bloggang.com mainmenu search







:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณคล้ายดาว ::








"ธรรมะ" คืออะไร?


ในความคิดของฉัน
คือ การปฏิบัติไม่ใช่เป็นการเรียนเพื่อรู้เพียงอย่างเดียว

และหากเราเรียนรู้ธรรมะ... เพื่อให้เข้าใจถึง"ปัญญา"

งั้นถามนิดนะคะ ว่าเราจะนำธรรมะมาปรับยังไง
ให้เข้ากับชีวิตประจำวันและการทำงาน

ในวงการธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง
หลายครั้งที่ยื่นซองประมูลของราชการ
ฉันมักจะเจอ คนที่เข้ามาทาบเพื่อเสนอ"ฮั้ว"

อิอิ คงไม่ต้องแปลความหมายให้สถาปนิกฟังนะคะ

ฉันเกลียดวิธีการแบบนี้ เพราะอย่างที่รู้
ฝ่ายที่เสียผลประโยชน์ไม่ใช่ใครหากเป็นประเทศของเราเอง


และหลายครั้งอีกเช่นกันที่ฉันขัดขืน
สถาปนิกอย่างคุณก๋าคงรู้นะคะ
ว่าผลของการทำอารยะ..แข็งข้อกับอิทธิพลจะเจออะไรบ้าง

ฉันอยากเป็นคนดีค่ะคุณก๋า
อยากทำทุกอย่างให้ถูกตามครรลองของกฎหมาย
แต่ขณะเดียวกันฉันก็รักตัวกลัวตาย

แล้วฉันจะใช้"ธรรมะ"แบบไหนค่ะ
ถึงจะเป็นคนดี
พร้อมกับรักษาชีวิตของตัวเองได้
เมื่อเจอกับมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวไม่มีธรรมะในใจแบบนี้






คำถามโดย : คล้ายดาว
วันที่ : 11 พฤษภาคม 2554
เวลา : 21:32:40 น.




















สวัสดีครับคุณคล้ายดาว



ผมไม่กล้าเรียกแทนตัวเองว่าเป็น “สถาปนิก” เลยนะครับ
ผมเป็นสถาปนิกแค่เดือนเดียวหลังจากเรียนมา 7 ปีเต็ม
จากนั้นกลับมาช่วยพ่อทำร้านเครื่องหนัง
เปลี่ยนสถานะจากสถาปนิกมาเป็นพ่อค้าในช่วงข้ามคืน....


สมัยเป็นเด็กฝึกงานอยู่ในออฟฟิซสถาปนิกนั้น
ได้รับรู้เรื่องราวการจ่าย “ใต้โต๊ะ” ให้กับฝ่ายอนุมัติแบบการก่อสร้าง
สมัยนั้นต้องติดต่อที่เทศบาล และเป็นที่รู้กันดีว่า
การยื่นขออนุญาตขอก่อสร้างนั้น
ต้องจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่รัฐ
มิเช่นนั้นแบบจะไม่ผ่านการตรวจมาตรฐานการก่อสร้าง

ขั้นตอนคร่าวๆคือ เมื่อเขียนแบบโครงสร้างและรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมเสร็จ
สถาปนิกต้องยื่นแบบให้เจ้าหน้าที่ตรวจ
ถ้าอนุมัติผ่านก็สามารถนำแบบนี้ไปก่อสร้างได้

แต่ถ้าแบบไม่ผ่านต้องนำแบบกลับไปแก้ไข
ยื่นเรื่องใหม่และรอจนกว่าแบบจะผ่าน...

เพื่อนผมซึ่งเป็นสถาปนิกเคยไปยื่นแบบแล้วถูกตีกลับ
เจ้าหน้าที่เทศบาลให้เหตุผลว่า แบบหน้าต่างซึ่งเขียนด้วยปากกานั้น

“ใช้ปากกาผิดเบอร์”....

เพื่อนแก้ไขอยู่สองสามครั้งแล้วยื่นใหม่ แต่ทำอย่างไรแบบก็ไม่ผ่าน
สุดท้ายมีคนกระซิบว่าลอง “แนบเงิน” ไปกับแบบแล้วยื่นดู

น่าแปลกนะครับ....แบบผ่านฉลุยเลยในครั้งเดียว...


















ธรรมะคืออะไร ?

ถ้าให้ผมตอบ...
ผมก็ตอบว่า คือ “ธรรมชาติ”

แล้วธรรมชาติคืออะไร ?

ธรรมชาติคือ การยอมรับการโกงกินและการคอรัปชั่นของนักการเมืองใช่ไหม ?
ธรรมะคือการยอมตามน้ำเพื่อให้ธุรกิจของตัวเองอยู่รอดโดยไม่ต้องสนใจวิธีการใช่ไหม?

