จริงถามชื่อเค้ามานะคะ แต่...ลืม (อีกแล้ว))


ถ้ามีมินิบาร์อีก อาจจะเช็คกันไม่ทันตอนแขกเช็คเอาท์น่ะนะคะ


















เข้าไปดูในห้องน้ำกันบ้างนะคะ เปิดปุ๊บก็เจออ่างล้างหน้าเลย (ตัวอ่างตื้นไปหน่อยค่ะ น้ำกระเซ็นออกมาได้)




















หันไปทางขวา จะเป็นโถสุขภัณฑ์ และส่วนที่เป็น shower ค่ะ มีผนังปูนกั้นไว้ (ไม่มีอ่างอาบน้ำนะคะ)



















มีเครื่องทำน้ำร้อนด้วยค่ะ แต่..ข้าพเจ้ามารู้ตอนจะอาบน้ำเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วว่า..มันไม่ร้อนง่ะ (เรามาแจ้งพนักงานตอนเช้าตอนเช็คเอาท์ค่ะ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสมาก เพราะตอนเราไปไม่ได้หนาวเท่าไหร่ ถ้าใครไปพักที่นี่ก็เช็คเลยนะคะ ถ้ามีปัญหาจะได้ให้เขาแก้ไขให้เลย)


















โถสุขภัณฑ์ค่ะ มีทั้งสายชำระและทิชชู่ น่าจะถูกใจหลายๆ ท่านอยู่นะคะ



















ข้าวของเครื่องใช้ที่มีให้ค่ะ ก็มีของที่จำเป็นครบถ้วนอะนะคะ ที่อยู่ใต้ทิชชู่คือหมวกคลุมอาบน้ำค่ะ





















ถ้าท่านใดสังเกต จะเห็นว่าในห้องพักจะไม่มีตู้ใส่เสื้อผ้านะคะ

เพราะห้องแบบที่เราพักนี่ เค้ามีส่วนวางเสื้อผ้า (เรียกตู้คงไม่ได้) อยู่ในห้องน้ำ ตรงข้างๆ อ่างล้างหน้าค่ะ





















บนเตียงมีลูกตะกร้อเล็กๆ พร้อมป้ายเรื่องการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการประหยัดน้ำค่ะ

ถ้าต้องการเปลี่ยนผ้าปูเตียงก็เอาวางไว้บนหมอนน่ะนะคะ (แต่เราค้างคืนเดียวน่ะนะ ก็เลยไม่ได้ใช้บริการแต่อย่างใด)






















รองเท้าแตะมีให้สองคู่ค่ะ มีให้แบบนี้ก็ดีค่ะ เพราะพื้นห้องเย็นอยู่เหมือนกัน























ขอซูมเตียงแบบชัดๆ อีกทีนะคะ

























เดินผ่านทางนี้อีกทีหนึ่ง มีที่ให้นั่งเล่นกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ อยู่ค่ะ























หลังจากไปรับประทานอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่ที่พักค่ะ

นอกจากตัวตึกที่พักแล้ว บริเวณอื่นค่อนข้างมืดอยู่พอควรเหมือนกันนะคะ























ขอเก็บล็อบบี้ตอนกลางคืนหน่อยนะคะ

พอดีมีเรื่องมาติดต่อนิดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของที่นี่ค่ะ























ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ (ซึ่งตอนนั้นไม่แน่ใจว่าไปดำเนินการเรื่องอะไรอยู่) เพราะเคาน์เตอร์ว่างเปล่า สามีก็บอกว่า เขาทำพลาดซะแล้วที่เอาเราเข้ามาด้วย เขาต้องเสียสองพันเลย พร้อมกับให้ดูป้ายนี้



























ที่มาติดต่อก็เพราะตอนที่น้องเค้าไปส่งที่ห้อง เขาบอกเรื่องไวร์เลสฟรี

แต่ถ้าเกิดไวร์เลสไม่ถึง (เนื่องจากห้องเราอยู่ในสุด) ก็สามารถมาเอาสายแลนที่เคาน์เตอร์ได้ค่ะ


















ส่วนตานั่น หลังจากกัดเราเรียบร้อยแล้ว ก็ไปจุดไฟเย็นเล่นแล้วค่ะ (อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะนั่น ชิ)





