ธรรมชาติคือการรู้ว่าในสังคมมีความเหลื่อมล้ำ
และหากเราไม่อยากถูกกดหัวเหยียบให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าใคร
เราต้องพยายามผลักดันตัวเองให้ยืนอยู่แถวบนให้ได้ใช่ไหม ?

ธรรมะคือการหาหนทางที่จะประนีประนอมกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเอง
เพื่อรักษาพื้นที่ชีวิตและธุรกิจการงานของตัวเองหรือเปล่า ?




ธรรมะ คือการมองทุกอย่างตามความเป็นจริง



เวลาเรามองนักการเมือง
เราเห็นแต่ความชั่ว ความเลว การโกงกิน
การใช้อำนาจเรียกรับผลประโยชน์เพื่อพี่น้องพวกพ้อง
การแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจที่ตนมีอยู่ ฯลฯ
เรามองเห็นแต่ความชั่วความเลวเพียงด้านเดียวหรือเปล่า...


ถ้าเรามองเห็นแต่ด้านนี้ด้านเดียว
นั่นยังไม่ใช่ธรรมะ....
การเมืองมีทั้งด้านที่ดี และด้านที่เลว
นักการเมืองมีทั้งนักการเมืองน้ำดี และนักการเมืองน้ำครำ



ข้าราชการมีทั้งคนที่ตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต
และก็มีข้าราชการที่ทำงานแบบคอยเรียกรับผลประโยชน์ตลอดเวลา



เราไม่จ่ายได้ไหม ?
เรายืนยันในความถูกต้องของกฎและหลักการได้ไหม ?
เราฟ้องร้อง แจ้งข่าว สู้เพื่อยืนยันความถูกต้องในหลักการได้ไหม ?


เพราะถ้าเรายอมจ่าย มันคือ การส่งเสริมให้คนเลวยิ่งทำชั่ว
ยิ่งสนับสนุนให้นักการเมืองและราชการยิ่งคอรัปชั่นใช่ไหม ?



ถ้าเราเปลี่ยนสังคม ทัศนคติ วัฒนธรรมองค์กรของเราง่ายๆ
ได้เหมือนพลิกฝ่ามือก็ดีสินะครับ



ปัญหาคือ เราทำอย่างนั้นไม่ได้เลย...
เราเปลี่ยนสิ่งที่เราเกลียด
เราเปลี่ยนสิ่งที่เราชิงชังไม่ได้ในข้ามคืนหรือเพียงพริบตา


ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากทำ
ไม่ว่าจะอยากจ่ายหรือไม่อยากจ่าย

สิ่งนี้เราควบคุมมันไม่ได้เลย
มันมีมาก่อนที่เราจะเกิด
และถึงเราตายไปสิ่งนี้ก็ยังดำรงคงอยู่


การพูดถึงการขจัดสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้ออกไปจากสังคมและวัฒนธรรมความเชื่อของผู้คนในระยะเวลาสั้นๆ
ก็เหมือนกับการที่ใครคนหนึ่งเชื่อว่างูเห่าจะไม่กัดเขา
เพราะเขากินเจและเป็นคนธรรมะธรรมโม



ผมไม่ได้ให้เรายอมรับความเลวหรือสิ่งไม่ถูกต้อง

แต่อยากให้เราลองคิดดูว่า
ระหว่างการทำสิ่งที่เราไม่ชอบหรือสิ่งที่เราเกลียด
โดยที่เรารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง
เรารู้ตัวว่ามันไม่ดี แต่เราต้องทำเพราะมีความจำเป็นบางอย่าง
แต่บอกตัวเองได้ว่าเราจะไม่ยอมเป็นอย่างที่มันเป็นอย่างนั้น

กับการเลือกรักษาความถูกต้อง ความเชื่อมั่นในกฏเกณฑ์
โดยไม่สนใจสิ่งที่เราจะต้องสูญเสีย หรือต้องทะเลาะเบาะแว้ง
เสียหายจากการท้าทายความไม่ถูกต้อง


สองทางเลือกนี้สิ่งไหนควรทำมากกว่ากัน


ต้องแยกแยะให้ดีนะครับ


เรารู้ว่าบางสิ่ง เช่น การจ่ายใต้โต๊ะไม่ดี เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าเราไม่จ่ายธุรกิจก็พัง ลูกน้องตกงานเป็นเบือ
ครอบครัวธุรกิจของเรามีปัญหา

กับจ่ายให้เพื่อให้ธุรกิจเนินต่อไปได้ โดยที่เรารู้ตัวว่า
สิ่งนี้อาจไม่ถูกต้อง แต่ต้องทำ เพราะมันมีเหตุผลที่ต้องทำ

















ธรรมะที่ผมใช้ คือ ธรรมะที่ยืนอยู่ในหลักความจริง
ถูกต้องตามธรรม คือ ถูกต้องตามความเป็นจริง
แต่ “ความจริง” ของใคร ย่อมไม่เหมือนกัน
ย่อมแตกต่างไปตามความคิด ความเชื่อของคนๆนั้น...


เราเอาหลักธรรมของเรา
ไปคุยกับโจรมันย่อมให้ผลที่แตกต่างกับการเอาหลักธรรมไปคุยกับพระ....



และว่ากันถึงที่สุด
ไม่มีใครเลยนะครับ ที่ไม่มีธรรมในตน
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
ทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมเดียวกัน
นั่นคือ เป็นไปของมันเช่นนั้นเอง

โจรก็มีธรรมของโจร คนเลวก็มีธรรม
คนดีก็มีธรรม ขอทาน เศรษฐี พ่อค้า
ทนาย พระหรือแพทย์ ฯลฯ

ทุกคนต่างมีธรรมเป็นของตน
แต่ที่เราชอบคนนั้น เกลียดคนนี้
รักสิ่งนี้ เกลียดชังสิ่งนั้น
นั่นเป็นเพียงว่าธรรมนั้นจะถูกใจเราหรือเปล่าเท่านั้นเอง

















ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนอยากเป็น “คนดี” ครับ
ไม่มีใครเกิดมาอยากทำเลว อยากเป็นคนชั่ว
อยากเป็นคนคดโกงบ้านทรยศต่อแผ่นดิน
แต่หลายสิ่งหลายอย่างบีบให้เราต้องทำ
แม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้องชอบธรรม
เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ...





















หลายวันก่อนผมอ่านหนังสือ “ตามรอยรัก”
นวนิยายของ Paolo Coelho มีประโยคหนึ่งน่าสนใจครับ


เขาเขียนไว้ว่า


มีพนักงานดับเพลิงสองคนเข้าไปดับไฟป่า
คนหนึ่งถูกควันรมหน้าจนดำเปื้อนไปหมดทั้งหน้า
อีกคนหน้าตาสะอาดหมดจด
เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงลำธาร
ถามว่าใครจะเป็นคนที่เดินลงไปในลำธารเพื่อล้างหน้าก่อน...

คนที่หน้าสะอาดหรือคนที่หน้าตาเปื้อนมอมแมม


คนไหน ?


.

.

.

.



คำตอบคือ



คนที่หน้าตาสะอาดครับ !!!



เพราะอะไร ?



...เพราะเมื่อสองคนเดินออกมา ต่างคนต่างมองหน้าของอีกฝ่าย


คนที่หน้าตาสะอาดมองไปยังหน้าเพื่อน
เห็นหน้าเพื่อนเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่นควัน
ก็คิดว่าตนเองมีหน้าตาสกปรกตามไปด้วย
จึงเดินทางล้างน้ำทันทีตามความเชื่อความคิดของตัวเอง

ส่วนคนที่หน้าตามอมแมมเมื่อมองหน้าเพื่อนที่หน้าตาสะอาด
คิดว่าตนเองหน้าตาสะอาดจึงไม่เดินไปล้างหน้าล้างตาแต่อย่างใด



โลก สังคม ชีวิตและตัวตนของเราเป็นอย่างไร...
มันก็เป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่เรามองเห็น
และเช่นเดียวกับสิ่งที่เราเชื่อในสิ่งที่เรามองเห็นครับ



















การใช้ชีวิตในสังคม
ยากนักที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ใจเราคิด

การทำงาน การอยู่ร่วมกับคนกลุ่มใหญ่ในสังคม
มีเงื่อนไขกฏเกณฑ์มากมายที่เราต้องยอมรับปรับตัว
เพื่ออยู่กับมันให้ได้โดยไม่ต้องแตกหักกับใครตลอดเวลา


มีหลายสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา ไม่เป็นที่ชอบใจของเรา
แต่ถามว่าเราเปลี่ยนมันง่ายๆแบบพลิกฝ่ามือได้หรือเปล่า

บางครั้ง “หลักการ” เป็นเพียง “หลักกู”
คือตอบสนองเพียงความคิดความเชื่อของตัวเรา
โดยที่ทำให้เราลืมนึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นเหตุการณ์หนึ่งหรือสิ่งๆหนึ่ง



ผมรู้ว่ามันยากที่จะทำใจให้เรายอมรับกับสิ่งที่เราไม่ชอบ


เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว
ผมก็รู้สึกเช่นนี้ตอนที่รู้ตัวว่าเรียนมา 7 ปี
เป็นสถาปนิกเดือนเดียวแล้วถูกพ่อเรียกตัวมาทำงานที่ร้าน