ที่นั่งด้านนอกใกล้ๆ ล็อบบี้ค่ะ น่ามานั่งดื่มเบียร์ครึ้มๆ อยู่เหมือนกันนะคะ























จากนั้นก็ไปสำรวจส่วนกลางของตึก Napa ค่ะ

เป็นเหมือนๆ ห้องสมุดน่ะค่ะ มีที่ให้นั่งอยู่พอสมควรเลย






















แล้วก็ตรงระหว่างทางเดินขึ้นบันไดชั้นสองของตึกนี้ ก็มีที่นั่งชิลชิลด้วยค่ะ

เพดานก็เก๋ดีนะคะ (ที่เห็นกลมๆ นั่นโคมไฟค่ะ)
























เก็บวิวกลางคืนมาฝากค่ะ ถ้าอากาศเย็นๆ เตรียมไวน์ เตรียมเบียร์ไปนั่งดริ๊งค์และคุยกันก็ได้อยู่นะคะ





















เข้าห้องไปพักหนึ่ง ก็โทร.ไปหาน้องผู้ชายคนที่บริการดีๆ (ขอโทษด้วยที่พี่ลืมชื่อนะคะ เง่อ.. ) บอกว่า ตัวห้อง twin ที่ตอนแรกจะให้พี่ ว่างอยู่มั้ย พี่อยากถ่ายรูปเอาไปทำรีวิวให้น่ะ

น้องเค้าก็บอกว่าโอเคครับพี่ ได้ครับ (น่ารักสุดๆ เลย ) แล้วก็เลยพาขึ้นไปที่ชั้นสองของตึกนี้ค่ะ ก็ขึ้นชั้นบนไปที่ห้อง N7 กันค่ะ
























ข้อแตกต่างประการแรกระหว่างห้องที่เป็นเตียง double ของชั้นล่าง กับที่เป็นเตียง twin ของชั้นบนอันแรกเลยนะคะคือ ที่ใส่เสื้อผ้าของห้องแบบชั้นบนนี่อยู่ด้านนอกห้องน้ำค่ะ อยู่ติดกับประตูเลย























ตัวเตียง twin นะคะ มีตะกร้อแยกเตียงใครเตียงท่านด้วย




















ปลายเตียงก็ถัดจากตู้ใส่เสื้อผ้า ก็เป็นโต๊ะเครื่องแป้ง ทีวี แล้วก็ที่วางกระเป๋าค่ะ

จะเห็นว่าห้องแบบนี้ไม่มีเดย์เบดนะคะ




















แต่ชั้นบนจะมีระเบียงให้ค่ะ มีเก้าอี้ให้นั่งที่ริมระเบียง (ขออภัยที่ภาพสั่น ไม่มีขาตั้งกล้อง แถมมือยังไม่นิ่งอีกต่างหาก)

วิวที่ระเบียงของห้องนี้ก็ตามรูปน่ะนะคะ






















ห้องน้ำ พอไม่มีตู้เสื้อผ้าในห้องน้ำ ก็เลยแคบกว่าห้องชั้นล่างค่ะ

























จากนั้นก็ขอไปสำรวจห้องของตึกฝั่งล็อบบี้ ก็ไปถ่ายที่ชั้นบนของล็อบบี้ค่ะ สวยดี





น้องพาไปเซอร์เวย์ที่ห้อง T15 ค่ะ แต่ไม่แตกต่างจากห้องเมื่อกี๊ค่ะ นอกจากวิวที่จะเห็นลานจอดรถและอาคารที่ชั้นบนเป็นห้องอาหาร ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปเพิ่มนะคะ



















กลับมาที่ห้อง คุณชายก็ต่ออินเตอร์เนตเรียบร้อยแล้ว

เน็ตเร็วใช้ได้นะคะ แต่ไม่แน่ใจว่า ถ้าแขกเต็มทุกห้องจริงๆ จะแย่งสัญญาณกันหรือเปล่าน่ะสิ



















ตัดฉับมาวันรุ่งขึ้นนะคะ ไปทานอาหารเช้ากัน หน้าตาคูปองก็เป็นแบบนี้ค่ะ

ห้องอาหารเช้าเปิด 07.00-10.00 น.นะคะ





















ห้องอาหารเช้าจะอยู่ชั้นบนนะคะ จะเดินขึ้นทางขวาหรือทางซ้ายก็ได้ค่ะ























ห้องอาหารเช้าค่ะ





















อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบต้องสั่งนะคะ โดยมีเมนูตามนี้ (ซึ่งก็คิดอยู่ว่า ถ้าหน้าเทศกาล ลูกค้าลงมากินพร้อมๆ กัน จะไหวหรือ?)

หรือถ้าแขกเต็มสุดๆ จริงๆ ถึงจะจัดบุฟเฟท์เต็มสูตร?





















หลังจากเลือกเมนูไป ก็สามารถจะรับประทานจากไลน์บุฟเฟท์บางส่วนที่มีให้ด้วยนะคะ

แต่มีไม่มากนัก ก็ได้แก่คอนเฟล็ก ปาท่องโก๋และขนมปัง




















สลัด























ขนมไทยๆ และผลไม้สด





















ชา กาแฟ โอวัลติน น้ำเย็น นม น้ำส้ม





















โต๊ะที่นั่งก็เซ็ตอัพประมาณนี้ค่ะ






















ที่กินระหว่างรอที่สั่งไปก็มีดังนี้ค่ะ























ของที่มีบนโต๊ะค่ะ ขวดพริกกะเกลือน่ารักดี อันนี้ก็เป็นกรณีถกเถียงกันได้อีก

เราว่าเหมือนคนกอดกัน แต่คุณสามีบอกว่าช้าง





















อาหารเช้าที่เรากับคุณสามีเลือกสั่งรับประทานกันก็ได้แก่ ข้าวต้มกุ๊ยค่ะ สั่งกับไปสามอย่าง

ก็สั่งยำปลาเล็กปลาน้อย (ปลาข้าวสารหรือชิ้งชั้งหรืออย่างอื่นหว่า?) กุนเชียงทอด























ผักกูดไฟแดงและข้าวต้มร้อนๆ ค่ะ





















ตบท้ายด้วยผลไม้และขนมค่ะ ผลไม้โอเค ขนมธรรมดานะคะ





















จากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำกันดีกว่า เดินลงอีกทางค่ะ ตึกด้านล่างทางขวามือหลังคาครีมส้มๆ น่ะค่ะ
























มีห้องน้ำอยู่ฝั่งละ 2 ห้องนะคะ ค่อนข้างแคบพอสมควร

แล้วก็มันมีกลิ่นบางอย่างขึ้นมาจากท่อค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นกลิ่นอะไรเหมือนกัน
























ใกล้ๆ กับห้องน้ำ ก็มีอาคารนี้ค่ะ คาดกันว่าน่าจะเป็นอาคารที่น้องบอกว่าจะมีพวกของซูวีเนียร์ขายน่ะนะคะ



















สรุปสำหรับที่นี่นะคะ ค่อนข้างโอเคกับราคาอยู่นะคะ ตัวห้องใหม่มากๆ อยู่ค่ะ ปัญหาก็มีอยู่บ้าง นอกเหนือไปจากเครื่องทำน้ำร้อนไม่ทำงาน ก็มีเรื่องการระบายน้ำในห้องน้ำที่ค่อนข้างช้า อาหารเช้าที่น่าจะเป็นห่วงถ้าแขกเยอะๆ จริงๆ (แต่รสชาติโอเคเลยค่ะ ตัวยำอร่อยมาก)


แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีและน่าจะอยู่ในลำดับต้นๆ ของที่พักในตัวเมืองน่านนะคะ





สำหรับข้อมูลที่ถามน้องมาเพิ่มเติมนะคะ

ณ ปัจจุบันมีห้อง standard 28 ห้อง ห้อง superior 2 ห้อง และ deluxe 2 ห้องแต่หลังจากกลางเดือนหน้า (ซึ่งก็คือพ.ย.นี่แหละค่ะ) จะมีการรีโนเวทปรับเปลี่ยนเป็น ห้องสแตนดาร์ดเหลือแค่ 20 ซูพีเรียร์ 8 และเดอลักซ์ 4 ค่ะ แล้วก็จะเพิ่มร้านซูวีเนียร์ ร้านกาแฟ และสปาเพิ่มขึ้นมาให้ด้วย



ก็หวังว่าคงพอจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปน่านนะคะ














ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาที่บล็อกเราค่ะ

560679/4445/399



Create Date :09 ธันวาคม 2552 Last Update :9 ธันวาคม 2552 8:17:06 น. Counter : Pageviews. Comments :34