ผมหงุดหงิดกับการทำงานที่ผมไม่ชอบ ไม่คิดฝันว่าจะต้องมาทำงานนี้
ผมเจอคนที่คิดว่าเขามีนิสัยน่ารังเกียจ ไม่ซื่อสัตย์
ผมเจอข้าราชการมากมายที่รีดไถและเรียกร้องผลประโยชน์
ผมพบลูกน้องหลายคนที่ทำงานไม่ได้อย่างที่ผมคาดหวัง
เจอลูกค้างี่เง่า ต่อราคาเก่งและไม่สุภาพมากมายหลายคน
เจอบริษัทคู่ค้าที่เอาเปรียบ เห็นแก่ตัวและฉกฉวย
ฯลฯ


แต่อย่างไรก็ตามโลกยังหมุนเหวี่ยงของมันต่อไป
ไม่ว่าเราจะพอใจหรือไม่พอใจกับสิ่งต่างๆรอบตัวหรือไม่ก็ตาม


ผมเปลี่ยนผู้คนและสิ่งต่างๆเหล่านั้นไม่ได้
แต่เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคนเหล่านั้นได้

ผมเปลี่ยนสิ่งไม่ดีไม่งามเหล่านี้ไม่ได้
แต่รักษาตนไม่ให้หลอมรวมกับสิ่งเหล่านี้ได้

บางครั้งผมต้องฝืนทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง
บ่อยครั้งผมรู้สึกผิด
แต่ผมต้องทำ --- ทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ
ทำเพื่อรักษา “ตัวตน” และ “งาน” ของผมเอาไว้ไม่ให้มันพังทลายลงไป




















มันยากมากจริงๆในการฝืนทำสิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งที่เรารังเกียจ
แต่โลกนี้มีทางเดินให้เราไม่มาก
และชีวิตเราสั้นมากเกินกว่าจะคิดเสียเวลาเปลี่ยนแปลงโลก
เพื่อให้มันเข้ารูปเข้ารอยตามความรู้สึกของเรา

เราไม่มีเวลาในชีวิตมากพอ
ที่จะท้าทายหรือต่อต้านระบบที่เราเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง


เราเปลี่ยนมันไม่ได้แน่ๆในชั่วชีวิตของเรา


แต่สิ่งที่เราเปลี่ยนได้ คือ ความคิดและทัศนคติที่เรามีต่อสิ่งเหล่านั้น


เราดูแลความคิด ความเชื่อของเราให้อยู่ในหนทางที่ถูกต้องดีงามได้


แม้บางครั้งต้องยอมทำบางสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย
แต่ขอให้ชั่งน้ำหนักว่าสิ่งที่เราทำอยู่สร้างความเดือดร้อนให้ใครมากมายหรือไม่
ถ้าเราไม่ได้โกงใคร ไม่ได้เอาเปรียบใคร ไม่ได้ทำสิ่งชั่วช้าเลวทราม
เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนอย่างที่เราไม่ควรได้รับ

ผมคิดว่าเรายังมีเหตุผลมากพอที่จะฝืนทำสิ่งที่เราไม่อยากทำ
เพื่อให้บางสิ่งบางอย่าง เช่น การงาน และชีวิตของเรา
ดำเนินไปได้อย่างที่มันควรจะเป็น....





















ผมนึกภาพตัวเองไม่ออกจริงๆครับ
ว่าถ้าวันนี้ผมยังเป็นสถาปนิกอยู่ หรือมีสำนักงานเป็นของตัวเอง
ผมจะยอมฮั้ว ผมจะยอมจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งาน
จะยอมบวกค่าโสหุ้ย 35 % ให้กับคนเหล่านั้นหรือเปล่า

ผมอาจจะจ่าย...
และจ่ายให้มากด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจของตัวเอง

หรือผมอาจจะไม่ยอมจ่าย แล้วไปแก้ไขความขลุกขลักลักลั่นในธุรกิจของตัวเอง

หรือ ผมอาจกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งว่าถูกยิงตายเพราะไปฟ้องร้องข้าราชการเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ในวงการก่อสร้าง

ฯลฯ




ผมนึกภาพตัวเองไม่ออกจริงๆครับ
ว่าถ้าวันนี้ผมยังเป็นสถาปนิกอยู่ชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร



แวบหนึ่ง...ผมนึกถึงเรื่องเล่าเรื่องชายดับเพลิงทั้งสองคน
คิด คิดและคิด...ว่าผมเป็นชายดับเพลิงคนใด
คนที่หน้าตาสะอาด หรือคนที่หน้าตามอมแมมกันแน่





















Create Date :26 สิงหาคม 2554 Last Update :26 สิงหาคม 2554 4:59:32 น. Counter : Pageviews. Comments :112